ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1273 จากทั้งหมด 6220 หน้า แสดงรายการที่ 25441 - 25460 จากข้อมูลทั้งหมด 124393 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 25441 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซีย | กต | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซีย ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๘ เพื่อหารือถึงแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์และความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการหารือระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าสหพันธรัฐรัสเซียดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ได้แก่ ๒.๑ การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งฝ่ายไทยเสนอระหว่างวันที่ ๒๙ มีนาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๘ และการเร่งรัดการเจรจาความตกลงที่คั่งค้าง เพื่อให้สามารถลงนามได้ในระหว่างการเยือน ๒.๒ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ ที่รัสเซีย ๒.๓ การส่งออกยางพาราไปรัสเซีย ๒.๔ การแลกเปลี่ยนยางพาราของไทยกับอากาศยานหรือยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย ๒.๕ ความร่วมมือด้านการเงินและการธนาคารในการใช้เงินสกุลอื่นนอกเหนือจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและยูโร ในการค้าทวิภาคีไทย-รัสเซีย ๒.๖ การขยายการส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรไปรัสเซีย ๒.๗ ปัญหาการนำเข้าแร่ใยหินจากรัสเซีย ๒.๘ การส่งเสริมการลงทุนของรัสเซียในไทยโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือเวชกรรม และการลงทุนของไทยในรัสเซีย ๒.๙ การส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนคณะนักธุรกิจไทย-รัสเซีย ๒.๑๐ การจัดกิจกรรมฉลองวาระ ๑๒๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-รัสเซีย ๒.๑๑ การขยายความร่วมมือด้านการศึกษาและวิชาการ ไทย-รัสเซีย
|
|||||||||||||||||||||
| 25442 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 | ทส | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย (ฉบับแก้ไข) ประกอบด้วย ๑.๑ การออกระเบียบและกฎหมาย ได้ออกกฎหมายหลัก ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ (ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗) และพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. .... (อยู่ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย) สำหรับกฎหมายลำดับรองได้มีการปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสัตว์พาหนะ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. ๒๔๘๒ นอกจากนี้ได้ยกร่างกฎหมายเพื่อรองรับการออกพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓ ฉบับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอตามขั้นตอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป และได้ยกร่างกฎหมายเพื่อรองรับการออกพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. .... จำนวน ๑๓ ฉบับ เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. .... ยังมิได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา อยู่ระหว่างขั้นตอนเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป ๑.๒ การจัดทำระบบทะเบียนข้อมูล ได้รวบรวมและตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนพาณิชย์ของผู้ประกอบการงาช้าง ตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูลงาช้างของกลางที่อยู่ในความดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมศุลกากร รวมทั้งอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการรับแจ้งข้อมูลการครอบครองงาช้างบ้านและงาช้างแอฟริกาที่ถูกกฎหมาย โดยในขณะนี้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชอยู่ระหว่างการจัดหาแม่ข่ายและพัฒนาโปรแกรมระบบทะเบียนข้อมูลการค้าและการครอบครองงาช้าง ๑.๓ การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย ได้มีการตั้งสายตรวจร้านค้างาช้าง การจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและข้อมูลเกี่ยวกับการค้างาช้าง การตั้งชุดปฏิบัติการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ มีการใช้เทคนิคใหม่ ๆ ในการติดตามและตรวจสอบการกระทำผิด เช่น การใช้ระบบสืบสวนจัดการคดี CMIS (Case Management Investigation System) ในการวิเคราะห์การข่าว การใช้เทคนิคการประเมินความเสี่ยงของสินค้านำเข้าและส่งออกของกรมศุลกากร เป็นต้น รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีดำผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้านสัตว์ป่าและพืชป่า ผ่านเครือข่ายตำรวจสากล และได้มีการประสานงานกับสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นอกจากนี้ได้จัดทำคู่มือการจำแนกงาช้างแจกให้แก่เจ้าหน้าที่ และได้จัดอบรม ประชุม ประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงาช้าและการค้างาช้าง การจำแนกชนิดงาช้างและการจัดทำเครื่องหมาย ๑.๔ การประชาสัมพันธ์ โดยมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเนื้อหาการประชาสัมพันธ์ในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบกิจการค้างาช้าง ผ่านสื่อหลัก ๕ สื่อ ได้แก่ สิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และนิทรรศการ และผ่านช่องทางประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ เช่น ช่องทางทางการทูต สนามบิน สายการบิน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชน ลด ละ เลิก การบริโภคงาช้างและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายผ่านการจัดค่ายเยาวชน จัดแสดงนิทรรศการและประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ตามโรงเรียนต่าง ๆ ๑.