ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1274 จากทั้งหมด 6220 หน้า แสดงรายการที่ 25461 - 25480 จากข้อมูลทั้งหมด 124393 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 25461 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 3 ฉบับ | คค | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ บริเวณทางหลวงชนบท ศก. ๔๐๐๓ ในท้องที่ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ บริเวณทางหลวงชนบท สฎ. ๒๐๐๗ ในท้องที่ตำบลท่าเคย อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และบริเวณทางหลวงชนบท พบ. ๑๐๐๑ และทางหลวงชนบท พบ. ๑๐๑๐ ในท้องที่ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมยจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้ไาปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลห้วยทับทัน อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าเคย อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลชะอำ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี พ.ศ. ....
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25462 | ขออนุมัติ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2558 - 2561 | ยธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาประสิทธิภาพระบบการให้บริการประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาและบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การส่งเสริมกระบวนการยุติธรรมทางเลือกและการมีส่วนร่วมในงานยุติธรรม ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การพัฒนาบุคลากรและสร้างองค์ความรู้ในงานยุติธรรม และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การขับเคลื่อนและบูรณาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ โดยเป้าหมายของ (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ คือ การให้บริการประชาชนของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ ให้องค์กรที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นกรอบทิศทางและแนวทางดำเนินงาน รวมทั้งจัดทำโครงการรองรับให้สอดคล้องหรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการหลักที่สำคัญของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รองรับการดำเนินงานในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ๑.๓ ให้สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการประสาน สนับสนุน ติดตามประเมินผลเพื่อการดำเนินงานขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ไปสู่การปฏิบัติ และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมจัดส่งแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อดำเนินการตามแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดและวงเงินงบประมาณเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติก่อนเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อสำนักงบประมาณจะได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมฯ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25463 | แนวทางการแปรรูปยางธรรมชาติ เพื่อนำไปสร้างพื้นลู่ - ลานกรีฑา และพื้นลานอเนกประสงค์ | วท | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลงานการวิจัย เรื่อง การพัฒนาวัสดุยางสังเคราะห์และยางธรรมชาติเพื่อจัดสร้างลู่-ลานกรีฑา ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์บริการร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทยได้ดำเนินงานโครงการศึกษาและพัฒนาวัสดุยางสังเคราะห์และยางธรรมชาติเพื่อจัดสร้างลู่-ลานกรีฑา และพัฒนาเทคโนโลยีลู่-ลานกรีฑาให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งสนับสนุนการใช้วัตถุดิบยางธรรมชาติภายในประเทศ ตลอดจนสามารถลดค่าใช้จ่ายและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และให้ความเห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับการกีฬาแห่งประเทศไทยในการกำหนดมาตรฐานของพื้นลู่-ลานกรีฑา สนามกีฬา รวมทั้งลานกีฬา และประกาศใช้อย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ส่วนราชการสามารถนำไปเป็นกรอบในการปฏิบัติสำหรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยาง และกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้างที่สนใจเข้าร่วมเป็นผู้ผลิต และให้กรมวิทยาศาสตร์บริการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผสมยางและสูตรยางที่เหมาะสมให้ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยาง และถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำพื้นลู่-ลานกรีฑาและพื้นสนามที่เหมาะสมให้ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาในส่วนของค่าสิทธิบัตรของงานวิจัยดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการสำรวจความต้องการในการสร้างลานกีฬา สนามกีฬา หรือโครงการที่สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นลู่-ลานกรีฑาที่พัฒนาขึ้นนี้ของหน่วยงาน ทั้งในส่วนของจำนวนและขนาดพื้นที่ เพื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะได้คำนวณหาความต้องการในการใช้งานโดยรวมของประเทศทั้งในด้านงบประมาณที่ต้องใช้และที่สามารถประหยัดได้ ปริมาณยางธรรมชาติในประเทศที่ต้องใช้ในโครงการ รวมทั้งปริมาณการนำเข้าวัสดุสังเคราะห์จากต่างประเทศที่ลดลง เพื่อรายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25464 | ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับระบบการอุทธรณ์และฎีกา รวม 9 ฉบับ | ศย | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับระบบการอุทธรณ์และฎีกา รวม ๙ ฉบับ เพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับระบบการอุทธรณ์และฎีกาให้สอดคล้องกับระบบการอุทธรณ์และฎีกาตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยการจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษขึ้น เพื่อให้จัดระบบการอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พร้อมกับการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวม ๘ ฉบับดังกล่าว เพื่อให้หลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกาเป็นระบบเดียวกัน และมีความสอดคล้องกับอำนาจในการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๖. ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๗ ร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๘ ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๑.๙ ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การอุทธรณ์และฎีกา) ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการบริหารจัดการอัตรากำลังและพัฒนากำลังคนภาครัฐและงบประมาณค่าใช้จ่ายจากการปรับปรุงกฎหมายทั้ง ๙ ฉบับดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25465 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย | กต | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๑๘๔ (ค.ศ. ๒๐๑๔) เกี่ยวกับการขยายเวลาการดำเนินมาตรการเกี่ยวกับการปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลียออกไปจนถึงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. มอบหมายให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป นอกจากนี้ หากพบข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าว ให้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25466 | ผลการประชุมผู้นำกรอบความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (บิมสเทค) ครั้งที่ 3 และการประชุมรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 14 | กต | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบปฏิญญาการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ ๓ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยืนยันความตั้งใจและความพยายามของรัฐสมาชิกบิมสเทคที่จะบรรลุถึงเป้าหมายและเจตนารมณ์พื้นฐานของบีมสเทค ๑.๒ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ ๑๔ ซึ่งที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าของการดำเนินงานในสาขาความร่วมมือ ๑๔ สาขา โดยประเด็นที่สำคัญคือ (๑) สาขาการค้าและการลงทุน ระบุถึงความจำเป็นที่จะต้องมีเขตการค้าเสรีเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในอ่าวเบงกอล และเร่งรัดให้มีการลงนามความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า ความตกลงว่าด้วยกระบวนการและกลไกระงับข้อพิพาท ความตกลงว่าด้วยการให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือระหว่างกันในเรื่องทางศุลกากรภายใต้กรอบความตกลงเขตการค้าเสรีบิมสเทค และพิธีสารแก้ไขกรอบความตกลงเขตการค้าเสรีบิมสเทคโดยเร็ว (๒) สาขาเทคโนโลยี เร่งรัดให้จัดทำร่างตราสารว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีบิมสเทคโดยเร็ว (๓) สาขาพลังงาน เร่งรัดให้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าบิมสเทคให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว (๔) สาขาการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร เน้นย้ำถึงความสำคัญที่จะต้องพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาคโดยใช้รายงานผลการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งในภูมิภาคและโลจิสติกส์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เป็นพื้นฐาน และเร่งดำเนินการตามโครงการสำคัญเร่งด่วน ๖๕ โครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และ (๕) สาขาการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ เร่งรัดให้รัฐสมาชิกให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาบิมสเทคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายสากล องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและการลักลอบค้ายาเสพติดและการลงนามรับรองร่างอนุสัญญาบิมสเทคว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือระหว่างกันในเรื่องทางอาญา และเรียกร้องให้รัฐสมาชิกเริ่มเจรจาจัดทำร่างอนุสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ๑.๓ มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามตารางติดตามผลการประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่ ๓ และการประชุมรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ ๑๔ อาทิ สาขาการค้าและการลงทุน ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกร่วมกันจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้า (BIMSTEC Agreement on Trade in Goods) การเร่งสร้างเขตการค้าเสรี BIMSTEC เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในอ่าวเบงกอล สาขาการคมนาคมและการสื่อสาร ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกระบุรายชื่อโครงการเร่งด่วนเพิ่มเติมตามรายงานการศึกษาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของบิมสเทค (BIMSTEC Transport Infrastructure and Logistics Study : BTILS) การให้ระบุโครงการสำคัญเร่งด่วนและจัดเตรียมแผนปฏิบัติการสำหรับปี ๒๕๕๗/๒๕๖๓ สาขาพลังงาน ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคในภาคพลังงาน และการให้รัฐสมาชิกส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ/พลังงานสะอาดเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันและให้ประเทศสมาชิกร่วมกันจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าให้เสร็จสมบูรณ์ สาขาเทคโนโลยี ได้แก่ การให้รัฐสมาชิกส่งเสริมความร่วมมือในการขยายฐานด้านฝีมือและเทคโนโลยีด้วยการร่วมมือและการเป็นหุ้นส่วนโดยมุ่งเน้นสาขา SMEs และให้เร่งรัดการรับรองร่างตราสารจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีของ BIMSTEC โดยเร็ว เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการดำเนินข้อริเริ่มความร่วมมือในอนาคตควรคำนึงถึงการป้องกันและเฝ้าระวัง (safeguard) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในบริบทที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งประเด็นการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ประเทศไทยควรใช้เวทีบิมสเทคผลักดันต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความร่วมมือหรือเกิดการจัดทำแผนการทำงานร่วมกันของประเทศที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25467 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2558 | กค | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๕๘ ไว้ที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ๒๕๕๘ ที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาต่อไปด้วย ดังนี้ ๒.๑ ในระยะต่อไป เห็นควรให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันศึกษาถึงอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมทั้งการกำหนดค่าความยืดหยุ่นของเป้าหมายทางการเงินให้มีความเหมาะสมเพื่อใช้เป็นกรอบเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ๒.๒ การกำหนดค่ากลางของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจะช่วยให้สาธารณชนสามารถคาดการณ์เป้าหมายเงินเฟ้อได้อย่างถูกต้องและใช้ค่ากลางดังกล่าวประกอบการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของนโยบายการเงิน จึงควรดำเนินนโยบายการเงินที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายของค่ากลางด้วย ๒.๓ ในการดำเนินนโยบายการเงิน ควรพิจารณาถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ เช่น การขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ระดับการจ้างงาน ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25468 | แผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงการบริการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสภาพช่องปากเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง พัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมด้านทันตสุขภาพที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ พัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านทันตกรรมผู้สูงอายุ รวมทั้งพัฒนาระบบบริหารจัดการ งบประมาณ การสนับสนุน การกำกับติดตาม และการประเมินผลการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับปรุงแผนงานทันตสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุให้เน้นการดำเนินงานในเชิงป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหาสุขภาพในช่องปาก โดยควรขยายกลุ่มเป้าหมายหลักให้ครอบคลุมถึงผู้มีอายุต่ำกว่า ๖๐ ปีด้วย โดยในการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแผนปฏิบัติงาน เป้าหมาย และผลที่คาดว่าจะได้รับให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ประชาชนจะได้รับผลประโยชน์อย่างไรจากโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ ให้จัดทำแผนปฏิบัติการ กำหนดตัวชี้วัดของผลสัมฤทธิ์เป็นรายไตรมาส รวมทั้งงบประมาณที่เกี่ยวข้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อนการดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพสาธารณสุขและสุขภาพประชาชน การจัดทำแผนทันตกรรมทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ การเพิ่มมาตรการ/กลไก การติดตามและการประเมินผล การรายงานผล การกำหนดเป้าหมาย/งบประมาณตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้ตามยุทธศาสตร์ โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน จำนวนบุคลากรที่เพียงพอต่อการให้บริการ รวมทั้งมีแผนการผลิต การพัฒนา และการใช้บุคลากรด้านทันตกรรมและทันตสาธารณสุขที่สอดคล้องกับการดำเนินการแผนงานดังกล่าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมในการจัดบริการด้านทันตสุขภาพ การกำหนดตัวชี้วัดในเชิงคุณภาพควบคู่กับตัวชี้วัดเชิงปริมาณ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมป้องกันในแผนระยะที่สองเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25469 | ขอเปลี่ยนแปลงโครงการบริหารจัดการน้ำ ปี 2557 ตามข้อมูลการสำรวจจากกองทัพบก งานเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อความเดือดร้อนของประชาชนและชุมชน | มท | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงรายการตามโครงการบริหารจัดการน้ำ ปี ๒๕๕๗ ตามข้อมูลการสำรวจจากกองทัพบก งานเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อความเดือดร้อนของประชาชนและชุมชน โดยกรมการทหารช่าง (ที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) จากเดิม โครงการขุดลอกแหล่งน้ำพรุจาหนัน ตำบลพร่อน อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา วงเงินงบประมาณ ๔๙,๖๙๐,๐๐๐ บาท เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่ในแผนดำเนินการปี ๒๕๕๘ ของกรมชลประทาน เปลี่ยนเป็น โครงการขุดลอกคลองสว่าง ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง วงเงินงบประมาณ ๔๙,๖๙๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ แผนงานพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการแผ่นดิน ผลผลิตส่วนราชการที่มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ที่กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน โดยให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25470 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร เพื่อมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งกำหนดผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25471 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน พ.ศ. .... | ศธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้มีตราสัญลักษณ์ประจำสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25472 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. .... | พม | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานและระบุอำนาจหน้าที่ของแต่ละส่วนราชการให้เหมาะสมกับสภาพของงาน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25473 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก พ.ศ. .... | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ที่ภาชนะบรรจุหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้มีฉลากและเอกสารกำกับยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ หรือคำเตือนหรือข้อควรระวังการใช้ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติดให้โทษในประเภท ๓ ที่ผลิต นำเข้า หรือส่งออก ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25474 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 15 - 19 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25475 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน 2557 และวันที่ 1 - 4 ธันวาคม 2557) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤจิกายน 2557 และวันที่ 1 - 4 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25476 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ 8 - 12 ธันวาคม 2557) | สผ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ ๑.๑ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑-๔ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๘-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๑.๓ รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วันที่ ๑๕-๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๗) ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ประสานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ดังนี้ ๒.๑ ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติของแต่ละคณะที่นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริงและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน โดยให้มีการกำหนดประเด็นหลักและประเด็นรองที่ชัดเจน รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนให้มีการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับผลงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป ๒.๒ กรณีคณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ เช่น พลังงาน ไฟฟ้า น้ำมัน ขยะ เห็นควรให้เชิญหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงหรือแสดงความคิดเห็นประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อขับเคลื่อนงานกับรัฐบาลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25477 | รายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา "หมู่บ้านรักษาศีล 5" | พศ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล ๕ ” และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงานต่อไป ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินงานในช่วง ๔ เดือนแรก (มิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๗) มีหมู่บ้านที่สมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๙,๖๗๑ หมู่บ้าน ประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๒,๕๓๕,๙๒๔ คน ทุกจังหวัดได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคส่วนต่าง ๆ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานในแต่ละจังหวัด จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ ประชาสัมพันธ์โครงการฯ และเชิญชวนให้ประชาชนประพฤติตามหลักศีล ๕ ครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้ประเมินผลโครงการฯ ครั้งแรกพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อโครงการฯ ที่เสริมสร้างความเข้าใจ ความปรองดองสมานฉันท์ และการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ปฏิบัติต่อตนเองและสังคมในระดับดีมาก ๒. การดำเนินงานตามโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” เน้นการรณรงค์ส่งเสริมและปลูกฝังให้เยาวชนและประชาชนทุกคนรักษาศีล ๕ ขยายไปในพื้นที่ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐) จำนวน ๗,๒๕๕ ตำบล ๗๔,๖๙๓ หมู่บ้าน ๖๑,๕๖๑,๙๓๓ คน โดยแบ่งระยะการดำเนินงานเป็น ๒ ระยะ คือ ๒.๑ ระยะเร่งด่วน มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดดำเนินการประชุมชี้แจงคณะสงฆ์ หัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปแก้ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยกในสังคม ให้ประชาชนปรับเปลี่ยนทัศนคติ ให้เกิดจิตสำนึกรักถิ่นฐานของตนเอง หันหน้ามาพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีความตระหนัก รักเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านกลไกทางพระพุทธศาสนา คือ หลักศีล ๕ ให้ครอบคลุมทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ ๒.