ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1097 จากทั้งหมด 6216 หน้า แสดงรายการที่ 21921 - 21940 จากข้อมูลทั้งหมด 124307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21921 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชนและร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ....) | สผ | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชนและร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. ....) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะตามมาตรา ๓๑ฯ มีการเสนอแนวทางการดำเนินการเช่นเดียวกับที่รัฐได้ดำเนินการในลักษณะกระจายการถือครองที่ดินและมอบสิทธิให้แก่ประชาชน ซึ่งรัฐได้ดำเนินการมาแล้วในหลายรูปแบบ หลายวิธีการ โดยมีหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินจำนวนมาก และมีอำนาจหน้าที่แตกต่างกันตามกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน จึงส่งผลให้เกิดความซ้ำซ้อนเชิงภารกิจ ไม่มีเอกภาพในการบริหารจัดการที่ดิน ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ พ.ศ. .... มีการระบุเนื้อหาและถ้อยคำบางส่วนที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะนำไปสู่ปัญหาการตีความกฎหมายหรือเกิดความขัดแย้งในการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งมีลักษณะเป็นการลบล้างหรือใช้อำนาจเหนือหน่วยงานของรัฐ ๑.๓ การบัญญัติร่างพระราชบัญญัติฯ อาจไม่ใช่วิธีการบริหารจัดการและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม หากแต่หน่วยงานของรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควรดำเนินการจัดให้มี ปรับปรุง แก้ไข ยกเลิก ระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถบริหารจัดการและแก้ปัญหาเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนย่อมดีกว่าที่จะบัญญัติกฎหมายขึ้นใหม่ ๑.๔ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อน มีความเป็นเอกภาพ และสามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ และสามารถนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม เห็นควรเสนอกฎหมายเพียงฉบับเดียว คือ พระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและคณะอนุกรรมการบูรณาการกฎหมายการบริหารจัดการที่ดิน กำลังดำเนินการ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21922 | ร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพบุคลากรการกีฬา พ.ศ. .... | กก | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพบุคลากรการกีฬา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานวิชาชีพบุคลากรการกีฬา โดยให้ผู้ประกอบการวิชาชีพบุคลากรการกีฬาตามที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพบุคลากรการกีฬากำหนดเป็นบุคคลซึ่งต้องขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพบุคลากรการกีฬาจากสภาวิชาชีพบุคลากรการกีฬา ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21923 | ข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness: PMR) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลก โครงการเตรียมความพร้อมด้านกลไกตลาดเพี่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก (Partnership for Market Readiness : PMR) มีสาระสำคัญเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขมาตรฐานของการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าของธนาคารโลก ซึ่งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการฯ ได้พิจารณาขอบเขตในการดำเนินกิจกรรมแล้วว่าอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ และวัตถุประสงค์ที่จะสามารถดำเนินการได้ โดยโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เงินสนับสนุนในการศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนากลไกตลาดภายในประเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดก๊าซเรือนกระจก ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจให้ กระทรวงการคลัง โดยนางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่ากระทรวงการคลังและ อบก. ต้องระมัดระวังมิให้ข้อตกลงฉบับนี้ส่งผลให้เกิดข้อผูกพันให้ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในอนาคต รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ อบก. ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๐ การพิจารณากลไกตลาดที่สามารถกระตุ้นการดำเนินงานด้านการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างรอบคอบ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก การระบุถึงเรื่องการเปิดเผยข้อมูลให้กับธนาคารโลกให้ชัดเจนในข้อตกลงฯ ว่ามีรายละเอียดถึงเรื่องใดบ้าง และเห็นควรให้ อบก. ในฐานะหน่วยงานบริหารโครงการ ดำเนินการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ แผนงานโครงการ และเงื่อนไขตามมาตรฐานของธนาคารโลก รวมทั้งจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ตลอดจนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนด้วย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21924 | การขออนุมัติโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ระยะที่ 4 (ปีงบประมาณ 2560 - 2569) | กต | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการดำเนินโครงการจัดสรรทุนการศึกษาตามความต้องการของกระทรวงการต่างประเทศ ระยะที่ ๔ จำนวน ๓๐ ทุน (สำหรับบุคคลทั่วไปและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ) ระยะเวลา ๑๐ (ปีงบประมาณ ๒๕๖๐-๒๕๖๙) ในสาขาวิชาภูมิภาคศึกษา กฎหมายระหว่างประเทศ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม โดยใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ประมาณ ๖ ล้านปอนด์ หรือประมาณ ๓๓๐ ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลปอนด์ ๑ ปอนด์ เท่ากับ ๕๕ บาท ณ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจริงภายใต้งบเงินอุดหนุนตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลทำให้วงเงินบาทเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่ได้รับอนุมัติไว้ โดยวงเงินสกุลต่างประเทศที่ได้รับความเห็นชอบไม่เปลี่ยนแปลง เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนในกรณีดังกล่าวได้ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดกลุ่มสาขาวิชา ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ และความรู้เฉพาะด้านที่มีความขาดแคลนเป็นลำดับแรกก่อน รวมทั้งการกำหนดประเทศที่ไปศึกษา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21925 | ความเห็นต่อข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการประกันภัยพืชผล | กษ | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการประกันภัยพืชผล) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ รัฐควรสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เกษตรกรในแง่ของผลกระทบที่เกิดจากความเสี่ยงทางภัยธรรมชาติ และให้เห็นความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงทางธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรลดบทบาทในการช่วยเหลือเยียวยาความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เพื่อให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยพืชผลและการจัดการความเสี่ยงด้วยการประกันภัยแทน ๑.๒ ภาครัฐควรทำหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลความเป็นธรรมกับธุรกิจประกันภัยทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ระหว่างเกษตรกรและบริษัทประกันภัย ๑.๓ การช่วยเหลือแบบปัจจุบันยังเป็นแบบคู่ขนาน และเพื่อผลักดันให้ระบบการประกันภัยดำเนินไปได้และเกษตรกรให้ความสำคัญ ควรลดการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติของภาครัฐให้น้อยลง ๑.๔ ควรมีการใช้ดัชนีสภาพอากาศให้มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับได้ร่วมกับการใช้วิธีที่ใช้ดุลพินิจจากการสำรวจแปลง ๑.๕ ผลักดันให้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของการประกันภัยในอัตราที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทุนการผลิตจนถึงราคาที่เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21926 | การขอเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก | นร08 | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ ระหว่างบ้านวังตะเคียนใต้ ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย กับบ้านเยปู หมู่ที่ ๕ เมืองเมียวดี จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ๒. มอบให้กระทรวงคมนาคมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำเงื่อนไข ข้อกำหนด และการควบคุมดูแล เพื่อให้การดำเนินการมีความเหมาะสมและไม่มีผลกระทบด้านความมั่นคง ๓. การดำเนินการใด ๆ จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหาย และผลกระทบต่อความมั่นคง โดยต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนหรือกระทำกิจการใด ๆ ตามบริเวณชายแดน) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง การระงับการก่อสร้างถนนบริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จังหวัดสุรินทร์) อย่างเคร่งครัด รวมทั้งเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์หรือเงื่อนไขที่ได้กำหนดแล้ว จะต้องปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวทันที ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่ดังกล่าว มีความอ่อนไหวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งความมั่นคงของประเทศ ในระหว่างการเปิดจุดผ่านแดนบริเวณดังกล่าว กระทรวงคมนาคมต้องประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการใช้ช่องทางดังกล่าวในการเคลื่อนย้ายบุคลากร ยานพาหนะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ก่อสร้าง สำหรับใช้ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ เท่านั้น โดยต้องควบคุมมิให้เกิดการเข้า-ออกของบุคคล สินค้า และสิ่งผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดนดังกล่าวให้เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21927 | ร่างกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการควบคุมการปนเปื้อนในดินและน้ำใต้ดินภายในบริเวณโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21928 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 1 | กต | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ (1st Mekong-Lancang Cooperation Foreign Ministers’ Meeting) เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ เมืองจิ่งหง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งในการประชุมดังกล่าวได้เห็นชอบร่างเอกสารหลักการของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง นอกจากนี้ ได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันที จำนวนกว่า ๗๐ โครงการ ในสาขาต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลดความยากจน สาธารณสุข การแลกเปลี่ยนและอบรมบุคลากร การเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ด้วย และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการพัฒนาการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวนอกอนุภูมิภาคให้เดินทางมาท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคมากขึ้น และควรมีการติดตามผลการประชุมอย่างต่อเนื่องโดยจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีกลไกในการดำเนินกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ การดำเนินความร่วมมือและการจัดทำโครงการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันที ในสาขาการเมืองและความมั่นคงจะต้องระมัดระวังมิให้เกิดผลกระทบต่อกิจการภายในของประเทศไทยและประเทศสมาชิกอื่น ๆ ตลอดจนพิจารณาถึงขั้นตอนและการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในของประเทศไทยประกอบกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21929 | รัฐบาลมอนเตเนโกรขออนุมัติการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) (นางสาววิชุดา รัตนเพียร) | กต | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย และแต่งตั้งนางสาววิชุดา รัตนเพียร ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21930 | การขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองอินส์บรุค สาธารณรัฐออสเตรีย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายคริสท็อฟ สวาร็อฟสกี (Mr. Christoph Swarovski)] | กต | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคริสท็อฟ สวาร็อฟสกี (Mr. Chirstoph