๕ การติดตามและประเมินผล ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านต่าง ๆ ๔ ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการด้านการออกระเบียบและกฎหมาย คณะอนุกรรมการด้านการจัดทำระบบทะเบียนข้อมูล คณะอนุกรรมการด้านกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ และได้มีการจัดประชุมของคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ประจำประเทศไทย ๒. รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑ ประกอบด้วย ความเป็นมาและสาระสำคัญแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย (ฉบับแก้ไข) เนื้อหาที่เกี่ยวกับรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ตามรูปแบบที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) กำหนด รวมทั้งภาคผนวก เป็นข้อมูลสนับสนุน เช่น รูปภาพ ตาราง แผนผัง เป็นต้น และหากจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขรายงานฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และให้จัดส่งรายงานฯ ให้สำนักเลขาธิการ CITES ตามระยะเวลาที่กำหนด
|
|||||||||||||||||||||
| 25443 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในกระบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง | ทส | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในกระบวนการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกันด้วย สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้พะยูงในเชิงเศรษฐกิจ โดยแจกกล้าไม้พะยูงให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการเพิ่มจำนวนไม้พะยูงในประเทศไทยให้มากขึ้น หากประกาศให้ไม้พะยูงเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข. ซึ่งกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำไม้ จะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมการปลูกไม้พะยูง แต่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐๖/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ ซึ่งกำหนดให้ไม้พะยูง ไม่ว่าจะขึ้นอยู่ที่ใดในราชอาณาจักร เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. เช่นเดียวกับไม้สักและไม้ยาง เพื่อคุ้มครองไม้พะยูงและเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดให้หนักขึ้นจาก “ระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท” ถือว่าเป็นมาตรการที่เหมาะสมทำให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัวต่อกฎหมายยิ่งขึ้น ๒. ศึกษาวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ไม้พะยูง และขณะนี้มีความพร้อมในการผลิตกล้าไม้พะยูงที่มีคุณภาพดี มีจำนวนเพียงพอในการแจกจ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐ องค์กรเอกชน รัฐวิสาหกิจ และประชาชน มากกว่า ๑๐ ล้านกล้าต่อปี ๓. สร้างแนวร่วมและเครือข่ายพิทักษ์ป่าในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้หลายรูปแบบ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในการอนุรักษ์และป้องกันการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า รวมทั้งได้ส่งเสริมสนับสนุนพัฒนาอาชีพให้ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ป่าและรอบพื้นที่ป่าให้มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในรูปแบบการบริหารจัดการป่าชุมชน ๙,๐๐๐ ป่า และมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนป่าชุมชนซึ่งอยู่รอบแนวเขตพื้นที่ป่าทั้งหมดให้ได้ ๒๘,๐๐๐ ป่า ๔. ผลักดันไม้พะยูงให้อยู่ในบัญชีแนบ ๒ ท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (CITES) ในคราวประชุม CITES CoP16 เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร สำหรับการผลักดันไม้พะยูงให้อยู่ในบัญชีแนบ ๑ ท้ายอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ อยู่ระหว่างเตรียมการจัดประชุม/เสวนา เพื่อรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อรับทราบถึงข้อดี ข้อเสีย ปัญหา อุปสรรค และผลกระทบจากการนำไม้พะยูงอยู่ในบัญชีแนบ ๑ CITES ต่อไป ๕. กำหนดจัดให้มีการประชุมภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ระหว่างหน่วยงาน ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติให้คณะกรรมการคดีพิเศษรับคดีการลักลอบตัดและค้าไม้พะยูงซึ่งเป็นคดีรายใหญ่ มีความซับซ้อนเกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จะดำเนินการได้ และเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในระดับต่าง ๆ เป็นคดีพิเศษ หรือเพื่อให้มีการโอนย้ายคดีมาดำเนินการที่ส่วนกลาง ๖. ขอความร่วมมือกระทรวงมหาดไทย ให้พนักงานฝ่ายปกครองเข้าควบคุมการสอบสวนการกระทำความผิดในคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะการกระทำความผิดในคดีลักลอบตัดไม้และค้าไม้พะยูงทุกคดีเป็นกรณีพิเศษอย่างเคร่งครัด ๗. สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าระดับจังหวัด จัดประชุมคณะอนุกรรมการฯ ทุกเดือน และรายงานผลคดีในพื้นที่จังหวัดให้สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบทุก ๑๕ วัน และจัดทำระบบฐานข้อมูลการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ เพื่อรวบรวมคดีความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ โดยเฉพาะคดีไม้พะยูง ข้อมูลของผู้กระทำผิด รายการไม้ของกลาง และอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดให้เป็นระบบ รวมทั้งปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน ๘. จัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินคดีความผิดกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน ๙. เตรียมการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนในการดำเนินคดี การริบของกลางที่เป็นอุปกรณ์ เครื่องมือ และยานพาหนะ ที่ใช้ในการกระทำผิด เพื่อป้องกันการนำกลับไปใช้ในการกระทำผิดซ้ำ และกำหนดแนวทางนำระเบียบข้อกฎหมายของพระราชบัญญัติการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาใช้ในการจัดการกับยานพาหนะของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด ๑๐. สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ รวบรวมคดีการกระทำผิดรายใหญ่หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล ทั้งหมดให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๑. ได้มีระเบียบว่าด้วยการจ่ายสินบนรางวัลและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สำหรับให้สินบนและรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสนำจับ และผู้ที่ทำการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ เพื่อเป็นการส่งเสริมมาตรการปราบปรามผู้กระทำความผิดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และได้ดำเนินการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการพิจารณาปรับเปลี่ยนระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับของกลาง ในคดีความผิดเกี่ยวกับการป่าไม้ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเช่นเดียวกับการปฏิบัติเกี่ยวกับของกลางตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ หรือพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
|
|||||||||||||||||||||
| 25444 | คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2558 ลงวันที่ 9 มกราคม 2558 | สลธ.คสช. | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ลงวันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ โดยมีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ สมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นรองประธานกรรมการ และพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลการดำเนินการของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งกำหนดแนวทางและมาตรการหรือกลไกในการประสานความร่วมมือระหว่างส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) หารือกับประธานกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะ ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ในการประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ ในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ โดยให้เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใน ๔ ด้าน ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายแก่ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค การเร่งรัดการส่งออก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคมและเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการใช้จ่ายภาครัฐ ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับมาตรการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และก่อให้เกิดประโยชน์โดยตรงแก่ผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้หลักจากเศรษฐกิจนอกระบบให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้จากเศรษฐกิจในระบบได้อย่างถูกต้อง
|
|||||||||||||||||||||
| 25445 | การมอบโบราณวัตถุคืนให้ราชอาณาจักรกัมพูชา | วธ | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร มอบโบราณวัตถุ จำนวน ๑๖ รายการ ที่กรมศิลปากรได้ตรวจสอบยืนยันแล้วว่าเป็นโบราณวัตถุที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรกัมพูชาคืนให้ราชอาณาจักรกัมพูชาในนามของรัฐบาลไทย โดยให้กรมศิลปากรดำเนินการส่งรายละเอียดและข้อมูลของโบราณวัตถุทั้ง ๑๖ รายการ ให้รัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชายืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๒ ในส่วนของโบราณวัตถุที่เหลืออีก ๒๐ รายการ ซึ่งกรมศิลปากรได้ตรวจสอบแล้วไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรกัมพูชาหรือไม่ ให้กรมศิลปากรแจ้งผลการตรวจสอบโบราณวัตถุทั้ง ๒๐ รายการ ให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาทราบ โดยหากรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาประสงค์จะขอรับโบราณวัตถุดังกล่าวคืน ให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจัดส่งหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า โบราณวัตถุทั้ง ๒๐ รายการ เป็นโบราณวัตถุที่มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้ การดำเนินการเพื่อหาหลักฐานมายืนยันอาจจะดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐบาลไทยกับหน่วยงานของรัฐบาลราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับการดำเนินการในข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการส่งมอบโบราณวัตถุคืนให้ราชอาณาจักรกัมพูชา ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเจรจากับฝ่ายราชอาณาจักรกัมพูชาเกี่ยวกับการส่งมอบโบราณวัตถุที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยคืนให้ประเทศไทยด้วยเช่นกัน
|
|||||||||||||||||||||
