ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1422 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 28421 - 28440 จากข้อมูลทั้งหมด 124445 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 28421 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดการศึกษา สำหรับคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจัดการศึกษา สำหรับคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตามข้อสังเกตดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในการยกร่างกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาควรมีการกำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น การกำหนดบทนิยาม กรณีการใช้คำที่มีนิยามก่อนและหลังของการปรากฏคำที่มีนิยามนั้น และการใช้คำสันธานและบุพบท (และ-หรือ) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณากฎหมายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๒. กรณีครูที่มีวุฒิทางการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีที่ไม่ผ่านการประเมินทักษะการสอนคนพิการตามที่คณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการกำหนด ควรมีการจัดหลักสูตรการฝึกอบรมให้แก่ครูที่มีวุฒิการศึกษาพิเศษระดับปริญญาตรีที่สำเร็จการศึกษาใหม่หรือไม่ผ่านการประเมินทักษะการสอนคนพิการ ทั้งนี้ ควรกำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร ๓. คำว่า "หน้าที่อื่น" ในบทนิยามคำว่า "ครูการศึกษาพิเศษ" ควรที่คณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าหน้าที่ลักษณะอย่างไรที่จะเป็นหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการอันจะมีคุณสมบัติเป็นครูการศึกษาพิเศษ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28422 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" | สสป | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดวิกฤตภัย ได้แก่ กำหนดแผนการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เสริมสร้างบทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งและเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาการท่องเที่ยวในระดับประเทศและนานาชาติทั้งในยามปกติและเกิดวิกฤตภัย จัดตั้งศูนย์การข่าวและการประชาสัมพันธ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยสร้างความเข้มแข็งแก่สายการบิน และสร้างความสะดวกด้านการเดินทาง และบูรณาการความพร้อมในการอำนวยความปลอดภัย ในกรณีเกิดวิกฤตภัย และแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพร้อมไปกับผู้ประกอบการ ๒. การดำเนินการในช่วงวิกฤตภัย ได้แก่ การสื่อข่าวและประชาสัมพันธ์ต้องเป็นเอกภาพจากแหล่งข่าวเดียว มีความชัดเจนถูกต้อง เสนอข่าวที่สร้างความน่าเชื่อถือจากข้อมูลที่อ้างอิงได้ในระดับสากล ร่วมประชาสัมพันธ์ข่าวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจุบันของพื้นที่ท่องเที่ยวให้เห็นภาพข้อเท็จจริงว่ายังคงปลอดภัยและน่าท่องเที่ยว รวมทั้งควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเอกภาพจากศูนย์การข่าวที่จัดตั้งขึ้นเป็นหลัก และให้องค์กรภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวเป็นแกนหลักในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ๓. การดำเนินการภายหลังวิกฤตภัย ได้แก่ สร้างความเชื่อมั่นโดยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับชาติและนานาชาติโดยทันทีหลังเหตุการณ์คลี่คลาย มีมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ควรนำมาใช้หลังเกิดวิกฤตภัยและดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย ๖ เดือน ประกอบด้วย การเยียวยาผู้ประกอบการในด้านการเงินและภาษีที่รัฐควรดำเนินการ จัดหาแหล่งเงินทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถกู้เงินได้จริงในทางปฏิบัติ เป็นต้น รวมทั้งกระตุ้นบทบาทให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดอบรมภายในประเทศ และส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติและสร้างกิจกรรมในระดับนานาชาติเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ตลอดจนใช้นโยบายส่งเสริมการตลาดให้ภาคเอกชน เช่น การให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่มีความสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศและสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก ๆ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28423 | รัฐบาลสาธารณรัฐคาซัคสถานเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายมารัต เยเซนบาเยฟ (Mr. Marat Yesenbayev)] | กต | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายมารัต เยเซนบาเยฟ (Mr. Marat Yesenbayev) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28424 | การเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 5 | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย ของกระทรวงการต่างประเทศ และมอบหมายส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำ ดังนี้
