ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1026 จากทั้งหมด 6215 หน้า แสดงรายการที่ 20501 - 20520 จากข้อมูลทั้งหมด 124288 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20501 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง | มท | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ร้อยตำรวจเอก นิรุล รักษาเสรี เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง แทนนายกฤษฎา บุญราช ที่พ้นจากตำแหน่งกรรมการอื่น เนื่องจากลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20502 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการปกครอง | นร09 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองชุดใหม่ แทนชุดเดิมที่ครบวาระ จำนวน ๑๐ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ ประธานกรรมการ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๒. นายกฤษณ์ วสีนนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๓. นายเกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๔. นายเทพสิทธิ์ รักไตรรงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๕. นายนิพนธ์ ฮะกีมี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๖. นายประสงค์ วินัยแพทย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๗. นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๘. นายยงยุทธ อนุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๙. นายสมยศ เชื้อไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์) ๑๐. นายเอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในทางนิติศาสตร์)
|
||||||||||||||||||||||||
20503 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2559) | นร | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) รับข้อสังเกตดังกล่าวประสานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20504 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... (สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||
20505 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ และ ๑ เอเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ท่าหลวง) จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑๐-๒๒/๒๕๕๓ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ และวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเหมืองแร่ของประเทศ รวมถึงการประเมินคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของแต่ละพื้นที่ ประเมินสถานการณ์และพิจารณาขีดจำกัด รวมทั้งความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ดังกล่าวเพื่อการทำเหมืองแร่ในภาพรวมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20506 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การมหาชน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งผลการพิจารณาของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน (กพม.) เกี่ยวกับการให้องค์การมหาชนทั้ง ๓๙ หน่วยงาน จัดส่งร่างแก้ไขพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งมายังสำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อนำเสนอ กพม. พิจารณา แล้วจึงตอบมติกลับไปยังองค์การมหาชนทุกแห่ง เพื่อนำส่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกันทุกหน่วยงาน เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
20507 | การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 (ปรับปรุงใหม่) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2558 | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme (PGS) ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) จากเดิม สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน เป็น สิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงินแล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขอื่น ๆ ของโครงการประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ ยังคงให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยไม่มีการขยายระยะเวลาต่อไปอีก ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการเงินผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในอนาคตด้วยความรอบคอบ โดยค้ำประกันสินเชื่อให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความจำเป็น ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง การคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการด้วยความระมัดระวังและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ การกระจายโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่จะเข้าร่วมโครงการให้ทั่วถึงและไม่ซ้ำซ้อน การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการที่เหมาะสม การให้ บสย. เร่งประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ความช่วยเหลือ SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน การให้ความสำคัญกับการลดสัดส่วนหนี้ NPGs ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การประมาณการเป้าหมายการค้ำประกันสินเชื่อและวงเงินชดเชยที่ขอจัดสรรจากสำนักงบประมาณให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และการพิจารณากำหนดให้ บสย. นำรายได้จากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันมาร่วมสมทบจ่ายชดเชยค่าความเสียหายกรณีที่เป็น NPGs ด้วย เพื่อเป็นการลดภาระทางด้านงบประมาณของรัฐบาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลการดำเนินการและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS ระยะที่ ๕ (ปรับปรุงใหม่) เสนอคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20508 | กรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง และโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) | ทส | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย) โดยได้มีการประชุมคณะกรรมการฯ รวม ๕ ครั้ง เพื่อกำหนดกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน ๖ ข้อ ได้แก่ (๑) เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดน (๒) เพิ่มประสิทธิภาพของการปราบปรามการลักลอบตัดไม้พะยูง (๓) เสริมสร้างและประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดชายแดนไทยกับจังหวัดชายแดนกัมพูชาในการลาดตระเวน (๔) ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (๕) ส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานทั้งในระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศ และ (๖) ในการดำเนินการใด ๆ ของฝ่ายไทยและกัมพูชา ทั้งสองประเทศจะคำนึงถึงหลักการของอำนาจอธิปไตย สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับจังหวัด จำนวน ๗ จังหวัด ที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศกัมพูชา กำหนดกรอบการลาดตระเวนโดยมีการประสานงาน (Coordinated Patrol) สำหรับลาดตระเวน รวมทั้งพิจารณางบประมาณสำหรับการดำเนินการแก้ไขการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๑.๒ เห็นชอบกรอบนโยบายแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับใช้เป็นกรอบการหารือในการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมระดับประเทศกับฝ่ายกัมพูชา ๑.๓ เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับฝ่ายกัมพูชาตามประเด็นที่อยู่ในกรอบการหารือเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ของทั้งสองฝ่าย หากที่ประชุมได้ตกลงกันนอกเหนือจากกรอบการหารือตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้และการตกลงดังกล่าวจะเกิดเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความเห็นชอบ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระดับประเทศ (ฝ่ายไทย)ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการจัดทำแผนงาน/โครงการรองรับตามผลการประชุมคณะกรรมการดังกล่าว และใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนบูรณาการเรื่องการรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินที่ได้รับจัดสรรจากงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๒,๑๓๗.๑๐๓๘ ล้านบาท ก่อนในโอกาสแรก หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ซึ่งได้รับความเห็นชอบในหลักการจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรา ๒๓ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20509 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... | นร09 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพงาน อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนาม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
20510 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2559 - 2568 | สธ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) มาตรการเชิงนโยบายและการควบคุมกำกับอย่างเข้มข้น (๒) เสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายความครอบคลุมของมาตรการเชิงป้องกันทั้งในประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๓) พัฒนาคุณภาพการคัดกรองวินิจฉัย การดูแลรักษา การส่งต่อทั้งระบบอย่างบูรณาการ (๔) ส่งเสริม สนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาศักยภาพของชุมชนและองค์กรท้องถิ่นในการป้องกันควบคุมและจัดการสิ่งแวดล้อมโรคพยาธิใบไม้ตับ มะเร็งท่อน้ำดี และการดูแลผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีอย่างเป็นระบบ และ (๕) การศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๒ แนวทางการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ๒ ระยะ โดยระยะเริ่มต้น ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) เป็นโครงการรณรงค์การกำจัดปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๗๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ตลอดจนในปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา และระยะที่ ๒ เป็นการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์ในระยะเวลาที่เหลือ (๒๕๖๒-๒๕๖๘) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ส่งผลให้การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีเกิดความยั่งยืน และผลักดันให้เป็นการดำเนินงานในแผนงานปกติในอนาคตต่อไป ๑.๓ สนับสนุนงบประมาณการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถดำเนินการกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนในอนาคต ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้ประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุกเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะสอดประสานไปกับการดำเนินการยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้วในพื้นที่ในลักษณะการบูรณาการประเด็นด้านสุขอนามัยและโภชนาการของปัญหาสุขภาพของชุมชน ทั้งในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การสร้างความตระหนัก การให้ความรู้และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ และควรเพิ่มเติมตัวชี้วัดการดำเนินงานที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างหน่วยงาน (Joint KPI) เพื่อนำไปสู่การเกิดผลลัพธ์ในการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรพิจารณาเชื่อมโยงกิจกรรมและพื้นที่ดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนดังกล่าว จำนวน ๒๖๑,๓๓๔,๘๐๐ บาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขนำแผนดังกล่าวมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
||||||||||||||||||||||||