| 25446 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย นั้น เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าของไทยที่มีศักยภาพโดดเด่นในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมการประกวดกล้วยไม้โลก การจัดหาเที่ยวบินพิเศษเพื่อส่งออกกล้วยไม้ หรือผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาแนวทางสร้างท่าเทียบเรือยอร์ชและท่าเทียบเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ โดยให้สามารถรองรับเรือยอร์ชได้กว่า ๑,๕๐๐ ลำ และให้มีท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ได้ โดยให้เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และสร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้เพื่อเป็นข้อมูลให้ธนาคารของรัฐใช้ประกอบการสนับสนุนด้านสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษา เช่น สนับสนุนครูที่มีความสามารถให้ได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สามารถตอบสนองความต้องการของครู นักเรียน และผู้ปกครองไปพร้อมกัน ตลอดจนเร่งรัดโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กในถิ่นทุรกันดารด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาตรวจสอบบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยสุรา ว่ามีบทบัญญัติที่ครอบคลุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในเวทีต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการนำเรื่องที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทเป็นผู้นำในภูมิภาค เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เสนอต่อที่ประชุมระดับนานาชาติด้วย เพื่อเป็นการสร้างบทบาทในเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศประสานส่วนราชการต่าง ๆ ในการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นข้อมูลประกอบการเยือนด้วย ๓.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว รวมทั้งประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการขอยกเว้นหรือการลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับผู้เดินทางมายังประเทศไทยในกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีการทำการวิจัยหรือสำรวจซึ่งมีประโยชน์ในเชิงถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีแก่คนไทย กรณีการมาร่วมประชุมหรืองานนิทรรศการ และกรณีการท่องเที่ยว โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ๓.๔ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาด้านการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผ่านแดนบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณากำหนดวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเวลาทำการเปิด-ปิดด่านที่เหมาะสม แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง นั้น เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางให้มีคณะกรรมการชำนาญการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการลงทุน หรือพื้นที่ที่ต้องเร่งพัฒนาหรือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้โครงการและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ๔.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและสัตว์โดยเฉพาะช้างที่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติ เช่น การจัดทำป้ายสัญลักษณ์ติดตั้งในเส้นทางที่ช้างใช้ในการสัญจร การให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ช้างสัญจรและข้อพึงปฏิบัติที่สำคัญ การกำชับให้เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 25447 | การยกระดับรายได้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร09 | 13/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหารและบัญชีเงินเดือนข้าราชการตำรวจ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหาร ในระดับ น.๘ กับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบัญชีเงินเดือนข้าราชการตำรวจ ในระดับ ส.๘ (มีอัตรา ๗๔,๓๒๐ บาท) ยังมีเพดานเงินเดือนไม่เทียบเท่ากับอัตราเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนตำแหน่งนักบริหารระดับสูง (ขั้นสูงอัตรา ๗๖,๘๐๐ บาท) ควรปรับแก้ไขอัตราเงินเดือนให้อยู่ในอัตราเท่ากันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และได้หารือรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และนายวิษณุ เครืองาม) แล้ว เห็นชอบด้วยตามข้อสังเกตดังกล่าว และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๕ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ได้แก่ ๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๒ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๓ ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๔ ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒.๕ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สำหรับร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาปรับแก้ไขอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบัญชีเงินเดือนข้าราชการทหาร ในระดับ น.๘ กับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบัญชีเงินเดือนข้าราชการตำรวจ ในระดับ ส.๘ ให้มีเพดานเงินเดือนเท่าเทียมกับของอัตราเงินเดือนขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนตำแหน่งนักบริหารระดับสูง ก่อนเสนอร่างพระราชบัญญัติ รวม ๕ ฉบับดังกล่าวต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วนในคราวเดียวกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 25448 | การเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรี | นร04 | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ประเทศสำหรับปี ๒๕๕๘ ว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” นั้น เพื่อให้การดำเนินนโยบายแผนงานต่าง ๆ ของส่วนราชการบรรลุผลตามยุทธศาสตร์ข้างต้น จึงให้ส่วนราชการที่ประสงค์จะเสนอเรื่องประเภทนโยบาย แผนงาน โครงการต่อคณะรัฐมนตรีจะต้องมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ประกอบด้วยรายละเอียด ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ๓ เดือน ๖ เดือน ๙ เดือน และ ๑ ปี ๒. ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ โดยกำหนดเป้าหมาย ผลสัมฤทธิ์ และตัวชี้วัดที่ชัดเจน สามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. แผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือแหล่งเงินอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ
