ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1095 จากทั้งหมด 6216 หน้า แสดงรายการที่ 21881 - 21900 จากข้อมูลทั้งหมด 124301 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21881 | ร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยของราชการส่วนท้องถิ่น และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม สอดคล้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่ยังไม่ได้กำหนดไว้ และให้กระทรวงมหาดไทยสามารถเสนอขอตั้งงบประมาณด้านการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยในส่วนขององค์กรปกครองาส่วนท้องถิ่นได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการกำหนดบทนิยามในการจัดทำแผนงานโครงการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้ครอบคลุมและชัดเจนว่าให้หมายรวมถึงการจัดทำแผนฯ ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ การบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั้งการเก็บ ขนและกำจัด และครอบคลุมถึงขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิดประเภทชุมชนทุกประเภท ซึ่งควรรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อและมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนด้วย การให้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นผู้ควบคุมดูแลในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลเช่นเดิม และข้อสังเกตในส่วนของ บทบัญญัติในมาตรา ๓๔/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติฯ ไม่บัญญัติให้ยกเว้นการใช้บังคับกับการจัดการของเสียไม่อันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน อาจทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ซ้ำซ้อนกันเป็นภาระแก่ประชาชนที่อยู่ในบังคับกฎหมายดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21882 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) (นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ) | นร05 | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21883 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับเมียนมา ครั้งที่ 7 | พณ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างองค์ประกอบผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission : JTC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ๒. เห็นชอบในหลักการต่อประเด็นความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าสำหรับการหารือกับเมียนมาที่ฝ่ายไทยประสงค์จะผลักดัน ได้แก่ (๑) การตั้งเป้าหมายการค้าสองฝ่าย (๒) ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้าชายแดน (๓) ความร่วมมือด้านการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน (๔) ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร (๕) ความร่วมมือในการเชื่อมโยงระหว่างกัน (๖) ความร่วมมือด้านการเงินและการธนาคาร (๗) ความร่วมมือเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ (๘) ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และ (๙) ความร่วมมือด้านวิชาการ การพัฒนาบุคลากร และอื่น ๆ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้เป็นกรอบการหารือสำหรับการประชุม JTC ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้ผลักดันเพิ่มเติมในเรื่องการเพิ่มใบอนุญาตให้แก่ธนาคารพาณิชย์ไทยในเมียนมาเพื่อให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการไทยในการทำธุรกรรมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเมียนมาได้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. หากในการประชุมดังกล่าวมีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ ๒ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับเมียนมา โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๗ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21884 | โครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs in Thailand | อก | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs in Thailand มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งผู้ริเริ่มธุรกิจ (Start-ups) ที่คิดค้นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสะอาดของประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระดับระหว่างประเทศ เช่น Venture Capitals และ Angels Network สำหรับใช้ในการขยายขีดความสามารถในการผลิตเพื่อรองรับตลาดโลกใน ๔ สาขา ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ของเสียเป็นพลังงานและพลังงานหมุนเวียน โดยแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในโครงการจะใช้รูปแบบ (model) ของ Cleantech Open ใน Silicon Valley สหรัฐอเมริกา ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs in Thailand กับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารโครงการดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการพัฒนาและสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสะอาด และเป็นการแสดงเจตจำนงของประเทศไทยในการให้ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การวางแผนในการดำเนินการต่อยอดและขยายผลการที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและแนวทางการพัฒนานวัตกรรมให้กับ SMEs หรือ Start-ups อื่น ๆ ในประเทศต่อไปในอนาคต การตรวจสอบความถูกต้องของคำแปลในหัวข้อ "บริบทของกฎหมาย" ในร่างโครงการฯ ฉบับภาษาไทยที่ยังไม่สอดคล้องกับฉบับภาษาอังกฤษ และการให้ความสำคัญกับการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์โครงการแก่ผู้ประกอบการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจและมีความพร้อมสามารถเข้าร่วมโครงการได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งการติดตามประเมินผลโครงการเพื่อนำไปสู่การขยายผลโครงการในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเงินสด (in kind) ที่ประเทศไทยต้องร่วมสมทบงบดำเนินการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไปตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๔. หากมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคำในร่างเอกสารโครงการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการปรับเปลี่ยนได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21885 | โครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี | นร11 | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้มีการดำเนินโครงการให้เอกชนลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกำจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี เพราะจะช่วยแก้ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยของจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่เป้าหมายระยะเร่งด่วนภายใต้ Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ โดยเป็นโครงการนำร่องรูปแบบการจัดการ (Model L) สำหรับรองรับปริมาณขยะมูลฝอยขนาด ๓๐๐ ตันต่อวันขึ้นไป ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรีรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการอย่างเคร่งครัดต่อไป ดังนี้ (๑) เร่งประสานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในการยื่นคำร้องและข้อเสนอการขายไฟฟ้า (๒) ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ในรายละเอียดความเป็นไปได้ และสิทธิประโยชน์ที่คาดว่าเอกชนจะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน (๓) จัดทำแผนการลดปริมาณและการคัดแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิดควบคู่ไปพร้อมกับการดำเนินโครงการฯ (๔) ให้หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่อนุญาตให้มีการก่อสร้างและเดินระบบผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย ติดตามตรวจสอบการดำเนินงานตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด (๕) เสนอต่อคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ พิจารณาเรื่องค่าลงทุนและเทคโนโลยีของโครงการฯ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น รวมทั้งผลประโยชน์ที่เอกชนจะได้รับจากการส่งเสริมการลงทุน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (องค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เกี่ยวกับการวางแผนการกำจัดขยะมูลฝอยส่วนที่เหลือและกากเถ้า แผนการจัดการขยะมูลฝอยของโครงการฯ กรณีที่โครงการฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ตามระยะเวลาที่วางแผนไว้ การพิจารณานำอัตราค่ากำจัดขยะมูลฝอยเป็นปัจจัยในการพิจารณาข้อเสนอของเอกชน การคัดแยกของเสียอันตรายชุมชนและขยะมูลฝอยที่ไม่สามารถเผาไหม้ได้ออกตั้งแต่ต้นทางจากบ้านเรือน ชุมชน และร้านค้าพาณิชย์ต่าง ๆ แผนบริหารระบบและแผนสำรองด้านงบประมาณรองรับในกรณีที่ไม่มีการประกาศอัตราการรับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็ก มาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ การพิจารณาความเสี่ยงหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการบริหารจัดการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21886 | การให้สิทธิพิเศษในการให้บริการทางวิชาการและการวิจัยแก่สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | กค | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้รับสิทธิพิเศษ ประเภทไม่บังคับ เฉพาะการให้บริการทางด้านวิชาการและการวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ประสงค์จะจ้างหรือให้บริการทางวิชาการหรือการวิจัยในลักษณะเป็นการจ้างที่ปรึกษา สามารถติดต่อจ้างหรือขอใช้บริการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติได้โดยตรง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๘๓ (๔)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21887 | มาตรการบูรณาการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน | ยธ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการบูรณาการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน รวม ๓ มาตรการ และให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ ประกอบด้วย (๑) มาตรการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดและแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด (๒) มาตรการการดูแลช่วยเหลือ สร้างงานสร้างอาชีพ และ (๓) มาตรการนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด รวมทั้งกลไกในการขับเคลื่อนมาตรการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน และการจัดทำแผนงบประมาณเชิงบูรณาการตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ๑.