20511 | การขอความเห็นชอบในการให้สัตยาบันอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก | กต | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการให้สัตยาบันอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการค้ามนุษย โดยเฉพาะสตรีและเด็ก (ASEAN Convention Against Trafficking in Persons, Especially Women and Children : ACTIP) เพื่อกระทรวงการต่างประเทศจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดทำสัตยาบันสาร (Instrument of Ratfication or Approval) เพื่อส่งมอบต่อเลขาธิการอาเซียนเพื่อเก็บรักษาต่อไป โดยอนุสัญญาฯ เป็นเอกสารที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะร่วมมือกันป้องกันและต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมถึงให้การคุ้มครองและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเป็นตราสารทางกฎหมายสำหรับการดำนินการระดับภูมิภาค ซึ่งมีขอบเขตการใช้บังคับในการป้องกันการสืบสวนสอบสวน และการผ้องร้องดำเนินคดีในความผิดตามที่กำหนดไว้ เมื่อความผิดดังกล่าวมีลักษณะข้ามชาติ รวมถึงความผิดที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรม และเพื่อการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20512 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง | อื่นๆ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง) และให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) นำเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๖๙๐,๒๐๐,๐๐๐ บาท ไปดำเนินโครงการ จำนวน ๕ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการศึกษากระบวนการดำเนินงานของธนาคารที่ดิน (๒) โครงการแก้ไขปัญหาเกษตรกรและผู้ยากจนซึ่งมีปัญหาจะสูญเสียสิทธิในที่ดินจากปัญหาการจำนองและขายฝาก (๓) โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน (๔) โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร และ (๕) โครงการศึกษาวิจัยระบบข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ตามมติคณะกรรมการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ ๑.๒ ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน) จากเดิม “๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม กรณีการดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้ ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาและสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย โดยประสานรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินการกับสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป” เป็น “๑. มอบหมายให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน ในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน” ๒. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในประเด็นโครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง ๕ ชุมชน นั้น ให้กำหนดหลักเกณฑ์การช่วยเหลือบนหลักความเป็นธรรมและความเสมอภาค คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาของพื้นที่อื่น ๆ และติดตามผลการดำเนินงานของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ก่อนกำหนดกิจกรรมและงบประมาณที่จะดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จัดทำแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ และรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
20513 | ขออนุมัติแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และการใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน | กษ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ จำนวน ๓๕ รายการ งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๑,๔๐๖.๔๑ ล้านบาท และการขอใช้เงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน ในส่วนที่คงเหลือจากกรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ จำนวน ๑,๔๐๖.๔๑ ล้านบาท มาเพื่อใช้ดำเนินโครงการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๘ และหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินกู้ตามระเบียบดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนที่จะได้รับเป็นสำคัญ ตลอดจนเร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินกู้โครงการเงินกู้ฯ ที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ และเห็นควรเร่งรัดโครงการทั้ง ๓๕ รายการ ให้ดำเนินการทำข้อผูกพันงบประมาณภายในไตรมาส ๔ ของปีงบประมาณ ๒๕๕๙ เพื่อช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทันการณ์ ให้มีกระบวนการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีขีดความสามารถในการดำเนินการได้จริงภายในระยะเวลาที่กำหนด และควรเป็นหน่วยงานราชการหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ โดยไม่มีการจ้างช่วงต่อเพื่อให้เกิดการกระจายงานให้สำเร็จได้ทันตามกำหนดตามแผนงาน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. โดยที่โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๐ ดังนั้น ในอนาคตหากหน่วยงานเจ้าของโครงการมีวงเงินคงเหลือจากการจัดสรรและมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการเพิ่มเติม ให้หน่วยงานขอใช้จากแหล่งเงินอื่นต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
||||||||||||||||||||||||