|
|||||||||||||||||||||
| 25449 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวให้เกิดขึ้นภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๘ โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งตรวจสอบราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะรายการที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง และกำหนดมาตรการในการดูแลระดับราคา ๒. ด้านสังคม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประสานงานเพื่อให้มีการศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์ของจีนเกี่ยวกับงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและการพัฒนา (R&D) และนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการวิจัยร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อนำมาปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๑ ปี ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศสำหรับปี ๒๕๕๘ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุผลเป็นรูปธรรม จึงมอบให้ทุกส่วนราชการพิจารณาว่าจะมีบทบาทหน้าที่ใดที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้การดำเนินการเกิดผลเป็นรูปธรรม บรรลุยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลกำหนดไว้ และให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับให้ทุกส่วนราชการที่อยู่ในการกำกับดูแลพิจารณาทบทวนและประเมินผลการดำเนินการในรอบ ๓ เดือนที่ผ่านมา และจัดทำแผนปฏิบัติการในระยะ ๓ เดือนข้างหน้าโดยมุ่งเน้นใน ๓ ประเด็น คือ ด้านความมั่นคงและการรักษาความปลอดภัย ด้านการปฏิรูป และด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้ แผนดังกล่าวจะต้องมีความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ เช่น เป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนในการดำเนินการ แนวทางการใช้จ่ายงบประมาณและการหารายได้ ๓.๒ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ ที่ผ่านมาพบว่า สถิติความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การลดความสูญเสียเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงยังต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนการปรับปรุงการดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป จึงให้กระทรวงมหาดไทย (ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) จัดทำข้อมูลและสถิติการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่มาจากสาเหตุในกรณีต่าง ๆ และให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และจัดทำข้อมูลว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใด ทั้งนี้ ให้รายงานผลการรวบรวมข้อมูลและสถิติต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๓.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชนที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร ๓.๔ ให้ทุกส่วนราชการที่มีกำหนดกิจกรรมงานวันเด็กแห่งชาติดำเนินการจัดงาน โดยมุ่งเน้นการให้ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาประเทศแก่เด็กและเยาวชน ๓.๕ ในปัจจุบันพบว่ามีอาคารที่หยุดการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่อาคารเหล่านี้ไม่สามารถปรับปรุง ทุบทิ้ง หรือดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้ เนื่องจากติดปัญหาข้อกฎหมาย จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้สามารถนำอาคารหรือพื้นที่เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ต่อไป รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมความปลอดภัยของอาคารเหล่านี้ด้วย ๓.๖ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมและจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับความต้องการและแนวทางการใช้ประโยชน์จากภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศร่วมกัน โดยให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานของแต่ละหน่วยงานได้ เช่น การจัด Zoning พื้นที่ทางการเกษตร การจำแนกพื้นที่สำหรับการจัดเก็บภาษี และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไป ๓.๗ ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลในความรับผิดชอบและติดตามข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับภารกิจหรือการดำเนินงานในความรับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการติดตามข่าวสารที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยหากข้อมูลใดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงให้เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเร็วด้วย ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีข้างต้นใช้เป็นแนวทางในการบริหารราชการให้เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้น ในขั้นตอนปฏิบัติ หน่วยงานจะต้องดำเนินการโดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||
| 25450 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | นร | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
|||||||||||||||||||||