๒ ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเกี่ยวกับการมีคณะทำงานในการพิจารณาระบบหลักเกณฑ์ เงื่อนไขต่าง ๆ ในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งงบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม และการเพิ่มข้อความในมาตรการ “ข้อ ๔ กำหนดให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมดูแลช่วยเหลือผู้กระทำผิดทุกกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพ” และการมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการผลักดันการดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และการจัดทำแผนงบประมาณบูรณาการ รวมทั้งประเด็นเรื่องการเพิ่มผู้แทนกรมคุมประพฤติเป็นกรรมการและเลขานุการร่วมในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ หากมีการเพิ่มผู้แทนกรมคุมประพฤติเป็นเลขานุการร่วมเพียงหน่วยงานเดียวจะเกิดข้อคำถามจากหน่วยงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มภารกิจด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนเช่นเดียวกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานระดับหน่วยงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรการในเรื่องนี้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการบูรณาการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางการบูรณาการความร่วมมือในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน ในภารกิจคืนคนดีสู่สังคมในกลุ่มผู้กระทำผิดที่เป็นผู้ถูกคุมขังความประพฤติที่ศาลสั่งคุมความประพฤติผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้ได้รับการพักการลงโทษและลดวันต้องโทษจำคุก รวมถึงผู้พ้นภาระในการรายงานตัว พ้นการคุมความประพฤติผ่านการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ้นโทษจำคุกและผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไขในการรายงานตัว ประกอบด้วย ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดและแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด (๒) มาตรการการดูแลช่วยเหลือ สร้างงานสร้างอาชีพ และ (๓) มาตรการนำชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด รวมทั้งกลไกในการขับเคลื่อนมาตรการการแก้ไขฟื้นฟู ติดตาม ดูแล ช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทำผิดในชุมชน และการจัดทำแผนงบประมาณเชิงบูรณาการตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ และให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ ๑.๒ ให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเกี่ยวกับการมีคณะทำงานในการพิจารณาระบบหลักเกณฑ์ เงื่อนไขต่าง ๆ ในการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งงบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม และการเพิ่มข้อความในมาตรการ “ข้อ ๔ กำหนดให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือศูนย์บริการสาธารณสุขกรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมดูแลช่วยเหลือผู้กระทำผิดทุกกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพ” และการมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเป็นกลไกหลักในการผลักดันการดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และการจัดทำแผนงบประมาณบูรณาการ รวมทั้งประเด็นเรื่องการเพิ่มผู้แทนกรมคุมประพฤติเป็นกรรมการและเลขานุการร่วมในคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ หากมีการเพิ่มผู้แทนกรมคุมประพฤติเป็นเลขานุการร่วมเพียงหน่วยงานเดียวจะเกิดข้อคำถามจากหน่วยงานอื่นที่อยู่ในกลุ่มภารกิจด้านการบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชนเช่นเดียวกันได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานระดับหน่วยงาน เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรการในเรื่องนี้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21888 | โครงการสนับสนุนการดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม 77 ของไทย | กต | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินโครงการสนับสนุนการดำรงตำแหน่งประธานกลุ่ม ๗๗ ของไทย ระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘-มกราคม ๒๕๖๐ งบประมาณทั้งสิ้น ๒๐๑,๙๕๖,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอถัวเฉลี่ยทุกรายการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่ให้หน่วยงานวางแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน รวมถึงดำเนินการให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21889 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 11 ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๑ (The 21st session of the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP 21) และการประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๑ (The 11th session of the Conference of the Parties Serving as the Meeting of the Parties to the Kyoto Protocol : CMP 11) ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจัดทำความตกลงใหม่ที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคีสมาชิกเพื่อใช้แทนที่พิธีสารเกียวโตซึ่งจะหมดวาระลงในปี ๒๐๒๐ ๑.๒ รับทราบสาระสำคัญของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายร่วมกันระดับโลก (๒) การกำหนดความร่วมมือด้านการลดก๊าซเรือนกระจก (๓) การกำหนดความร่วมมือด้านการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (๔) การสนับสนุนทางการเงิน (๕) การจัดตั้งกรอบความร่วมมือด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (๖) การเสริมสร้างกลไกความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนา และ (๗) การสร้างกรอบการรายงานข้อมูลให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานและการสนับสนุน และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำสาระความตกลงดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงปารีสในโอกาสต่อไป ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศ ๑.๓.๑ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนที่นำทาง (Roadmap) ซึ่งระบุแนวทางและมาตรการในรายละเอียดเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้ตั้งไว้ ๑.๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายรับผิดชอบ (National Designated Entities : NDE) ร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลด้านเทคโนโลยีและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง (Technology database and roadmap) เพื่อนำไปเป็นกรอบในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับประเทศ รวมถึงเป็นกรอบในการหารือความร่วมมือระหว่างประเทศในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ๑.๓.๓ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจัดทำเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ โดยเฉพาะเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกทุก ๕ ปี หลังจากปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสาน ติดตาม ประเมินผลความก้าวหน้าการดำเนินงานในระดับประเทศ ๑.๓.๔ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีภารกิจเพิ่มเติมในการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการรายงานและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก และร่วมมือกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพัฒนาคู่มือการรายงานและติดตามผลการดำเนินงาน (Measure, Report, Verify : MRV) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ๑.๓.๕ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานกลางในการประสาน ติดตาม การดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการสนับสนุนเงิน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างศักยภาพจากต่างประเทศ โดยขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานข้อมูลดังกล่าว ๑.๔ มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดสรรจำนวนบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติภารกิจประธานกลุ่ม ๗๗ และจีน ในกรอบ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ในปี ๒๕๕๙ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศ ควรดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ได้เสนอไว้ โดยเร่งผลักดันการดำเนินการตามแผนต่าง ๆ ที่ใช้เป็นฐานในการคิดคำนวณเป้าหมายระยะยาวดังกล่าว รวมทั้งติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของการดำเนินการในระดับประเทศอย่างใกล้ชิดและเป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่วนการเตรียมความพร้อมในฐานะประธานกลุ่ม ๗๗ ของไทยในกรอบ UNFCCC ในปี ๒๕๕๙ ควรแบ่งการดำเนินการออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ (๑) คณะผู้เจรจาของไทย และ (๒) คณะผู้สนับสนุนประธานกลุ่ม ๗๗ เพื่อประโยชน์และความคล่องตัวในการดำเนินการ นอกจากนี้ ให้มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมอยู่ในคณะผู้สนับสนุนประธานกลุ่ม ๗๗ และเพิ่มกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรายงานข้อมูลเพื่อประกอบการคำนวณก๊าซเรือนกระจก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21890 | ขอความเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ. 2559 - 2568) แผนปฏิบัติการการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย 3 ปี (พ.ศ. 2559 - 2561) และแผนปฏิบัติการการขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย 1 ปี (พ.ศ. 2559) | พม | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) เป็นการส่งเสริมความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านการอยู่อาศัย โดยการจัดเตรียมที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พร้อมระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการที่จำเป็นให้แก่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย วงเงินลงทุน ๗๑๖,๕๙๙.๕๔ ล้านบาท แบ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็น ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มเป้าหมายที่สามารถรับภาระได้ จำนวน ๑,๗๐๗,๔๓๗ ครัวเรือน และกลุ่มเป้าหมายที่ไม่สามารถรับภาระได้ จำนวน ๑,๐๔๔,๕๑๐ ครัวเรือน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการโดยยึดแนวทางตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้รับความเห็นของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดแผนงาน เป้าหมาย และแหล่งเงินดำเนินการให้ชัดเจน การศึกษาวิเคราะห์ในเชิงปริมาณของอุปสงค์ที่แท้จริงของประเภทที่อยู่อาศัย ขนาดพื้นที่ที่เหมาะสม ระดับราคาของที่อยู่อาศัย ต้นทุนค่าก่อสร้างในแต่ละช่วงเวลา และแนวทางการบริหารจัดการโครงการหลังการเข้าอยู่อาศัย การพิจารณาสาระสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้ในการพึ่งตนเองตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงให้กับผู้มีรายได้น้อยที่อยู่อาศัยในโครงการเพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ดียิ่งขึ้น และมีข้อสังเกตในเรื่องรายละเอียด พื้นที่ดำเนินการให้คำนึงถึงทิศทางการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการกระจายที่อยู่อาศัยจากชุมชนเมืองตามทิศทางเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยต่อไป รวมทั้งการพิจารณาดำเนินโครงการที่มีลำดับความสำคัญสูง มีความจำเป็นเร่งด่วน และมีความพร้อม ตลอดจนการพิจารณาปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑) และแผนปฏิบัติการฯ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้สอดคล้องกับผลการทบทวนเป้าหมายครัวเรือน โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนการจัดทำรายละเอียดให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนเพื่อให้สามารถพิจารณาความเหมาะสมและความคุ้มค่าในการลงทุนของแต่ละโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ๒ ระยะ ได้แก่ ๓.