20514 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 22 | พณ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ๒๐๑๖ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองอาเรกีปา สาธารณรัฐเปรู มีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้แก่ การจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนภายใต้เป้าหมายโบกอร์ในปี ๒๐๒๐ และแผนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าบริการ และ การส่งเสริม SMEs เข้าสู่ตลาดโลก ๑.๒ การหารือทวิภาคี ได้มีการหารือทวิภาคีกับผู้แทน ๖ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ สาธารณรัฐเปรู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น เกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการเตรียมการของไทย และกับสหพันธรัฐรัสเซียในประเด็นความร่วมมือทางการค้า ๑.๓ การดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ปี ๒๐๑๖ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยไปสู่ตลาดโลก การพัฒนาทุนมนุษย์ และการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการให้แข็งแกร่ง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการให้ไทยเข้าร่วมการเจรจาลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดของ WTO เข้าร่วมเท่านั้น และไทยควรสงวนสิทธิ์ในการจัดเก็บภาษีศุลกากรถาวรสำหรับการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนทั้งคำจำกัดความและแนวทางการดำเนินการในการส่งเสริมการค้าดิจิทัลและการค้าผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว อีกทั้งประเด็นดังกล่าวยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ รวมทั้งการปรับปรุงข้อมูลตามตารางสรุปประเด็นสำคัญและหน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20515 | การดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการดำเนินการตามมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Start Up) สรุปได้ ดังนี้
๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๕๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชนร่วมเป็นกรรมการ และมีผู้อำนวยสำนักนโยบายการออมและการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการฯ โดยคณะกรรมการฯ ได้ประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เพื่อพิจารณาร่างแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) และพิจารณาแนวทางการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อปฏิบัติงานตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นฯ ๒. การจัดทำแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นฯ เป็นการดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ “ผลักดัน Startup ให้เป็นกลไกในการพลิกโฉมสังคม เศรษฐกิจ นำไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ ASEAN” และมีพันธกิจหลัก ๔ ประการ ได้แก่ (๑) การสร้างความตระหนักและการรับรู้เพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (๒) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (๓) การส่งเสริมการบ่มเพาะวิสาหกิจเริ่มต้น และ (๔) การเสนอแนะนโยบายและมาตรการภาครัฐเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น ๓. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และกองทุนรวมวายุภักษ์ ในฐานะผู้จัดสรรแหล่งเงินทุนสำหรับการจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้น อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้น ซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้นในรูปแบบทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust) โดยธนาคารกรุงไทยฯ และกองทุนรวมวายุภักษ์ร่วมกันสนับสนุนแหล่งเงินทุน ในวงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คาดว่าการดำเนินการจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้นจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ ทั้งนี้ มีนักลงทุนสถาบันภาคเอกชนแสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้นมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการประสานงานเพื่อจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนกับวิสาหกิจเริ่มต้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust) |
||||||||||||||||||||||||
20516 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2559 | สวพส. | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนโครงการหลวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๙ ซึ่งที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานสำคัญในการสนับสนุนงานโครงการหลวง รวมทั้งเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บท ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และคำของบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ รับทราบกรอบคำของบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่สนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน ๓๘ แห่ง จำนวน ๑,๗๐๔,๔๔๖,๖๔๐ บาท และโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง จำนวน ๒๙ แห่ง จำนวน ๔๙๙,๗๓๙,๕๕๑ บาท ซึ่งหน่วยงานได้ส่งกรอบคำขอตั้งงบประมาณให้สำนักงบประมาณพิจารณาแล้ว และสำนักงบประมาณได้พิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ตามความเหมาะสม และได้ปรับปรุงโครงสร้างแผนงานตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในส่วน “แผนงานยุทธศาสตร์สนับสนุนการพัฒนาโครงการหลวง” โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมสนับสนุนการดำเนินโครงการตามแผนงานดังกล่าวด้วย ๑.๓ เห็นชอบแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๕,๘๔๗,๙๙๗,๖๗๓ บาท และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) กรอบงบประมาณรวม ๓,๐๙๐,๒๔๐,๙๗๙ บาท ๒. ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง ขออนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเป็นผู้ตรวจสอบโครงการวิจัย) สำหรับโครงการและแผนงานวิจัยตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ๓. ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญในการผลักดันกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้โครงการที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มเติมรายละเอียดมาตรการควบคุมและป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและการแพร่กระจายของมลพิษจากกิจกรรมต่าง ๆ การเพิ่มเติมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในพื้นที่ดำเนินการ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้มีการนำเข้าชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ต่างถิ่นที่อาจส่งผลกระทบต่อชนิดพันธุ์ดั้งเดิม การเพิ่มเติมโครงการ/กิจกรรมด้านการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในความสำคัญของพื้นที่ต้นน้ำลำธารให้กับประชาชนในพื้นที่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูดิน น้ำ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ผ่านการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น การจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม การให้ความสำคัญกับการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยยึดพื้นที่เป็นเป้าหมาย การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายป่าและปัญหายาเสพติดควบคู่ไปกับการพัฒนาอาชีพของประชาชนบนพื้นที่สูง รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยลดการใช้หรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทางการเกษตร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20517 | ผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ 1/2559 | นร11 | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๙ ตามที่ประธานกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุม กศร. ครั้งที่ ๑/๒๕๕๙ ซึ่งมีเรื่องเพื่อทราบ รวม ๕ เรื่อง และเรื่องเพื่อพิจารณา รวม ๓ เรื่อง ได้แก่ (๑) การขอปรับผังการใช้ประโยชน์พื้นที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ของ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (๒) แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานรัฐ จังหวัดสระบุรี และ (๓) แผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และการใช้ที่ดินราชพัสดุเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์แห่งใหม่ ๑.๒ เห็นชอบแผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานรัฐ จังหวัดสระบุรี ๑.๓ เห็นชอบแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์และการใช้ที่ดินราชพัสดุเป็นที่ตั้งศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์แห่งใหม่ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐ จังหวัดสระบุรี และการจัดทำแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ดังกล่าว ควรกำชับให้จังหวัดสระบุรีและจังหวัดกาฬสินธุ์ใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทศูนย์ราชการโดยเคร่งครัดด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างอาคารของส่วนราชการต่าง ๆ ในบริเวณศูนย์ราชการใหม่ ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด แบบรูปรายการ และประมาณการค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมสอดคล้องกับแผนการใช้ที่ดินและแผนแม่บทศูนย์ราชการจังหวัด และมีความพร้อมในการดำเนินการอย่างแท้จริง เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20518 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดนครปฐม และศาลอุทธรณ์ภาค 7 และอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ | ศย | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้เพิ่มวงเงินค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลจังหวัดนครปฐม และศาลอุทธรณ์ภาค 7 และอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จากวงเงิน ๑๒,๔๙๒,๕๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๑๖,๙๕๖,๑๒๕ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่จัดสรรงบประมาณให้แล้ว จำนวน ๑๐,๔๑๖,๖๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๕๖๕,๗๕๐ บาท ส่วนที่เหลือจำนวน ๕,๙๗๓,๗๗๕ บาท ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป ให้ครบค่างานตามสัญญาต่อไป ๑.๒ สำหรับการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างส่วนที่เหลือของอาคารดังกล่าว ให้สำนักงานศาลยุติธรรมปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มาตรฐานของทางราชการ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เกี่ยวกับแนวทางการจัดทำสัญญาจ้างควบคุมงานก่อสร้างที่กำหนดว่า การกำหนดค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานจะต้องสอดคล้องกับผลงานในสัญญาก่อสร้างที่จะดำเนินการจริง โดยไม่ใช้ระยะเวลาในการควบคุมงานเป็นตัวกำหนดค่าใช้จ่าย รวมทั้งคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และเมื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างจนได้ข้อยุติแล้ว ให้สำนักงานศาลยุติธรรมขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้ง ทั้งนี้ ภาระค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จำนวน ๔,๔๖๓,๖๒๕ บาท เห็นควรที่สำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการตรวจสอบหาบุคคลรับผิดชอบตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานศาลยุติธรรมดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินค่าควบคุมงาน อันเนื่องมาจากผู้รับจ้างงานก่อสร้างเดิมผิดสัญญา โดยจะต้องเรียกร้องไล่เบี้ยความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จากผู้รับจ้างซึ่งกระทำผิดสัญญางานก่อสร้างรายเดิมให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
20519 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงยุติธรรม) (นายสมณ์ พรหมรส) | ยธ | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมณ์ พรหมรส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
20520 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์) | กค | 21/06/2559 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวอรนุช ไวนุสิทธิ์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
.....