๒ การดำเนินงานปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กำหนดแผนงานในการขับเคลื่อนโครงการ “หมู่บ้านรักษาศีล ๕” ในระยะ ๔ ปีงบประมาณ คือ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ เพื่อเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างยั่งยืน โดยเน้นการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เชิญชวน ให้พุทธศาสนิกชนสมัครเป็นสมาชิกครอบครัวรักษาศีล ๕ หมู่บ้านรักษาศีล ๕ สถานศึกษารักษาศีล ๕ และหน่วยงานรักษาศีล ๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25478 | รายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในวันที่ ๑๔-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร และผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม เรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ประกอบด้วย การประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีประเด็นผลการประชุมเจรจาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ คือ ๑.๑ คำแถลงการณ์ร่วมของสมาชิกอาเซียนบวกสาม เน้นนโยบาย ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศ (๒) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค และ (๓) ร่วมกับประชาคมโลกในการหยุดยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๒ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนบวกสาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) เพิ่มความร่วมมือด้านการป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อข้ามพรมแดนต่าง ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล การฝึกอบรมบุคลากร และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น (๒) สร้างกลไกการเตรียมความพร้อมตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาและโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก (๓) จัดช่องทางสื่อสารการเตือนภัยล่วงหน้า มีสายด่วนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสาธารณสุข และ (๔) ความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาและเพิ่มความพร้อมเครื่องมือในการป้องกันโรค ตรวจจับสัญญาณการระบาด การรักษาพยาบาล และการควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะจากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประเทศไทยควรมีการดำเนินงานตามข้อแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน เรื่อง การเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ได้แก่ (๑) พัฒนาศักยภาพของการเฝ้าระวังและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และท้องถิ่น เช่น การอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนามและผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาโปรแกรมในการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การซ้อมแผนเมื่อมีการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นต้น (๒) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางระบาดวิทยาผ่านกลไกของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations : IHR) ความร่วมมือของบุคลากรในหลายภาคส่วน การแบ่งปันการใช้ทรัพยากร ทั้งอุปกรณ์ป้องกันตนเองส่วนบุคคล เวชภัณฑ์และโลจิสติกส์ต่าง ๆ เป็นต้น และ (๓) สร้างระบบเครือข่ายและพัฒนาแนวทางในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ๒. ผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทยจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมเงินทุนภายในประเทศ โดยมีการประชาสัมพันธ์และจัดให้มีการเปิดรับเงินบริจาคผ่านรายการปันน้ำใจต้านภัยอีโบลาทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ หรือโอนเงินทางบัญชีกระแสรายวัน ๓ ธนาคาร สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ชื่อบัญชี “พลังน้ำใจเพื่อหยุดยั้งอีโบลา” ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย โดยรับบริจาคถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25479 | โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา | มท | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง โครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา) ในการร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นรองประธานกรรมการ ปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อเป็นองค์กรในการขับเคลื่อนโครงการฯ และกรอบแผนการดำเนินการโดยสังเขป (Timeline) ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ด้วยความเรียบร้อยและบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างคุ้มค่า สมประโยชน์ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25480 | แจ้งเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จำนวน 1 ราย | อื่นๆ | 06/01/2558 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ส่งเรื่อง แจ้งเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จำนวน ๑ ราย คืนสำนักงานคณะกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ตามนัยความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงรายชื่อประธานกรรมการหรือกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพนั้น ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ดังนั้น ในกรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
