ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1467 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29321 - 29340 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29321 | การขยายระยะเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๑ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศ จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้มีเงินได้ที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ในกรณีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินจากการประกอบกิจการผลิตสินค้า การขายสินค้า หรือการให้บริการ ณ สถานประกอบกิจการนั้น ๑.๑.๒ ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๓ ลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ ของเงินได้ซึ่งเป็นราคาขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ๑.๑.๔ กำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่ได้รับเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ซึ่งถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายแล้ว ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา ๔๘(๑) (๒) และ (๔) แห่งประมวลรัษฎากร ๑.๑.๕ ลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๐.๑ สำหรับรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไร ทั้งนี้ เฉพาะการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจที่ได้กระทำในระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กรณีการโอนและการจำนองห้องชุดตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองห้องชุดร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนห้องชุดโดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองห้องชุดที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรการสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ ๐.๐๑ สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์โดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ และการโอนโดยทางมรดกให้แก่ทายาท หรือการจำนองอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลาเฉพาะในท้องที่อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย และจังหวัดสตูล โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ๒. เห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยออกไปอีก ๒ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗) โดยให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ และปรับปรุงกระบวนการในการอนุมัติค่าชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยแก่ผู้ประกอบการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการขยายระยะเวลามาตรการชดเชยส่วนต่างเบี้ยประกันภัยภายในวงเงินงบประมาณปีละ ๒๐ ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการ ๓. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.๑ ผลการดำเนินการมาตรการสินเชื่อผ่อนปรนโดยธนาคารออมสิน ระยะเวลาการขอกู้จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมาปริมาณการใช้สินเชื่อโดยเฉลี่ยภายใต้โครงการดังกล่าวอยู่ที่ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของวงเงินโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท จึงเห็นควรให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งใช้วงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากธนาคารออมสินให้เต็มวงเงินก่อน โดยกระทรวงการคลังจะติดตามความคืบหน้าของโครงการกับธนาคารออมสินเป็นระยะ หากมีความจำเป็นที่จะต้องขอวงเงินโครงการเพิ่มเติมหรือขอขยายระยะเวลา กระทรวงการคลังจะพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓.๒ ผลการดำเนินการโครงการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่หนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดระยะเวลา ๓ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ เปิดลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการอยู่แล้ว ดังนั้น ลูกค้า ธ.ก.ส. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เข้าร่วมโครงการเงินต้นไม่ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ที่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท) สามารถขยายระยะเวลาพักชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน ๓๕,๘๔๖ ราย มูลหนี้ทั้งสิ้น ๓,๗๔๗ ล้านบาท ๔. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมสำรวจปัญหาของธุรกิจ SMEs ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29322 | การเสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตเพื่อดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้เสนอร่างความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบเพื่อดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ หลักการทั่วไปและวัตถุประสงค์ของร่างความตกลงฯ สอดคล้องกับหลักการที่ปรากฏในกรอบเจรจาความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ได้ผ่านความเห็นชอบรัฐสภาเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๓ รวมทั้งสอดคล้องกับความตกลงที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศต่าง ๆ คือ มุ่งให้ความคุ้มครองนักลงทุนไทยในการไปลงทุนในรัฐคูเวต และให้ความคุ้มครองนักลงทุนของรัฐคูเวตในการเข้ามาลงทุนในไทย ๒. ภายหลังรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายคูเวตเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการดำเนินการให้มีผลใช้บังคับเพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทย อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง |
|||||||||||||||||||||