๑. การหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) กับนายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ประเด็นติดตาม อาทิ การเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีรัสเซีย การเร่งรัดเจรจาความตกลงทวิภาคีที่ยังคั่งค้างให้แล้วเสร็จเพื่อให้มีการลงนามในช่วงการเยือนระดับสูง การขายสินค้ายุทโธปกรณ์ เครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ของรัสเซีย การลงทุนในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค และโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย การขยายการนำเข้าสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตร การจัดโครงการและกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการใช้พลังงานปรมาณูของสหพันธรัฐรัสเซียกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ และการเข้าร่วมการประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF 2013) ที่เมืองวลาดิวอสต็อก ปี ๒๕๕๖ การพิจารณาการต่อยอดทุนรัฐบาลรัสเซียที่มอบให้แก่นักศึกษาไทย การเร่งรัดดำเนินโครงการชำระเอกสารทางประวัติศาสตร์ ไทย-รัสเซีย ช่วงที่ ๒ การสานต่อการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดขึ้นเพื่อฉลอง ๑๑๕ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี ๒๕๕๕ การเร่งรัดการเจรจาร่างพิธีสารว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๙ การสนับสนุนให้มีการเรียนการสอนภาษารัสเซียเพิ่มมากขึ้นในมหาวิทยาลัยไทย และการเรียนการสอนภาษาไทยในรัสเซีย การเร่งรัดจัดทำแผนการดำเนินกิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ค.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๑๔ การติดตามผลการพิจารณาการขอเสียงสนับสนุนจากรัสเซียในการสมัครของไทยในฐานะสมาชิกไม่ถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสนับสนุนรัสเซียในการสมัครเป็นสมาชิก ECOSOC รวมทั้งการหารือและรับรองร่าง Declaration on the Framework Principles of Strengthening Security and Developing Cooperation in the Asia-Pacific Region สำหรับการประชุมสุดยอด EAS ในปี ๒๕๕๖ และการสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซีย เป็นต้น ๒. การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๕ ประเด็นติดตาม อาทิ ความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียในกรอบองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศและอนุภูมิภาคี การสานต่อการดำเนินแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับรัสเซียระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๐-๒๐๑๔ การเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียให้เพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๖ การเร่งรัดเจรจาและลงนามในร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย การเร่งรัดและติดตามฝ่ายรัสเซียให้ออกใบอนุญาตการส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกของสถานประกอบการไทยไปรัสเซียเพิ่มเติม การเร่งรัดและติดตามการปรับปรุงรายชื่อสถานประกอบการสินค้าประมงไทยที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งออกสินค้าประมงไปยังรัสเซียในเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของฝ่ายรัสเซีย การเพิ่มการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตร อาทิ ยางพารา ข้าว ผลิตภัณฑ์สัตว์ปีก ปลาและอาหารทะเล สับปะรด การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสการลงทุน ตลอดจนโครงการและความคิดริเริ่มด้านการลงทุนสองฝ่าย การส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง “Gazprombank” กับธนาคารในประเทศไทย การเร่งรัดการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานไทยกับรัสเซีย การขยายการเชื่อมโยงด้านการบินระหว่างรัสเซียและไทย และการจัดการหารือเกี่ยวกับการเปิดเสรีด้านการให้บริการทางอากาศในปี ๒๕๕๖ การเร่งรัดการจัดทำแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างรัสเซียและไทยระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๑๓-๒๐๑๕ การจัดตั้งความร่วมมือด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดการน้ำและเทคโนโลยีชลประทาน การผลักดันให้มีผลบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศสมาชิกอาเซียน การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงนามในร่างปฏิญญาร่วมเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศในอาณาเขตของไทยและรัสเซีย การสานต่อการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการสานต่อความร่วมมือเพื่อต่อต้านการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28425 | ผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย - เมียนมาร์ (Myanmar-Thailand Taskforce) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2 | นร11 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะทำงานฝ่ายไทย-เมียนมาร์ (Myanmar-Thailand Taskforce) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๗-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประธานคณะกรรมการประสานงานร่วมฯ ฝ่ายไทย เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมได้เห็นชอบร่างสัญญาข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) สำหรับการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) โดยมีสำนักงานพัฒนาความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) และ Foreign Economic Relation Department (FERD) เป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายไทยและเมียนมาร์ตามลำดับ และร่างข้อบังคับของบริษัทจำกัด (Article of Association) รวมทั้งร่างกรอบความตกลง (Framework Agreement) สำหรับการลงนามระหว่าง SPV กับคณะกรรมการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย (Dawei Special Economic Zone Management Committee : DSEZ MC) เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายในภาพรวมอย่างเป็นระบบ ๑.