Swarovski) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองอินส์บรุค สาธารณรัฐออสเตรีย แทนนายอาร์มิน เซาท์เตอร์ (Mr. Armin Sautter) ซึ่งถูกถอดถอน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21931 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 12 | กต | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEM Foreign Ministers’ Meeting : ASEM FMM 12) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งในการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก "Working Together for a Sustainable and Secure Future" และที่ประชุมฯ ได้เห็นพ้องถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนความร่วมมือด้านการบริหารจัดการและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการหารือเรื่องความเชื่อมโยงและทิศทางในอนาคตของ ASEM ว่า ควรมีความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล การค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงระดับประชาชน ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาเข้าร่วมในโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้กรอบ (Asia-Europe Meeting ASEM) ตามแถลงการณ์ประธาน ASEM FMM 12 เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ มีผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ที่ชัดเจนต่อประชาชน และเพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานของ ASEM ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรเพิ่มรายชื่อประเทศไทยเพื่อบรรจุอยู่ใน Participating ASEM Partners หรือให้ประเทศไทยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ หรือขอรายงานความร่วมมือในหัวข้อที่สอดคล้องกับประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ เช่น (หัวข้อที่ ๑) Disaster Management and Mitigation (หัวข้อที่ ๒) Water & Waste Management และ (หัวข้อที่ ๓) SME เพื่อนำมาพิจารณาการใช้ประโยชน์ในประเทศ หรือเข้าร่วมโครงการ/กิจกรรมในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21932 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การพัฒนาและปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า) | พน | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การพัฒนาและปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงพลังงานได้ประชุมร่วมกับส่วนราชการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ แล้ว มีมติว่า ระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเดิมมีความเหมาะสมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงตามข้อเสนอแนะดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงพลังงานให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21933 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์) | คค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ มีดังนี้
๑. ปฏิรูปกระบวนการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ในปัจจุบัน ๒. การจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อเป็นองค์กรที่รับผิดชอบด้านการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ชาติและแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของประเทศ (Regulator) ๓. การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายโทรคมนาคม ๔. ประเด็นปฏิรูปกฎหมาย ๕. การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพโลจิสติกส์ ๖. ปรับเพิ่มระบบงบประมาณการลงทุนภาครัฐโดยเน้นให้ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วม ๗. การพัฒนาส่งเสริมระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างบูรณาการควบคู่กับการพัฒนาระบบสารสนเทศ ๘. การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ๙. สนับสนุนการคมนาคมและขนส่งเพื่อเชื่อมโยงกลุ่มประเทศอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21934 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบพลังงาน) | พน | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ระบบพลังงาน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงพลังงาน และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงพลังงานให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ มีดังนี้
๑. ระบบราคาเชื้อเพลิงที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ๒. บทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิง ๓. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการกำหนดนโยบายและการกำกับกิจการพลังงาน ๔. การพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางด้านพลังงาน (NEIA) ๕. การกำกับกิจการพลังงานทุกประเภทที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติหรือมีอำนาจเหนือตลาด ๖. การจัดตั้งกองทุนพลังงานเพื่อสังคม ๗. การจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ๘. การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ๙. การผลิตและซื้อไฟฟ้าเสรี ๑๐. การบริหารกิจการสายส่งและศูนย์ควบคุมระบบโครงข่ายไฟฟ้า (System Operator) และตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าภายในแผน PDP 2015-2036 ๑๑. โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าในกลุ่มประชาคมอาเซียนและภูมิภาคข้างเคียง ๑๒. กองทุนพัฒนาไฟฟ้า ๑๓. การปฏิรูปการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐและเอกชนในระบบ ESCO และ BBC ๑๔. การปฏิรูปกฎหมายด้านพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน ๑๕. การปฏิรูปพลังงานชีวภาพ ๑๖. การแยกกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานออกเป็นกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และกรมอนุรักษ์พลังงาน ๑๗. ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ๑๘. โครงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21935 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้การให้ความรู้ทางการเงินเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอยู่หลายหน่วยงาน รวมทั้งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการยกร่างแผนการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินระดับประเทศ ซึ่งจะทำให้มีเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานและมีกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน นำไปสู่การดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติขึ้นมาใหม่ แต่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่และตัวชี้วัดในการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่ดำเนินการอยู่ให้ชัดเจน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21936 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช ๒๔๘๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ในการควบคุมการส่งหรือนำเงินตรา และตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ รวมทั้งหลักการให้ตราสารเปลี่ยนมือเป็นของตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรแก้ไขถ้อยคำในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ ในข้อ ๒ จาก “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศ ตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ” เป็น “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ และการนำเงินตราเข้ามาในประเทศ” และข้อ ๓ จาก “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๒)” เป็น “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๘ ทวิ)” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21937 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ฉบับที่..) พ.ศ. ... มีสาระสำคัญเป็นการขยายวงเงินกู้ยืมที่สามารถดำเนินการได้ต่อครั้ง และเพิ่มอำนาจในการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน รวมทั้งกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการโดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อให้สามารถเข้าประชุมคณะกรรมการและปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่กระทบต่อองค์ประกอบและองค์ประชุมของคณะกรรมการ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอขอเพิ่มอำนาจการดำเนินงานในร่างมาตรา ๗ (๘) โดยกำหนดให้ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนนั้น ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาวงเงินให้มีความเหมาะสมกับภารกิจหน้าที่ ตามกฎหมายที่จะต้องใช้เงินในการส่งเสริมการดำเนินการให้เกิดสภาพคล่อง คำนึงถึงต้นทุนทางการเงินที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนด้วยการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใด โดยยึดประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย และการขยายวงเงินกู้ยืมเงินที่หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ต่อครั้งนั้น ควรกำหนดวงเงินทั้งหมดที่สามารถดำเนินการได้ โดยยึดหลักการด้านการเงินการบัญชี รวมทั้งรัฐบาลควรสนับสนุนให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีบทบาทเป็นผู้นำในการส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21938 | การรับโอนภารกิจการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติสามารถเบิกเงินคงคลังเป็นเงินทดรองราชการเพื่อทดรองจ่ายในการแก้ไขปัญหา และดำเนินการช่วยเหลือเพื่อผ่อนคลายความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแก่ประชาชน ผู้ประสบภัยพิบัติจากภัยพิบัติต่างๆ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว รวมทั้งกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินต่อไปได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมบัญชีกลางพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาร่วมกันเกี่ยวกับการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมให้แก่กรมบัญชีกลางเพื่อรองรับภารกิจที่ได้รับโอนมา ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้กรมบัญชีกลางมีการเตรียมการรองรับภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติโดยเงินทดรองราชการ สำหรับงบประมาณโครงการพัฒนาสารสนเทศให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และการพิจารณาของสำนักงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสม การให้สำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดินทำหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต้นฉบับของแต่ละหน่วยงานไว้ตามเดิม การวางระบบการบริหารจัดการอัตรากำลัง การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะข้อมูลผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้ง การพัฒนาระบบฐานข้อมูลดังกล่าวให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถเชื่อมโยงกับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21939 | การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงระยะเวลา ๕ ปีแรกของการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ เป็นไปตามกรอบบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ ที่ตกลงให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่ อปท. เหมาจ่ายปีละ ๓๐ ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๒ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ คิดเป็นค่ารายปีจำนวนเงิน ๑๐๕,๑๘๒,๒๖๗.๔๔ บาท (คำนวณจากค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวนเงิน ๑๓,๑๔๗,๗๘๓.๔๓ บาท) โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๓ ให้การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับอาคารทั้ง ๕ กิจกรรมของบริษัท การบินไทยฯ ตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ข้อกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งนำหลักการการลดหย่อนค่ารายปีของบริษัท การบินไทยฯ ไปพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาค และลดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
21940 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่างนางสาวอรนุช สังฆมิตกุล กับพวกรวม 27 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น - ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด | อส | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖) ในคดีระหว่างนางสาวอรนุช สังฆมิตกุล กับพวกรวม ๒๗ คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น-ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
.....