| 29323 | การดำเนินการตามมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแนวทางและมาตรการการเปิดตลาดนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า อัตราภาษีในโควตาร้อยละ ๐ อัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ ๘๐ และแนวทางการบริหารการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) กรอบการค้าเสรี AFTA และ FTA ซึ่งมีผู้มีสิทธินำเข้า ๗ สมาคม ๙ บริษัท และให้ผู้มีสิทธินำเข้าให้การสนับสนุนและส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศ โดย ๑.๑.๑ รับซื้อผลผลิตเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำตามชั้นคุณภาพ ๑.๑.๒ ผู้มีสิทธินำเข้าให้ความร่วมมือรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศและการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าตามนโยบายเป็นลายลักษณ์อักษรกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ๑.๑.๓ ให้คณะอนุกรรมการกำกับ ดูแลเมล็ดถั่วเหลือง ทำหน้าที่กำกับดูแลการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตได้ภายในประเทศ การนำเข้า และการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า ให้เป็นไปตามมาตรการและนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบเพิ่มผู้แทนเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช จำนวน ๑ คน และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการสนับสนุนการเกษตรทฤษฎีใหม่ (โดยมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์หลายชนิดแบบผสมผสาน) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อลดผลกระทบจากราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ผันผวน การสนับสนุนการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อใช้ในการลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร การสร้างองค์ความรู้ การบริหารจัดการ ต่อยอด และการพัฒนาด้านพันธุวิศวกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องของพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเพื่อเพิ่มมูลค่า การศึกษาแนวทางการขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตถั่วเหลืองให้เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศเพื่อลดปริมาณการนำเข้า รวมทั้งการเร่งวิจัยพัฒนาพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกถั่วเหลืองเป็นพืชหมุนเวียนหลังการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อสร้างทางเลือกให้เกษตรกรมีรายได้เสริมหลังการทำนา และช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการนำถั่วเหลืองไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีมูลค่ามากขึ้น เช่น นมถั่วเหลือง เป็นต้น และนำกากถั่วเหลืองที่เหลือมาใช้เลี้ยงสัตว์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29324 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร12 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา เพื่อจัดสรรเป็นเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้ สำนักงาน ก.พ.ร. จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้เหมาะสมกับสถานะเงินเหลือจ่ายและงบประมาณที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างหน่วยงาน ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ให้กรมบัญชีกลาง เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ภายในกรอบวงเงิน ๓,๕๖๓ ล้านบาท ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนด ๑.๓ สำหรับแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินรางวัลประจำปีตั้งแต่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ให้จัดสรรงบประมาณเพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินรางวัลประจำปีไว้ในงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายการปรับเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐตามชื่อรายการเดิมที่เคยปรากฏในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดหน่วยงานเจ้าภาพในการตั้งงบประมาณที่กำหนดรายการเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ในงบบุคลากรของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.ร. กำหนดตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป เพื่อความเป็นเอกภาพและไม่เป็นภาระในทางปฏิบัติต่อส่วนราชการ และในการจัดสรรเงินรางวัลไม่ควรใช้จากงบบุคลากรแต่เพียงส่วนเดียว ควรมีการกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมและชัดเจนว่าจะต้องมีส่วนสมทบจากงบเหลือจ่ายของหน่วยงานด้วย เพื่อเป็นการรักษาวินัยในการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประหยัดมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29325 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2555 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน 2555 | อก | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๔.๒ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือ อุปสงค์ในประเทศโดยรวมเริ่มดีขึ้น ประกอบด้วย การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนขยายตัวขึ้น เป็นผลมาจากการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าคงทน โดยเฉพาะยานยนต์ที่เร่งตัวขึ้นตามยอดจำหน่ายรถยนต์ การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวขึ้น เช่นเดียวกับการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล สำหรับการส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ดุลการค้าและบริการขาดดุล ๑.๒ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๑ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่หดตัวร้อยละ ๔.๓ และขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่หดตัวร้อยละ ๐.