๑ ระยะสั้น (เดือนมกราคม ๒๕๕๙-เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพื่อให้เป็นแผนในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินโครงการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลก่อน เช่น โครงการฟื้นฟูชุมชนเมืองดินแดง และโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว ๓.๒ ระยะยาว ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ตามกรอบระยะเวลาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ และแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปีด้วย รวมทั้งให้ส่งแผนดังกล่าวให้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อนำไปบรรจุในแผนปฏิรูปประเทศต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21891 | รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 64/2557 และฉบับที่ 66/2557 ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนและรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย (เรื่อง สิทธิในการจัดการที่ดินและป่า กรณีประชาชนร้องเรียนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๖๔/๒๕๕๗ และฉบับที่ ๖๖/๒๕๕๗ ก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยการจัดที่ดินทำกินให้ราษฎรได้ปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ให้สิทธิทำกินแต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ การทวงคืนผืนป่าโดยยึดถือการปฏิบัติตามแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การวางแผนร่วมกับชุมชนเพื่อติดตามผู้มีอิทธิพลกับราษฎรในพื้นที่ การจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบพิสูจน์สิทธิ รวมทั้งการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21892 | แผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรคของประเทศ พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรคของประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ สำหรับใช้เป็นกรอบการลงทุนและการดำเนินงานในระยะ ๕ ปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนโครงการไปสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วยแผนงานย่อย ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑) แผนงานพัฒนาระบบควบคุมโรคเพื่อความมั่นคงของประเทศ (Disease Control System for National Security) (๒) แผนงานพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ (Excellence Center for Disease Control) และ (๓) แผนงานสนับสนุนการพัฒนาระบบป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพของประเทศ กรอบวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น ๒,๕๐๗.๖๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีกลไกในการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และให้ความสำคัญกับการเผยแพร่แผนดังกล่าวเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสเข้าถึงบริการมากขึ้น รวมทั้งพิจารณาจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อมในการดำเนินงาน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดตามแผนต่อไป นอกจากนี้ ควรกำหนดทิศทางการควบคุมโรคในภาพรวมระดับประเทศและมีตัวชี้วัดความสำเร็จในเชิงผลสัมฤทธิ์ของแผนดังกล่าวที่นำไปสู่การลดโรคและภัยสุขภาพ รวมถึงมีการกำหนดกรอบและระยะเวลาการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนเป็นระยะ ตลอดจนพิจารณาความเชื่อมโยงของเป้าหมายการพัฒนาและแผนการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องและมีความเป็นเอกภาพระหว่างแผนดังกล่าวและแผนยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานและการใช้งบประมาณ และขยายความร่วมมือและบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานภายนอกเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการตามแผนดังกล่าว โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ประเมินผลเป็นรายปี เพื่อให้สำนักงบประมาณนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับแผนดังกล่าวในปีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21893 | ขออนุมัติการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ระยะที่ 2 และขออนุมัติปรับเพิ่มอัตราทุนเดิม | ศธ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการดำเนินงานโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ระยะที่ ๒ จำนวน ๖๐๐ คน/ทุน/ปี จำนวน ๑๐ รุ่น รวม ๖,๐๐๐ คน/ทุน โดยแต่ละทุนจะได้รับทุนการศึกษาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๗ ระยะเวลา ๑๗ ปีการศึกษา (๑๘ ปีงบประมาณ) หรือผู้รับทุนจบครบตามระยะเวลาของหลักสูตรในระดับปริญญาตรี งบประมาณตลอดระยะเวลาโครงการจำนวน ๑,๙๑๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๘,๒๕๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งอนุมัติในหลักการเสนอของบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเป็นรายปีจนสิ้นสุดโครงการ ๑.