ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1024 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20461 - 20480 จากข้อมูลทั้งหมด 124288 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20461 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่มีลักษณะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี พ.ศ. .... | รง | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่มีลักษณะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี เพื่อให้ความคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์และเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีให้มีความปลอดภัยในการทำงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรเพิ่มเติมงานที่มีลักษณะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของหญิงมีครรภ์หรือเด็กซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบห้าปี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองตามมาตรา ๓ ในบทนิยามคำว่า “งานที่รับไปทำที่บ้าน” มาตรา ๒๑ และมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้กฎหมายแม่บทมีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์และสามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||
20462 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 เมษายน 2559 (ครั้งที่ 15) | มท | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๑๕) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๘๙ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติม เหลือพื้นที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ๑๙-๒-๙๐.๕ ไร่ ๓. ปัญหา/อุปสรรค ได้แก่ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และกระทบกับการใช้พื้นที่ในการจัดกองวัสดุหรือประกอบชิ้นส่วนโครงสร้างก่อนนำไปติดตั้ง ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปอีก ๖๑๑ วัน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจการจ้าง ๔. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าของโครงการฯ มีความเห็นว่า (๑) การขยายระยะเวลาก่อสร้างออกไป จำนวน ๓๘๗ วัน ไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก (๒) พื้นที่ที่ยังไม่ได้ส่งมอบให้ผู้รับจ้าง พื้นที่ชุมชนบ้านพักองค์การทอผ้า ที่ไม่สามารถย้ายออกจากพื้นที่เดิมได้ ควรเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดรายละเอียดขอบเขตของงาน (TOR) และประเมินราคาเพื่อดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ต่อไป แต่การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ มีความล่าช้ากว่าแผนงาน สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรควรพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้รับจ้างโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
20463 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม) | สว | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ซึ่งเห็นควรแก้ไขถ้อยคำในเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ รวมทั้งการออกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำหรับสำนักงานปลัดกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ การเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ อำนาจหน้าที่ในการบริหารงาน การบริหารงานบุคคล และการจัดสรรทรัพยากรของส่วนราชการให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และการใช้คำว่า “ดิจิทัล” ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20464 | ขอความเห็นชอบเสนอข้อกำหนดร่างขอบเขตการทำงานของกองทุนเพื่อบรรเทาทุกข์และให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมสำหรับเหยื่อจากการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Terms of Reference of the Trust Fund for Humanitarian and Relief Efforts for the Victims of Irregular Movement of Persons) | ตช | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างขอบเขตการทำงานของกองทุนเพื่อบรรเทาทุกข์และให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมสำหรับเหยื่อจากการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ (Terms of Reference of the Trust Fund for Humanitarian and Relief Efforts for the Victims of Irregular Movement of Persons) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการบริหารจัดการกองทุนและรายงานทางการเงิน การใช้ประโยชน์จากกองทุน การสนับสนุนกองทุนที่เป็นไปด้วยความสมัครใจ ๑.๒ เห็นชอบในกรณีที่ประเทศไทยจะบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อบรรเทาทุกข์ฯ ดังกล่าว ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยเงื่อนไขและภาระงบประมาณที่ต้องบริจาคเข้ากองทุนเพื่อบรรเทาทุกข์ฯ ดังกล่าว ขั้นต่ำ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๖ บาท) และเป็นไปโดยความสมัครใจ นั้น หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยตรงต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างขอบเขตการทำงานของกองทุนเพื่อบรรเทาทุกข์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20465 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้นำส่งเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เพิ่มเติม จำนวน ๕,๘๔๙ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20466 | รายงานผลการสนับสนุนการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและทุกคนในสังคม (อารยสถาปัตย์) | พม | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลการสนับสนุนการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและทุกคนในสังคม (อารยสถาปัตย์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินโครงการสร้างชุมชนแห่งการอยู่ร่วมกันและเข้าถึงได้ในอาเซียน : ชุมชนต้นแบบเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ โดยร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และองค์กรคนพิการ ศึกษาและสำรวจพื้นที่ชุมชนเกาะเกร็ดและเทศบาลนครปากเกร็ดเพื่อทราบสถานการณ์และความยากลำบากของการเดินทางออกนอกพื้นที่เกาะเกร็ด ๑.