๑ เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมเมื่อปลายปีที่ผ่านมา การใช้กำลังการผลิตกลับสู่ภาวะปกติ มีการเร่งผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและคำสั่งซื้อยังตกค้างจากในช่วงอุทกภัยที่ผ่านมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ในขณะที่อุตสาหกรรม Hard Disk Drive และสิ่งทอ การผลิตยังคงลดลง เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกลดลง ๑.๓ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จะขยายตัวร้อยละ ๕.๕-๖.๐ ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ๑.๔ ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า บางตัวมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม โดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ Hard Disk Drive ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมลดลงร้อยละ ๑.๑๓ (มกราคม-กันยายน ๒๕๕๕) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น ๑.๕ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แนวโน้มการผลิตในภาพรวมและการส่งออกคาดว่าจะชะลอตัวต่อไป เนื่องจากความไม่แน่นอนในภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิกฤตหนี้สาธารณะในกลุ่มสหภาพยุโรปที่ยังคงส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภค สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่สองที่ผ่านมา และราคาฝ้ายในตลาดล่วงหน้าที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิตเหล็กในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ คาดว่าเหล็กทรงยาวจะยังคงทรงตัว ในขณะที่เหล็กทรงแบนในส่วนของเหล็กแผ่นรีดร้อนอาจจะขยายตัวเล็กน้อย เนื่องจากผลทางด้านบวกจากการที่กรมการค้าต่างประเทศได้เปิดการไต่สวนการนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออื่นๆ ชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาผู้นำเข้าในประเทศได้ใช้ช่องว่างทางภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนที่เจือโบรอนหรือโครเมียม (โดยสำแดงว่าเป็นเหล็กอัลลอยด์) ที่นำเข้ามาจากทั้งจีนและเกาหลีเป็นปริมาณมาก ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาได้และบางรายต้องหยุดการผลิตลง
|
|||||||||||||||||||||
| 29326 | สัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสัญญาการให้ (Grant Contract) การดำเนินความสัมพันธ์กับภายนอกของสหภาพยุโรปภายใต้ความตกลงให้ความสนับสนุนด้านการเงินในโครงการการรวมตัวทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอาเซียนจากสหภาพยุโรป (ASEAN Regional Integration Support from the EU : ARISE) ซึ่งเป็นเอกสารระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเงื่อนไขพิเศษของ Grant Contract โดยสหภาพยุโรปจะให้เงินสนับสนุนจำนวน ๓.๓ ล้านยูโร สำหรับการเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งให้กับสำนักเลขาธิการอาเซียน เพื่อส่งเสริมการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างดังกล่าวในประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. อนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนาม แล้วให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ว่ารัฐบาลไทยเห็นชอบต่อร่างสัญญาการให้ (Grant Contract) แล้ว และให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในสัญญาการให้ (Grant Contract) |
|||||||||||||||||||||
| 29327 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Population Fund - UNFPA) ประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบไตรภาคี | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (The United Nations Population Fund-UNFPA) ประจำประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานว่าด้วยการดำเนินงานความร่วมมือทางวิชาการในรูปแบบไตรภาคี และลงนามในเอกสารย่อยภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเอกสารกำหนดกรอบความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) สำนักงาน UNFPA ประจำประเทศไทย และกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรภูฏานในการพัฒนาด้านสาธารณสุขและการบริการ ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในการส่งเสริมการดำเนินงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในรูปแบบ South-South Cooperation ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ๑.๒ หากมีความจำเป็นต้องปรับแก้ถ้อยคำในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี รายการเงินอุดหนุนการให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือทางด้านวิชาการและเศรษฐกิจแก่ต่างประเทศ ภายในกรอบวงเงินจำนวน ๔.๔๒ ล้านบาท และให้กระทรวงการต่างประเทศขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 29328 | การจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี 2555 | มท | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดดำเนินการในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๔-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นสัปดาห์การป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติและฝึกซ้อมแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตามความเสี่ยงภัยของแต่ละพื้นที่ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับงบประมาณในการจัดงานวันป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าว จำนวน ๓,๑๙๒,๐๐๐ บาท ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) วางแผนการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการเตรียมการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวล่วงหน้า เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวควรดำเนินการภายใต้แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนปฏิบัติการของหน่วยงานต่างๆ และให้มีการฝึกซ้อมระบบการสื่อสารเตือนภัยเพื่อทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของระบบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยในบริเวณทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29329 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (แทนกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 65 ปี บริบูรณ์) (นายฉัตรชัย พรหมเลิศ) | มท | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนนายเจตต์ ธนวัฒน์ ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ ๖๕ ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29330 | การดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ปริมาณ 50,000 ตัน | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบตลาด ปริมาณ ๕๐,๐๐๐ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัน ในราคากิโลกรัมละ ๒๕ บาท เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินออกจากระบบตลาด และเป็นการซื้อนำตลาด เพื่อขับเคลื่อนภาวการณ์ตลาดให้คล่องตัวขึ้น โดยวิธีการจัดสรรโควตารับซื้อตามสัดส่วนค่าเฉลี่ยของสต๊อคคงเหลือของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มที่ได้จากการตรวจสต๊อค ณ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ และปริมาณการผลิตจริงของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในช่วง ๑๑ เดือนของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (มกราคม-พฤศจิกายน) จัดเก็บสต๊อคไว้เพื่อรอจำหน่ายต่อไป ๑.๒ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีมติอนุมัติวงเงินดำเนินการ รวม ๑,๓๘๐.๒๕ ล้านบาท ให้ อคส. ใช้ดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ประกอบด้วย เงินทุนหมุนเวียนที่ใช้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๑,๒๕๐ ล้านบาท (๕๐,๐๐๐ ตันxตันละ ๒๕,๐๐๐ บาท) ค่าใช้จ่ายในการเก็บสต๊อครวมประมาณ ๙๒.๗๕ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินการตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ ๓ ของวงเงินดำเนินการของ อคส. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นเงิน ๓๗.๕๐ ล้านบาท ทั้งนี้ แผนการใช้เงิน อคส. จะเบิกเงิน จำนวน ๑,๓๘๐.๒๕ ล้านบาท จากกรมบัญชีกลาง ๑ งวด ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เพื่อจ่ายเป็นค่าน้ำมันปาล์มดิบและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และส่งคืนเงินคงเหลือพร้อมดอกเบี้ยที่เกิดจากบัญชีเงินฝากให้กรมบัญชีกลาง ภายหลังจากสิ้นสุดโครงการแล้วภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยการเบิกจ่ายเงินจะเบิกตามที่จ่ายจริงเท่านั้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป และหากมีประเด็นเกี่ยวข้องกับงบประมาณ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
| 29331 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางอัญชลี บุสสุวัณโณ) | นร04 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอัญชลี บุสสุวัณโณ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29332 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงแรงงาน) (จำนวน 3 ราย 1. นายสุเมธ มโหสถ ฯลฯ) | รง | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวพรรณี ศรียุทธศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายสุเมธ มโหสถ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||
| 29333 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (จำนวน 5 คน 1. นายดาวิน นารูลา ฯลฯ) | ยธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา จำนวน ๕ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายดาวิน นารูลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นางเพทาย ปทุมจันทรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ๔. นางสาวศุภมาศ พยัฆวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายไพฑูรย์ สว่างกมล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||
| 29334 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (นายยรรยง พวงราช) | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายยรรยง พวงราช เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพาณิชย์ ในคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า แทนนายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ที่ได้ขอลาออก โดยให้ดำรงตำแหน่งได้เท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
| 29335 | แผนอำนวยความสะดวก มั่นคง และปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | คค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนอำนวยความสะดวก มั่นคง และปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อรองรับการเดินทางของประชาชน มีเป้าหมายหลักที่ต้องการให้ประชาชนกลับบ้านและท่องเที่ยวอย่างมี “ความสุข สะดวก และปลอดภัย” ด้วยการดูแลอำนวยความสะดวกในการให้บริการรถสาธารณะประเภทต่างๆ และการซ่อมแซมถนน เส้นทางหลักและเส้นทางเลี่ยงให้ใช้การได้อย่างดี ตลอดจนประชาสัมพันธ์ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางการเดินทางที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจและชัดเจน กำหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕-๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยแผนอำนวยความสะดวกฯ ประกอบด้วย ๓ แผนงานหลัก ได้แก่ แผนการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง แผนงานด้านความมั่นคง และแผนงานด้านความปลอดภัย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29336 | แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP MIDYEAR 2012 สู่ประชาคมอาเซียน) ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันในการเพิ่มช่องทางการตลาดและการส่งออกผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก ตลอดจนขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั้น การจัดทำอาหารกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน “ชุดปิ่นโต” เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดหนึ่งที่ได้มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพ รูปแบบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในส่วนของอาหารสำเร็จรูป ควรพิจารณานำอาหารที่ผู้ผลิตได้รับการยอมรับว่าผลิตอาหารที่มีรสชาติอร่อยเป็นต้นตำรับหรือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาดำเนินการและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสวยงาม สะดวกแก่การรับประทานระหว่างการเดินทางและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ณ สถานีรถไฟและบนรถไฟสายต่างๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) รับแนวทางดังกล่าวไปบูรณาการการปรับปรุงพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดต่างๆ ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) [ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC)] กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
| 29337 | การติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง | นร05 | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนงานส่งเสริมการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและภูมิภาค และเร่งจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างท่าเรือขนาดเล็ก ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จะเริ่มก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ถนน ๔ เลน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ และในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ จะดำเนินการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก ระยะที่สอง อย่างเต็มรูปแบบและเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับ จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจัดเตรียมแผนการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์เพิ่มมากขึ้น ๒. การเปิดจุดผ่านแดนถาวร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์แสดงความพร้อมที่จะยกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าด่านสิงขร (จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) จุดผ่านแดนชั่วคราวด่านพุน้ำร้อน (จังหวัดกาญจนบุรี) และจุดผ่านแดนชั่วคราวด่านเจดีย์สามองค์ (จังหวัดกาญจนบุรี) เป็นจุดผ่านแดนถาวร ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนและปรับปรุงเส้นทางรถไฟที่มีอยู่เดิมเพื่อให้เกิดการคมนาคมขนส่งที่สะดวกและมีการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป ๓. ความร่วมมือในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญและตระหนักถึงการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนร่วมกัน โดยการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหลักความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (Corporate Social Responsibility : CSR) ภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการที่ดีควบคู่ไปด้วย จึงมอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 29338 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 ในประเทศไทย พ.ศ. .... | ทส | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการของคณะกรรมาธิการสหประชาชาติว่าด้วยกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศ หรือ (UN Commission on International Trade Law UNCITRAL) ได้ โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ กำหนดให้นำข้อโต้เถียงหรือข้อพิพาทใดๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการและรัฐบาลไทยที่เกี่ยวกับการตีความหรือการดำเนินการตามข้อตกลงนี้เข้าพิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ซึ่งเป็นความจำเป็น ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ และส่งให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ๒.๒ อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลงฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานงานกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ภายหลังจากการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เพื่อแจ้งให้ทราบว่ารัฐบาลไทยได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒.๓ อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมายได้ยกร่าง และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ๓. สำหรับร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ ในประเทศไทย พ.ศ. .... ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว |
|||||||||||||||||||||
| 29339 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกหรือการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางประเภท พ.ศ. .... | นร09 | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) เกี่ยวกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง มาตรการเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกไปนอกหรือการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางประเภท พ.ศ. .... ร่างข้อ ๔ เดิมของร่างประกาศฯ ที่กำหนดให้มาตรการส่งออกและนำเข้าในแต่ละสินค้าให้เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และแจ้งให้กระทรวงพาณิชย์และคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ ทราบและพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) มีความเห็น ดังนี้