๒ ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาของคณะผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการทวายในภาพรวม โดยเสนอให้รัฐบาลเมียนมาร์พิจารณารูปแบบการลงทุนแบบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ สำหรับโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คือ ท่าเรือและถนน เพื่อให้โครงการมีความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์และสามารถหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนได้ โดยรูปแบบการลงทุนควรคำนึงถึงสถานะการคลังของรัฐบาลเมียนมาร์ และการลงทุนควรแบ่งออกเป็นระยะ ๆ ซึ่งฝ่ายไทยและเมียนมาร์ได้ชักชวนให้ภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นเข้ามามีส่วนร่วมให้การสนับสนุนต่อโครงการ อาทิ การให้ความช่วยเหลือการพัฒนาอย่างเป็นทางการ (Official Development Assistant : ODA) แก่รัฐบาลเมียนมาร์ ๑.๓ ที่ประชุมได้ตกลงกันในเรื่อง Relocation ว่า รัฐบาลเมียนมาร์จะเป็นผู้วางแผนและดำเนินการโยกย้ายคน โดยที่ SPC จะเป็นผู้จ่ายเงินผ่าน SPV และแผนการเคลื่อนย้ายคนจะต้องได้รับความเห็นชอบโดย SPV และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ๒. เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. เข้าร่วมจัดตั้งและร่วมลงทุนในบริษัท ทวาย เอส อี แซด ดีเวลล๊อปเม้นท์ จำกัด (Dawei SEZ Development Company Limited) กับหน่วยงานของเมียนมาร์ ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ วงเงินไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท และให้ สพพ. พิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28426 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน 2556 | อก | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอ คาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวจากคำสั่งซื้อทั้งจากตลาดเอเชียและอาเซียนที่ขยายตัว โดยเฉพาะจากสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ และสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้าไปผลิตและส่งออกไปตลาดอื่น ๆ สำหรับการผลิตและจำหน่ายกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องจากการที่ผู้บริโภคภายในประเทศมีกำลังซื้อลดลง จากค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น นโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท ประกอบกับวิกฤตเศรษฐกิจของตลาดคู่ค้าหลักในสหภาพยุโรปและการแข็งค่าของเงินบาท อาจส่งผลให้คำสั่งซื้อจากตลาดกลุ่มนี้ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ๒. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ มาตรการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องของภาคเอกชน ส่งผลให้มีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์จะปรับตัวสูงขึ้นตาม สำหรับแนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าอุปสงค์ต่อปูนซีเมนต์ในตลาดหลักของไทย รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและสาธารณรัฐประชาชนโตโกจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงอย่างต่อเนื่องก็ตาม เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้มีการสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28427 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ตช | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อให้มีการแบ่งส่วนราชการที่เหมาะสมกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนชื่อ “กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ” เป็น “กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ” เพื่อให้สอดคล้องกับสำนักงาน ปปช. และสำนักงาน ปปท. การกำหนดชื่อหน่วยงานจะต้องสอดคล้องกับภารกิจ นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานดังกล่าวมีภารกิจหลักทั้งในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงอาจไม่สอดคล้องกับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งข้าราชการของกองบังคับการตำรวจน้ำ ซึ่งใช้วิธีการตัดโอนและปรับระดับตำแหน่ง ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายงบบุคลากรในส่วนของเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษที่เพิ่มขึ้น เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเจียดจ่ายจากเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองกำกับการ ๑๒ กองบังคับการตำรวจน้ำ รวมทั้งรายจ่ายลงทุนในด้านอาคาร สถานที่ วัสดุ ครุภัณฑ์ ควรใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นลำดับแรกก่อน และหากมีภาระด้านงบประมาณเพิ่มขึ้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28428 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งและดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ซึ่งต้องจัดทำรายงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒๑ แห่ง และ ๔๓๗ แห่ง ตามลำดับ โดยไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการปกครองพิเศษ และมีจำนวนหน่วยงานที่ต้องดำเนินการรวบรวมรายงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกรมบัญชีกลางเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของหน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ที่จะนำมาใช้ในการรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และเห็นสมควรแจ้งให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำรายงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ รวมทั้งข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานที่ยังมิได้จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28429 | ร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกรอบการเจรจาเพื่อการยกระดับสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+๓ (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office : AMRO) เป็นองค์การระหว่างประเทศ และเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยร่างกรอบเจรจาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกระดับ AMRO เป็นองค์การระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานของ AMRO ให้มีความเป็นอิสระในการประเมินภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศสมาชิกอาเซียน+๓ รายประเทศและของทั้งภูมิภาค ๑.