| 25451 | การแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานของรัฐบาล | นร04 | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์และงานเร่งด่วนที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและขนส่ง การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และการจัดสรรที่ดินทำกิน ที่ต้องมีผลสัมฤทธิ์ตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติดำเนินการเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการขับเคลื่อนนโยบาย โครงการ แผนงานตาม Roadmap ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีที่ครอบคลุมภารกิจทั้ง ๕ ด้าน คือ ความมั่นคง การต่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีทั้ง ๕ ท่าน เป็นรองประธานกรรมการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นฝ่ายเลขานุการ
|
|||||||||||||||||||||
| 25452 | ขอนำเสนอวีดีทัศน์สรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒธรรมในการประชุมคณะรัฐมนตรี | วธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒนธรรม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลงานด้านต่างประเทศของกระทรวงวัฒนธรรม ช่วงระหว่างที่ ๑๕ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมีนโยบายในการใช้มิติทางวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์กับนานาประเทศและเผยแพร่ภาพลักษณ์ประเทศไทย จึงได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ ๑.๑ กิจกรรมวัฒนธรรมสัญจรสำหรับคณะทูตานุทูต ณ จังหวัดน่าน ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยมีคณะทูตานุทูตพร้อมคู่สมรสจาก ๒๒ ประเทศ รวม ๓๙ คน เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม แหล่งศิลปหัตถกรรมและภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย ตลอดจนเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ๑.๒ การเข้าพบและหารือความร่วมมือทวิภาคีทางด้านวัฒนธรรมกับเอกอัครราชทูตต่างประเทศ ได้แก่ เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรโมร็อกโกประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโปรตุเกสประจำระเทศไทย และเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ๑.๓ การลงนามในแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ ในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ในการนี้จะได้มีการเตรียมการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เวียดนาม ในปี ๒๕๕๙ โดยทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนการจัดงานเทศกาลวัฒนธรรม คือ เทศกาลวัฒนธรรมไทยในเวียดนาม (Thai Cultural Days in Viet Nam) และเทศกาลวัฒนธรรมเวียดนามในไทย (Viet Nam Cultural Day in Thailand) ๑.๔ การรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเมียนมาเยือนไทย ระหว่างวันที่ ๓-๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งได้มีการเจรจาหารือทวิภาคีเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านวัฒนธรรมระหว่างกันในด้านต่าง ๆ ๑.๕ การเชิญคณะนักแสดงจากกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอาเซียนเข้าร่วมงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงเทพมหานคร จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดขอนแก่น โดยมีคณะนักแสดงจาก ๙ ประเทศ เข้าร่วมงาน ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน และอินเดีย ๑.๖ การจัดกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์ไทยและนำความเป็นไทยสู่สากล ณ ประเทศเอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ระหว่างวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐอียิปต์ ระหว่างวันที่ ๔-๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นประธานการจัดการแสดงนาฏศิลป์ ดนตรีไทย และสาธิตงานศิลปหัตถกรรมไทย ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไคโร จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๖๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ๒. มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมไทยและสถานที่ท่องเที่ยวของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ “เมืองต้องห้าม...พลาด” ทั้งนี้ เพื่อสร้างความรับรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าวว่า สถานที่ท่องเที่ยวนั้นมีอะไรที่น่าสนใจ มีความสำคัญอย่างไร นักท่องเที่ยวจะได้เกิดมุมมองและประสบการณ์ใหม่ รวมทั้งได้รู้จักประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้ เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของไทยเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไปด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชนในการเตรียมการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๖๕ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา และการจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบ ๔๐ ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามความเหมาะสมต่อไป โดยให้คำนึงถึงสถานที่ในการจัดงานดังกล่าวให้มีความเหมาะสมและเพียงพอในการรองรับผู้เข้าร่วมงานด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 25453 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ | นร | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการพิจารณาร่างกฎหมายในชั้นกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเฉพาะร่างกฎหมายเกี่ยวกับการค้า การลงทุน การลดความเหลื่อมล้ำของสังคมซึ่งอาจมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้กฎหมายเป็นธรรมและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย จึงเห็นควรให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมให้ได้ข้อยุติ โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ในฐานะประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก่อนที่จะพิจารณาลงมติในวาระที่สาม ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๘ ดังนี้ ๒.