๒ อนุมัติการปรับเพิ่มอัตราทุนการศึกษาให้กับผู้รับทุนที่กำลังศึกษาในโครงการทุนการศึกษาเฉลิมราชกุมารี ในปีการศึกษา ๒๕๕๘ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๘๐๑ รูป/คน ระยะเวลา ๕ ปี จนสิ้นสุดโครงการฯ เดิม งบประมาณที่เสนอขอเพิ่มทั้งสิ้น ๑๑๔,๔๑๒,๕๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๔,๓๘๗,๕๐๐ บาท ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ และค่าใช้จ่ายการปรับเพิ่มอัตราทุนให้กับผู้รับทุนโครงการเดิมที่กำลังศึกษาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการทุนฯ ในระยะแรกที่ดำเนินการไปแล้วอย่างเข้มข้นในทุกประเด็น และในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ ๒ ควรให้ความสำคัญกับการป้องกันปัญหาการออกในระหว่างที่ยังไม่จบช่วงชั้นและการไม่เรียนต่อ โดยการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสม และการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่ เพื่อการมีงานทำหลังสำเร็จการศึกษา รวมทั้งพัฒนาฐานข้อมูลโครงการฯ และนักเรียนทุนอย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21894 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (นายณรงค์ เขียดเดช) | คค | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายณรงค์ เขียดเดช ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๓๒๐,๐๐๐ บาท ตามมติคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ และเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นรวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21895 | ร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. .... | นร04 | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการดำเนินการเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลเป็นไปอย่างเหมาะสม รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) เสนอตามรายงานของคณะกรรมการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องด้านกระบวนการยุติธรรมในคดีค้ามนุษย์ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นเจ้าของเรื่องรับไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21896 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 22 | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ รวม ๙ ประเด็น ได้แก่ (๑) การพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังน้ำดอนสะโฮงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และโครงการพัฒนาอื่น ๆ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง (๒) การสนับสนุนงบประมาณของประเทศสมาชิกแก่คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (๓) การศึกษาการจัดการและพัฒนาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลกระทบจากโครงการไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขงสายประธาน (Council Study) (๔) กฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม (๕) โครงสร้างองค์กรของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการบริหารบุคลากร (๖) ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำ (BDS) บนฐานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ (๗) แผนกลยุทธ์คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ค.ศ. ๒๐๑๖-๒๐๒๐ (๘) การถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการจัดการลุ่มน้ำจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ให้แก่ประเทศสมาชิก และการจัดสรรงบประมาณ และ (๙) ความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาและประชาคมโลก ๑.๒ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานด้านการจัดการลุ่มน้ำของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และประเด็นเกี่ยวกับมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำประเด็นเกี่ยวกับการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในการดำเนินความร่วมมือในการใช้แม่น้ำโขงร่วมกันอย่างยั่งยืนไปหารือในการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๒ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย ๔. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21897 | กฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม ภายใต้กรอบความร่วมมือคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง | ทส | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างกฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม ภายใต้กรอบความร่วมมือคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ได้แก่ ๑.๑ กฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะมนตรี (Rules of Procedures of the MRC Council) ซึ่งได้รับการอนุมัติและประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๓๘ มีสาระสำคัญกำหนดกรอบการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะมนตรี ประกอบด้วย โครงสร้างการบริหารงาน สมัยประชุม การตัดสินใจ การสนับสนุนจากผู้อุปถัมภ์ (Donor) และบททั่วไป ๑.๒ กฎระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการร่วม (Rules of Procedures of the MRC Joint Committee) เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานและความร่วมมือขององค์กรบริหารถาวรทั้งสอง และให้คณะมนตรีทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติ ซึ่งได้รับการอนุมัติและประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๘ ประกอบด้วย โครงสร้างการบริหารงาน สมัยประชุม การตัดสินใจ การสนับสนุนจากผู้อุปถัมภ์ (Donor) และบททั่วไป ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้แทนไทยในคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือผู้ได้รับมอบหมาย ร่วมลงนามในกฎระเบียบ วิธีปฏิบัติคณะมนตรีและคณะกรรมการร่วม ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำ หรือสาระสำคัญของร่างกฎระเบียบวิธีปฏิบัติทั้งสองฉบับ ที่ไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยจะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21898 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดสถานที่ที่ห้ามมิให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงาน พ.