๒ จากผลการศึกษาและสำรวจพื้นที่เกาะเกร็ดและเทศบาลนครปากเกร็ด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จังหวัดนนทบุรี เทศบาลนครปากเกร็ด องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเกร็ด และองค์กรคนพิการ ออกแบบและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและทุกคนในสังคม โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ จำนวน ๘,๖๗๐,๐๐๐ บาท เพื่อดำเนินการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ได้แก่ พื้นที่ฝั่งเทศบาลนครปากเกร็ด จำนวน ๕๕ จุด และพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะเกร็ด จำนวน ๙๐ จุด เช่น ปรับปรุงป้ายรถเมล์ ปรับปรุงทางเท้าเชื่อมระหว่างป้ายรถเมล์และท่าเรือ ทาสีตีเส้นที่จอดรถคนพิการ ป้ายสัญลักษณ์หรือป้ายชี้ทาง จุดแวะพักเก้าอี้นั่งพัก ป้ายแผนผังต่างสัมผัส ห้องน้ำคนพิการ ทางลาดและทางลาดลงโป๊ะเทียบเรือท่าปากเกร็ดและท่าครูทิว (ท่าเรือหมู่ ๖ ตำบลเกาะเกร็ด) ปรับปรุงเรือต้นแบบ งานปิดท่อระบายน้ำ และปรับปรุงทางเดินให้มีลูกระนาด เป็นต้น ซึ่งดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ๑.๓ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดพิธีเปิดเกาะเกร็ด : ชุมชนต้นแบบเพื่อทุกคน เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้คนพิการ ผู้สูงอายุ และทุกคนเดินทางมาท่องเที่ยวเกาะเกร็ดหรือเดินทางข้ามไปยังเทศบาลนครปากเกร็ดได้โดยอิสระ สะดวก และปลอดภัย สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ จะขยายผลพื้นที่ชุมชนต้นแบบออกไปอีก จำนวน ๓๓ จังหวัด โดยขยายการดำเนินงานในพื้นที่นอกจากอาคารสถานที่ราชการ ศาสนสถาน และพื้นที่สาธารณะให้ครอบคลุมการเดินทางและระบบขนส่งมวลชนต่าง ๆ ในพื้นที่เป้าหมาย ๒. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาเร่งรัดการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และทุกคนในสังคมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
20467 | รายงานผลการดำเนินงาน "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้" | ศธ | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินงาน “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘-พฤษภาคม ๒๕๕๙ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พฤติกรรมของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม 4 H ได้แก่ Head พัฒนาด้านสมอง ทักษะการคิด heart พัฒนาด้านจิตใจ คุณธรรม จริยธรรม Hand พัฒนาด้านทักษะการปฏิบัติ การทำงาน และ Health พัฒนาด้านสุขภาพ พบว่า นักเรียนมีน้ำใจต่อกัน มีความสามัคคีจากการที่ได้ทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนค้นพบความถนัดและความสามารถของตนเอง รวมทั้งมีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนเองและมีความสุขกับการมาโรงเรียน ๑.๒ การเปรียบเทียบผลการทดสอบ O-NET ระหว่างโรงเรียนที่เข้าร่วมและโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” โดยระดับประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการสอบสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการทุกรายวิชา (ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษ) สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ พบว่า โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะมีผลการสอบสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ๔ รายวิชา ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ มีผลการสอบต่ำกว่าโรงเรียนที่ไม่เข้าร่วมโครงการ ร้อยละ ๐.๐๗ ๒. ในการประเมินผลระยะต่อไป ให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินผลความพึงพอใจและผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง โรงเรียน รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการส่งเสริมทักษะของนักเรียนในการอ่าน คิด เขียน และพูดให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย ๓. ตามที่กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยการดำเนินการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อแก้ไขปัญหาโรงเรียนที่มีจำนวนครูและนักเรียนน้อย และนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายดังกล่าวต่อสาธารณชนด้วย ๔. โดยที่คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทยตามโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) มีระดับคะแนนต่ำกว่านักเรียนของหลายประเทศในอาเซียน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
20468 | การถวายพระราชสมัญญาและการเรียกขานในฐานะที่ทรงพระปรีชาสามารถในด้านหรือการนั้นๆ (ขอถวายพระราชสมัญญาพระบิดาแห่งการปฏิรูปข้าวไทย และพระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย) | กษ | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของสำนักราชเลขาธิการเกี่ยวกับการถวายพระราชสมัญญาแด่พระมหากษัตริย์ ความสรุปว่า การถวายพระราชสมัญญาเป็นการผูกคำเพื่อถวายแด่พระมหากษัตริย์ ตามอย่างการสร้างคำในภาษาบาลี คือ นำคำศัพท์ที่มีความดี รูปคำงดงาม เสียงไพเราะ มาประกอบเข้าเป็นชื่อด้วยการสมาสคำ แต่ปัจจุบันการถวายพระราชสมัญญาหรือพระสมัญญาโดยผูกคำด้วยการใช้ภาษาธรรมดาอย่างดื่น ๆ เช่น พระบิดาแห่ง .... จึงไม่ใช่พระราชสมัญญาหรือพระสมัญญา แต่เป็นการเรียกขานในฐานะที่ทรงพระปรีชาสามารถในด้านหรือการนั้น ๆ ๒. เห็นชอบให้ปรับขั้นตอนการดำเนินการเกี่ยวกับการถวายพระราชสมัญญาและการเรียกขานในฐานะที่ทรงพระปรีชาสามารถในด้านหรือการนั้น ๆ แด่พระมหากษัตริย์ โดยให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องขอความเห็นจากสำนักราชเลขาธิการเพื่อประกอบการพิจารณาร่วมกับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||
20469 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | กษ | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราค่าบำรุงสันติบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน จากอัตราเดิม “ร้อยละห้าของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท” เป็นอัตราใหม่ “ร้อยละหนึ่งของกำไรสุทธิ แต่ไม่เกินสามหมื่นบาท” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
20470 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... | คค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลท่าฉนวน อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ชน. ๑๐๑๔ และทางหลวงชนบท ชน. ๔๐๒๔ ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