๑ ให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒.๒ เห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๙ คน และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจัดทำสรุปข้อมูลผู้ได้รับการเสนอชื่อรายบุคคลเพิ่มเติม เพื่อขอรับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 25454 | เสนอรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | ยธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๘ ซึ่งเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน จำนวน ๙ คน และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินจัดทำสรุปข้อมูลผู้ได้รับการเสนอชื่อรายบุคคลเพิ่มเติมเพื่อขอรับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 25455 | การประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2558 | นร | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้กำหนดให้มีการประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ ในวันอังคารที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๗ เวลา ๐๙.๐๐ -๑๐.๓๐ น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||
| 25456 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดี) | ยธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รวมร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดี) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยส่งหนังสือเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เห็นว่า กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยกำหนดบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองให้ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนกลางก่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยให้นิติบุคคลอาคารชุดต้องดำเนินการเพื่อขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิเหนือห้องชุดดังกล่าวจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด อาจเป็นภาระให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด และไม่อาจแก้ไขปัญหาทรัพย์สินประเภทห้องชุดซึ่งค้างดำเนินการอยู่ในชั้นบังคับคดีเป็นจำนวนมากได้ รวมทั้งไม่ได้สร้างความเป็นธรรมอย่างแท้จริง สมควรมีมาตรการอื่นเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้เชิญกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 25457 | การสมัครเป็นสมาชิกสามัญขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด | พณ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แจ้งยืนยันว่า ในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด (International Organization of Legal Metrology : OIML) ประเทศไทยได้ขอสงวนสิทธิ์แล้วว่า จะไม่ยอมรับสถานภาพทางกฎหมายและให้เอกสิทธิ์แก่สำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานฯ ตามข้อ ๒๓ ของอนุสัญญาก่อตั้งองค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ ๒. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงพาณิชย์ปรับเปลี่ยนชื่อภาษาไทยของ International Organization of Legal Metrology จาก “องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด” เป็น “องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรวิทยาเชิงกฎหมาย” ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ กรมการค้าภายในได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพิ่มเติมภายหลังจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ให้กรมการค้าภายในเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานและงานด้านชั่งตวงวัดภายในประเทศให้สอดคล้องตามหลักเกณฑ์การเข้าร่วมเป็นสมาชิกสามัญของ OIML พร้อมทั้งพิจารณากฎระเบียบภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาการก่อตั้งองค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ ตลอดจนเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้รับทราบถึงสถานะ ข้อกำหนด และมาตรฐานชั่งตวงวัดตามกฎหมายชั่งตวงวัดของ OIML เพื่อให้การกำกับดูแลและการพัฒนางานด้านชั่งตวงวัดภายในประเทศเป็นไปตามมาตรฐานสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนการสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญของ OIML ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 25458 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) | ยธ | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รวมร่างพระราชบัญญัติทั้ง ๒ ฉบับเป็นฉบับเดียวกัน ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การบังคับคดี) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยส่งหนังสือเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เห็นว่า กรณีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยกำหนดบทบัญญัติเพื่อคุ้มครองให้ผู้ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนกลางก่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยให้นิติบุคคลอาคารชุดต้องดำเนินการเพื่อขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิเหนือห้องชุดดังกล่าวจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด อาจเป็นภาระให้แก่นิติบุคคลอาคารชุด และไม่อาจแก้ไขปัญหาทรัพย์สินประเภทห้องชุดซึ่งค้างดำเนินการอยู่ในชั้นบังคับคดีเป็นจำนวนมากได้ รวมทั้งไม่ได้สร้างความเป็นธรรมอย่างแท้จริง สมควรมีมาตรการอื่นเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓. ให้เชิญกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมชี้แจงแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 25459 