ศ. .... | รง | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดสถานที่ที่ห้ามมิให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มเติมสถานที่ที่ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทำงาน ได้แก่ โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับการแปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น และสถานที่ประกอบกิจการการแปรรูปสัตว์น้ำ เพื่อคุ้มครองแรงงานเด็กและเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอันเป็นนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21899 | ขออนุมัติกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหายางพาราเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรยางพาราเป็นกรณีเร่งด่วน | นร | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหายางพาราเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรยางพาราเป็นกรณีเร่งด่วน ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองประธานกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ (ด้านความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วน และการแก้ไขปัญหาการดำเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพร่วมกับส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนราชการหรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ ตรวจสอบคัดกรองเกษตรกรยางพาราที่จะให้ความช่วยเหลือให้ชัดเจน ๑.๒ กำหนดกรอบวงเงินในการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับยางแต่ละประเภท เช่น ยางแผ่นรมควันชั้น ๓ ยางแผ่นดิบ น้ำยางสด ยางก้อนถ้วย ยางแท่ง เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กำหนดต้นทุนราคายางแผ่นรมควันชั้น ๓ กิโลกรัมละ ๖๔.๒๑ บาท ๑.๓ คณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาราคายางพาราเพื่อกำหนดมาตรการเชิงรุกช่วยเหลือเกษตรกรยางพารา เป็นกรณีเร่งด่วน จะเป็นหน่วยบริหารจัดการกลางในการประสานไปยังส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐ ที่มีงาน/โครงการต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งจะต้องนำยางไปเป็นส่วนประกอบหลักหรือส่วนผสม เช่น การสร้างถนน สนามกีฬา ถนนสำหรับรถจักรยาน ๒ ล้อ การปูพื้นกันซึม/รั่วของสระน้ำ/อ่างเก็บน้ำ ถุงมือยาง หุ่นหรืออวัยวะประกอบการเรียนการสอนทางการแพทย์/พยาบาล ฯลฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ยาง ๑.๔ ราคาที่เหมาะสมในการรับซื้อยางแผ่นรมควันชั้น ๓ ครั้งนี้ไม่ควรเกินกิโลกรัมละ ๖๐ บาท หรือตันละ ๖๐,๐๐๐ บาท สำหรับในช่วงฤดูก่อนการปิดกรีด สามารถประมาณการผลผลิตยางในตลาดได้ประมาณ ๖๐๐,๐๐๐-๘๐๐,๐๐๐ ตัน ในเบื้องต้นรับซื้อในปริมาณ ๒๐๐,๐๐๐ ตัน ใช้วงเงินรองรับการดำเนินการดังกล่าว รวมเป็นเงิน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ (องค์การคลังสินค้า) การยางแห่งประเทศไทย พิจารณากำหนดปริมาณ ระดับราคารับซื้อ กรอบวงเงิน และมาตรการที่เหมาะสม รวมทั้งให้สำนักงบประมาณพิจารณากรอบงบประมาณ และให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการสนับสนุน แล้วเสนอให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ พิจารณาต่อไป หากจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ เป็นผู้พิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21900 | มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา | พณ | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินโครงการข้าวสารบรรจุถุงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคายางพาราตกต่ำ และลดภาระค่าครองชีพของเกษตรกร รวมทั้งเพื่อระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. รับทราบการดำเนินการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๒.๑ โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกรชาวสวนยางพารา ปี ๒๕๕๙ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ข้าวสาร น้ำมันพืช ไข่ไก่ น้ำตาลทราย ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดประมาณร้อยละ ๒๐-๔๐ ในพื้นที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ จำนวน ๑๕๙ อำเภอ ระยะเวลาดำเนินการ ภายใน ๓ เดือน ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๙ ๒.๒ แผนส่งเสริมการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง โดยในปี ๒๕๕๘ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้ดำเนินกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ ร่วมงานแสดงสินค้า จัดคณะผู้แทนการค้าเยือนประเทศคู่ค้า รวมทั้งสิ้น ๖ โครงการ มีมูลค่าการขายยางพาราและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๙.๕๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓๖,๓๔๒.๗๒ ล้านบาท แบ่งเป็นยางพาราธรรมชาติ ๕๘๕,๔๕๐ ตัน มูลค่า ๙๖๙.๔๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และผลิตภัณฑ์ยาง ๔๐.๐๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในปี ๒๕๕๙ มีแผนส่งเสริมการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยสั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๖๑ แห่ง เร่งจัดคณะผู้ซื้อจากต่างประเทศมาประเทศไทย เริ่มจากผู้นำเข้ายางพาราจากกัมพูชามาเจรจาการค้า ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ มกราคม ๒๕๕๙ และมีกำหนดจะนำผู้ประกอบการไทย ๙๖ บริษัท เข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน อิตาลี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเยอรมนี รวมทั้งนำคณะผู้แทนการค้าไทย ๑๐๐ บริษัท ไปเจรจาการค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ ณ ประเทศอิหร่าน เม็กซิโก ปานามา โคลัมเบีย แอฟริกาใต้ เคนยา และแทนซาเนีย
|
.....