๒ การบริหารจัดการ AMRO อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอาเซียน+๓ ๑.๓ การให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่ AMRO และบุคลากรของ AMRO ควรเป็นไปตามหลักความจำเป็นแก่การปฏิบัติหน้าที่ (Functional Necessity) ซึ่งจะต้องพิจารณาโครงสร้าง วัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO เป็นสำคัญ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และภารกิจของ AMRO และพิจารณาเปรียบเทียบกับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันที่ให้กับองค์การระหว่างประเทศอื่น ทั้งนี้ ขอบเขตของเอกสิทธิ์และความคุ้มกันนั้น ไม่ควรจะให้มากกว่าองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีโครงสร้างและภารกิจที่คล้ายกัน เช่น ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) โดยคำนึงถึงข้อจำกัดของกฎหมายภายในของแต่ละประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ๑.๔ กรณีที่มีข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกกับ AMRO ให้สามารถใช้กลไกระงับข้อพิพาทในทางสากลได้ อาทิ วิธีอนุญาโตตุลาการหรือการจัดตั้งองค์คณะไต่สวน (Tribunal) ทั้งนี้ กลไกดังกล่าวต้องมีความเป็นกลาง มีขั้นตอนที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรมแก่ประเทศสมาชิกทุกประเทศ ๑.๕ ให้เจรจาเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและประเด็นดังกล่าวต้องเป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม ๒. สำหรับผู้แทนในคณะกรรมการ AMRO Board มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาว่าควรเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านเศรษฐกิจมหภาคเป็นผู้แทน |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28430 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงศึกษาธิการควรมีการกำหนดนโยบายในการพัฒนาด้านการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้มีความชัดเจน รวมทั้งควรมีการเชื่อมโยงการศึกษาทั้ง ๓ ระบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ควรเร่งรัดในการจัดทำคู่มือการดำเนินงานการจัดการศึกษาโดยครอบครัวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยหลังจากที่ได้มีการใช้คู่มือฯ ดังกล่าวแล้ว ควรมีการรับฟังปัญหาจากการใช้คู่มือฯ และการประเมินผลร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ สพฐ. ควรเร่งรัดการดำเนินการตามที่ได้จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาโดยครอบครัวเป็น ๒ ระยะ คือ การดำเนินงานระยะยาว และการดำเนินงานในปีงบประมาณถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามประเด็นปัญหาที่ได้มีการวิเคราะห์และได้กำหนดเป้าหมายเพื่อการจัดทำแผนงานการพัฒนาระบบการจัดการศึกษาโดยครอบครัวไว้แล้ว ๑.๔ สพฐ. ควรเร่งประสานงานและหารือไปยังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาประเด็นการเรียนวิชาทหารหรือการเรียนรักษาดินแดน (รด.) โดยเฉพาะปัญหาการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และให้สิทธิกับผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย ในการสมัครเป็นนักศึกษาวิชาทหาร ๑.๕ สพฐ. ควรมีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดยครอบครัวและเป็นการส่งเสริมให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน รวมทั้งการจัดอบรมและให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการจัดการศึกษาโดยครอบครัว ๑.๖ สพฐ. ควรหารือไปยังกรมบัญชีกลางและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายงบประมาณ งบเงินอุดหนุนการจัดการศึกษาโดยครอบครัวของผู้ร้องที่ ๒ (ตามคำร้องที่ ๑๖๒/๒๕๕๕) เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ๑.๗ สพฐ. ควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันและเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้จัดการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการจัดการศึกษาโดยครอบครัว และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีและการมีทัศนคติที่ดีต่อกันในการดำเนินงานต่อไปในอนาคต ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาดำเนินการเพื่อรองรับให้ผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจาก กศน. ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย สามารถเข้าสังกัดสถานศึกษาวิชาทหารในเขตพื้นที่ได้ สำหรับการดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ ข้อที่ ๑.๖ ซึ่งกระทรวงการคลังได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติสำหรับส่วนราชการไว้แล้ว หากกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะฯ จะก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในการที่จะได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว และเห็นควรส่งเสริมการจัดการศึกษาทางเลือกอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการผลักดันพระราชบัญญัติการศึกษาทางเลือก ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่หลากหลายและเหมาะสม โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ รวมทั้งควรมีระบบข้อมูลการจัดการศึกษาโดยครอบครัวที่ทันสมัย และมีการติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาอย่างเป็นระยะและมีความต่อเนื่อง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 28431 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ และนายมานะ คงวุฒิปัญญา) | อก | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. นายมานะ คงวุฒิปัญญา ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28432 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด) | พม | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง จำนวน ๑ ราย และแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๑ ราย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ ให้พ้นจากตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๒. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28433 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์) | สธ | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแทน พลเอก อำนวย ถิระชุณหะ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28434 | การให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร และนางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง และการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการการเมืองพ้นจากตำแหน่ง ๑.๑ นายภัทรศักดิ์ โอสถานุเคราะห์ ให้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๑.๒ นายภิญโญ ตั๊นวิเศษ ให้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) ๒. ให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๒.๑ นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิษฐ์ถาวร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ๒.๒ นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28435 | ขออนุมัติยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552) | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ที่อนุมัติรับโอนและแต่งตั้งนายพีรพล ไตรทศาวิทย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ (นักบริหารระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28436 | การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน | นร01 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ได้แก่ บ้านไร่ดง หมู่ที่ ๓ ตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน บ้านแม่อาว หมู่ที่ ๓ ตำบลนครเจดีย์ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน บ้านแพะใต้ หมู่ที่ ๗ ตำบลหนองล่อง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน บ้านท่ากอม่วง ตำบลหนองปลาสะวาย อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน และบ้านโป่ง หมู่ที่ ๒ ตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และแผนการสนับสนุนการจ่ายงบประมาณ รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการจัดซื้อที่ดิน และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ในการดำเนินการโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน โดยใช้จากกองทุนและงบประมาณโครงการบ้านมั่นคงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินงบประมาณ ๑๖๗ ล้านบาท สำรองไปก่อนเป็นการเบื้องต้นเพื่อเป็นสินเชื่อในการจัดซื้อที่ดิน งบประมาณสนับสนุนการพัฒนาสาธารณูปโภค และอื่น ๆ ที่จำเป็น ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน เนื้อที่ประมาณ ๘๐๐ ไร่ ไปพลางก่อนในระยะแรกจนกว่าสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จะดำเนินการจัดตั้งแล้วเสร็จ และเมื่อจัดตั้งสถาบันดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้โอนทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เพื่อดำเนินการตามโครงการต่อไป โดยให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดงบประมาณชดเชยคืนให้แก่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ทั้งในส่วนของกองทุนและงบประมาณสนับสนุนเพื่อสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จะได้นำไปดำเนินการโครงการบ้านมั่นคงต่อไป ๒. ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. กรณีเกิดปัญหาข้อเรียกร้องเกี่ยวกับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่ใด ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบติดตามสถานการณ์และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นที่ยุติโดยเร็ว แล้วรายงานข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยทราบโดยด่วนในโอกาสแรก ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการชุมนุมเรียกร้อง)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28437 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 111/2556) | นร04 | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๑๑/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีและให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีและกำกับดูแลแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ โดยให้ยกเลิกข้อ ๙.๑.๔ ในส่วนที่ ๑๐ ของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๖๘/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ เพิ่มเติม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28438 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ รัตโน) | มท | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ให้นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ออกจากตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๒. แต่งตั้งให้นายสมบัติ รัตโน ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28439 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28440 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ และพันโท เอนก ยมจินดา) | ยธ | 21/05/2556 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. แต่งตั้งคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. รับโอนพันโท เอนก ยมจินดา รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