20471 | ขอขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (โครงการ Policy Loan) จากเดิมที่กำหนดให้เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น เริ่มรับคำขอตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ทั้งนี้ ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ประสบปัญหาได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20472 | โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สำหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยธนาคารออมสินให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เฉพาะการปล่อยสินเชื่อใหม่ วงเงินรวมทั้งโครงการ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสินนั้น ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยกำหนดอัตราการชดเชยเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ของธนาคารออมสิน บวกร้อยละ ๑.๘๕ รวมไม่เกิน ร้อยละ ๓ ซึ่งครอบคลุมต้นทุนทางการเงินของธนาคารออมสิน และมีผลทำให้เกิดภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับธนาคารออมสิน ภายในกรอบวงเงิน ๖,๓๐๐ ล้านบาท ในระยะเวลา ๗ ปี โดยให้ธนาคารออมสินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละปีงบประมาณ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดวงเงินสินเชื่อต่อรายเพื่อให้โครงการฯ สามารถกระจายวงเงินสินเชื่อได้อย่างทั่วถึง รวมถึงธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ ควรพิจารณาให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการที่ไม่เคยเข้าร่วมโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของภาครัฐมาก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SEMs ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญกับการให้สินเชื่อในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้แก่ประเทศ หรืออุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการเจริญเติบโตดีในอนาคต การบูรณาการโครงการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน การขยายวัตถุประสงค์การกู้ยืมให้ครอบคลุมถึงการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้เป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น การจัดให้มีการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมในลักษณะเดียวกันกับ Soft Lone ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาทที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติให้ดำเนินการไปแล้ว รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบกิจการ SMEs รับทราบรายละเอียดโครงการฯ อย่างทั่วถึง และระบุเจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ผ่านมา เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Policy Loan) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบกิจการ SMEs เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20473 | ร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่ นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ พ.ศ. .... | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโอนที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่ นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ในท้องที่ตำบลกมลาไสย อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้แก่ นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับที่ดินของ นางบุญมี ดอนเมือง และนางสวาท ดอนกระสินธุ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20474 | ร่างพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... | ยธ | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการบริหารการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด กำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพินิจ รวมทั้งสิทธิ หน้าที่ ประโยชน์ และกิจการอื่น ๆ เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยและการติดตามภายหลังปล่อยจากสถานที่ควบคุม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับการกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานพินิจ การใช้เครื่องพันธนาการแก่เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานที่ควบคุม และการให้เจ้าพนักงานพินิจเป็นเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
20475 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ปากีสถาน | คค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบบันทึกความเข้าใจลับระหว่างไทย-ปากีสถาน ฉบับลงนามวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ มีสาระสำคัญเป็นการเพิ่มข้อบทว่าด้วยการทำการบินโดยใช้ชื่อเที่ยวบินร่วมกัน ข้อบทว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยการบิน ข้อบทว่าด้วยความปลอดภัยการบิน สิทธิความจุความถี่และสิทธิรับขนการจราจร และเส้นทางบิน ๒. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทยและปากีสถาน ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||
20476 | แนวทางการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลบางพระ และตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี | กค | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินกิจการของรัฐภายหลังสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดตามมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังนี้ ๑.๑ เห็นสมควรให้เอกชนรายเดิม [บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)] เช่าที่ราชพัสดุ บริเวณถนนสุขุมวิท ตำบลบางพระ และตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมัน เป็นระยะเวลา ๓๐ ปี ๑.๒ กำหนดอัตราผลตอบแทนในการเช่าที่ราชพัสดุฯ ในอัตราที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนตามราคาตลาด ๑.๓ ให้กรมธนารักษ์จัดให้มีการประเมินมูลค่าตลาดของค่าเช่า โดยผู้ประเมินอิสระอีกครั้ง เพื่อสอบทานความถูกต้องและความเป็นปัจจุบันของมูลค่าตลาดของค่าเช่า ก่อนการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนในการให้เช่าที่ราชพัสดุฯ ๑.