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 4 | กต | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ [4th Mekong-Republic of Korea (ROK) Foreign Ministers’ Meeting] ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๔ และแผนปฏิบัติการความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ปี ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (Mekong-ROK Plan of Action 2014-2017) โดยถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการทบทวนและทิศทางในอนาคตของความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี การส่งเสริมความร่วมมือสำหรับประเด็นในระดับภูมิภาคและระดับโลก และการประชุมลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี สำหรับแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญระบุถึงเป้าหมายและโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกใน ๖ สาขา ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการพัฒนาชนบท และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ จะได้รับการทบทวนอย่างสม่ำเสมอในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และปรับปรุงให้ทันสมัยเมื่อจำเป็นเพื่อให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และความต้องการของประเทศลุ่มน้ำโขงอยู่เสมอ ๑.๒ มอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาโลจิสติกส์ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจชายฝั่งตอนใต้ระหว่างไทย-กัมพูชา-เวียดนาม รวมทั้งโครงการจัดตั้ง Mekong Transportation Institute (Phase I) และเสนอโครงการในสาขานี้ โดยเน้นโครงการในลักษณะไตรภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี-และประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ๑.๒.๒ เสนอโครงการในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนประเทศสมาชิกลุ่มน้ำโขงให้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีฯ ในภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๒.๓ ติดตามผลการดำเนินงานโครงการบุกเบิก ฟื้นฟู และบูรณะระบบนิเวศป่าไม้ที่เสื่อมโทรม ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือด้านป่าไม้ระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี และเสนอโครงการในสาขา Green Growth ที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ ภาคการผลิต และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยเน้นโครงการในลักษณะไตรภาคีระหว่างไทย-สาธารณรัฐเกาหลี-และประเทศ CLMV ๑.๒.๔ ร่วมดำเนินโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทกภัย การชลประทาน และการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการในแม่น้ำโขง ๑.๒.๕ ดำเนินการโครงการอบรมครบวงจรเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวในประเทศลุ่มน้ำโขง ๑.๒.๖ ดำเนินงานและติดตามผลการฝึกอบรมบุคลากรในประเทศลุ่มน้ำโขงภายใต้โครงการ Freight and Transport Association (FRETA) Certified Logistics Master และโครงการ Promoting Regional Agriculture Value Chains on the GMS Southern Economic Corridor ๑.๒.๗ ร่วมมือในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับประชาชนต่อประชาชน ๑.๒.๘ ประสานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมประชุม Mekong-ROK Business Forum ครั้งที่ ๓ ที่กัมพูชา ในปี ๒๕๕๘ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ ควรคำนึงถึงประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือชุมชนท้องถิ่น และการสื่อสารข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจต่อชุมชน และในหัวข้อการเกษตรและการพัฒนาพื้นที่ชนบท ควรเพิ่มเติมเรื่องของการส่งเสริมเกษตรกรรมที่ปลอดการใช้สารเคมีในบริเวณพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง นอกจากนี้ ข้อเสนอของไทยจะดำเนินโครงการอบรมครบวงจรเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตข้าวในร่างแผนปฏิบัติการความร่วมมือฯ ควรเน้นความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืนทางด้านการจัดการน้ำไปพร้อมกันด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 25460 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงหน่วยงานที่ได้รับยกเว้นภาษีประจำปี) | สว | 06/01/2558 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นภาษีประจำปี) ว่า ในกรณีการเสนอขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยมีหลักการเป็นการยกเว้นการขออนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลและยกเว้นภาษีรถประจำปีให้แก่วัด มัสยิด และมิซซัง นั้น ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้เสนอปรับปรุงพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียว ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาสมควรที่กรมการขนส่งทางบกจะได้นำประเด็นดังกล่าวเสนอเพื่อพิจารณาบัญญัติไว้ให้ครอบคลุมองค์กรทางศาสนาอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งเป็นการเฉพาะและเป็นนิติบุคคลเช่นเดียวกันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปด้วย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคม ซึ่งกระทรวงคมนาคมเห็นพ้องด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว และได้แจ้งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำเกี่ยวกับองค์กรทางศาสนาในร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (รวมกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ให้เป็นฉบับเดียว) ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการคมนาคมแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
.....