๑. มาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมาตรา ๔๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ระบุเหตุในการจำกัดเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพไว้โดยชัดแจ้ง ดังนั้น การออกประกาศตามมาตรา ๕ จึงต้องพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญด้วย ๒. โดยที่มาตรา ๕ ได้บัญญัติมาตรการที่จะดำเนินการไว้อย่างชัดเจน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีจึงมีดุลพินิจเพียงกำหนดว่าจะใช้มาตรการตามมาตรา ๕ (๑) (๒) และ (๕) กับสินค้าใด หรือใช้มาตรการตามมาตรา ๕ (๓) และ (๔) กับประเภท ชนิด ฯลฯ ของสินค้าใด ซึ่งต้องกำหนดให้ชัดเจนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีซึ่งจะต้องร่วมรับผิดชอบได้ทราบถึงผลกระทบก่อนที่จะอนุมัติให้รัฐมนตรีดำเนินการ ส่วนอำนาจทั่วไปตามมาตรา ๕ (๖) นั้น แม้จะบัญญัติให้อำนาจอย่างกว้างไว้ว่า “กำหนดมาตรการอื่นใด” แต่ก็ต้องเป็นเรื่องอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกันกับที่บัญญัติมาก่อนหน้านั้นและเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบในการส่งออกหรือการนำเข้าเท่านั้น ดังนั้น การที่รัฐมนตรีจะอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕ (๖) กำหนดมาตรการอื่นใด จึงต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นมาตรการใด อย่างไร และใช้กับสินค้าใด เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบถึงความหนักเบา ความร้ายแรง หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะพิจารณาอนุมัติ ๓. ด้วยเหตุนี้ การออกประกาศให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปกำหนดมาตรการและสินค้าได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเป็นกรณี ๆ ไป จึงไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นการนอกเหนืออำนาจตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒
|
|||||||||||||||||||||
| 29340 | รายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศ | ทก | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานเพื่อรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (บมจ. ไทยคม) ได้เจรจากับผู้ประกอบการดาวเทียมจากราชรัฐลักเซมเบิร์ก เพื่อนำดาวเทียมที่มีลักษณะทางเทคนิคที่สามารถใช้ในการแจ้งการนำขึ้นใช้งาน (Bringing into Use) กับ ITU เพื่อรักษาข่ายงาน ณ ตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทย มาวางที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออกเป็นการชั่วคราว ก่อนที่เอกสารข่ายงานดาวเทียม (Filing) จะหมดอายุในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ โดยดาวเทียมจะอยู่ที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออกเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓ ปี และขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้ความเห็นชอบในการนำเอกสารข่ายงานดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก มาใช้งานสำหรับดาวเทียมที่ บมจ. ไทยคม จะจัดหามา พร้อมทั้งประสานงานกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ดำเนินการประสานงานความถี่ระหว่างประเทศไทยกับราชรัฐลักเซมเบิร์ก ที่ตำแหน่งวงโคจร ๕๐.๕ องศาตะวันออก และดำเนินการตามกฎข้อบังคับวิทยุของ ITU ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มอบหมายให้ บมจ. ไทยคม ดำเนินการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก และจัดหาดาวเทียมมารักษาสิทธิในวงโคจรดังกล่าว โดยใช้เอกสารข่ายงานดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก เป็นระยะเวลา ๓ ปี และประสานความถี่กับข่ายสื่อสารดาวเทียมต่างประเทศให้เสร็จสิ้น รวมทั้งจัดหาดาวเทียมดวงใหม่มาใช้งาน ณ ตำแหน่งดังกล่าวต่อไป พร้อมทั้งได้แจ้งให้ กสทช. รับทราบการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออกตามนโยบายรัฐบาล และให้ กสทช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ บมจ. ไทยคมรายงานว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับผู้ประกอบการดาวเทียมที่ให้บริการภายใต้เอกสารข่ายงานดาวเทียมของราชรัฐลักเซมเบิร์ก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร และได้เจรจาประสานงานความถี่ทางเทคนิคกับผู้ประกอบการดาวเทียมข้างเคียงเพื่อให้สามารถนำดาวเทียมมาวางที่ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออกได้อย่างปลอดภัย และไม่เกิดการรบกวนกัน โดยดาวเทียมดังกล่าวได้เคลื่อนย้ายมายังตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๕ ๔. เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ กสทช. ได้แจ้งการนำดาวเทียมขึ้นใช้งานไปยัง ITU โดยได้มีการนำดาวเทียมขึ้นใช้งานในตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก ตามกฎข้อบังคับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ และประเทศไทยสามารถรักษาสิทธิในวงโคจรดาวเทียมที่ตำแหน่ง ๕๐.๕ องศาตะวันออก ไว้ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๕. ดาวเทียมดังกล่าวจะถูกนำมารักษาที่ตำแหน่งวงโคจรที่ ๕๐.๕ องศาตะวันออก และจะอยู่ในวงโคจรดังกล่าวอย่างน้อยจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ หลังจากนั้นประเทศไทยจะต้องมีดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นใช้งาน ณ ตำแหน่งดังกล่าวภายใน ๓ ปี หลังจากที่ดาวเทียมที่นำมารักษาตำแหน่งวงโคจรได้เคลื่อนย้ายออกไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดาวเทียมดวงใหม่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ตลอดจนกระบวนการต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการดาวเทียมสื่อสารต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
.....