๔ ให้กรมธนารักษ์นำเสนอผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามรายละเอียดในมาตรา ๒๔ (๔) (๕) (๖) แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐพิจารณาภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินกิจการของรัฐภายหลังสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงโดยการให้เอกชนร่วมลงทุนแล้ว ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลประโยชน์ตอบแทนในการให้เช่าที่ราชพัสดุฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการหรือกิจการใดที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการเพิ่มเติมหรือขยายกำลังการผลิต หากเข้าข่ายประเภทและขนาดตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่วนการดำเนินการเช่าที่ราชพัสดุฯ และอัตราผลตอบแทนที่ภาครัฐจะได้รับ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า เหมาะสม และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมทั้งให้กรมธนารักษ์ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการ กำกับ ติดตาม และดูแลคู่สัญญา [บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)] ให้ดำเนินการตามสัญญาอย่างเคร่งครัด เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20477 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ หลังเดิม | กต | 28/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงการต่างประเทศเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ จากรายการค่าปรับปรุงซ่อมแซมอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ วงเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นรายการค่ารื้อถอนอาคารสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ หลังเดิม และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาพื้นที่และสิ่งประกอบอื่นภายในสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ ในวงเงิน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมวงเงินทั้งสิ้น ๕๗,๔๙๙,๘๐๐ บาท ซึ่งกรมบัญชีกลางอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ส่วนที่เหลือ จำนวน ๔๒,๕๐๐,๒๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ การดำเนินการรื้อถอนและพัฒนาที่ดินดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรเร่งก่อหนี้ผูกพันเงินงบประมาณดังกล่าวให้ทันภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ รวมทั้งงบประมาณที่ใช้สำหรับการปรับปรุงภูมิทัศน์ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับความสง่างามของสถานเอกอัครราชทูตฯ และประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20478 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือวางแผนงานโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๑๑) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรม จริยธรรม ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพรวมส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20479 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกของปี 2559 | นร11 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๙ ซึ่งความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญในเชิงบวกทั้งในด้านการจ้างงานโดยรวม รายได้และผลิตภาพแรงงานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินดีขึ้น ความร่วมมือประชารัฐเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหามลพิษหมอกควันได้อย่างยั่งยืน แต่ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต้องติดตาม เฝ้าระวังเพื่อบรรเทาผลกระทบของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงเนื่องจากผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง จำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเทศกาล การกำกับดูแลการโฆษณาของรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กให้เหมาะสม รวมทั้งการเร่งแก้ไขปัญหาและจัดการผลกระทบจากภัยแล้งให้กับเกษตรกรและภาคการเกษตร
|
||||||||||||||||||||||||
20480 | รายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 15 (15th ASCC Council Meeting) ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และคณะ | พม | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ ๑๕ (15th ASCC Council Meeting) ระหว่างวันที่ ๓-๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุมฯ เช่น ความสำคัญของปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ในฐานะปีแรกภายหลังจากการเป็นประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการ และการสนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนและแผนงานสำคัญของ สปป.ลาว ภายใต้หัวข้อ “การทำให้วิสัยทัศน์ไปสู่ความเป็นจริงเพื่อการเป็นประชาคมอาเซียนที่มีพลวัต” “Turning Vision into Reality for a Dynamic ASEAN Community” เป็นต้น ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้กล่าวถ้อยแถลงและแสดงความยินดีต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป.ลาว ในการดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และได้กล่าวสนับสนุนสาระหลักของเอกสารขอบเขตการดำเนินงานจัดส่งเจ้าหน้าที่ประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนไปปฏิบัติงาน ณ สำนักงานคณะผู้แทนถาวรประจำอาเซียน และกล่าวสนับสนุนเอกสารผลลัพธ์สำคัญที่จะมีการเสนอให้ผู้นำอาเซียนรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๒๘ ได้แก่ (๑) ปฏิญญาเวียงจันทน์ว่าด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการจ้างงานนอกระบบไปสู่การจ้างงานในระบบเพื่อมุ่งสู่การส่งเสริมงานที่มีคุณค่าในอาเซียน (๒) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการตอบโต้ภัยพิบัติอาเซียนอย่างเป็นหนึ่งเดียว การตอบสนองของอาเซียนต่อภัยพิบัติเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคและภายนอกภูมิภาค และ (๓) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการสร้างความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนตกหล่น ทั้งนี้ เมื่อคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนได้ให้การรับรองเอกสารขอบเขตการดำเนินงานฯ แล้ว ประเทศไทยจะได้เริ่มต้นกระบวนการภายในประเทศต่อไป
|
.....