ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 68 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1341 - 1360 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1341 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวสำหรับบุคลากรท้องถิ่นที่ได้รับเงินเดือนค่าจ้างจากงบประมาณรัฐ | นร | 08/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ประธาน
กรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เสนอการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็น เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวสำหรับครูผู้ดูแลเด็กที่เป็นบุคลากรซึ่งถ่ายโอนมาจากส่วนราชการ และครูอัตรา จ้างในโรงเรียนเทศบาลที่ได้รับค่าจ้างจากเงินอุดหนุนของรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 คนละ 1,000 บาทต่อเดือน โดยให้สำนักงบประมาณประสานกับกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) เพื่อพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับแหล่งเงินงบประมาณและวงเงินงบประมาณที่จะใช้เพื่อการนี้ แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 1342 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 3 กุมภาพันธ์ 2548) | มท | 08/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 55 จังหวัด 557 อำเภอ 54 กิ่งอำเภอ 4,265 ตำบล 38,387 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 7,380,453 คน 2,133,610 ครัวเรือน แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด พื้นที่การเกษตร เสียหาย 13,281,498 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 10,011,104 ไร่ พืชไร่ 2,958,742 ไร่ พืชสวน 311,652 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,570,089,969 บาท ส่วนการให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อการ เกษตร รวมทั้งแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้วรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 488,923,764 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 347,096,108 บาท งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 88,688,656 บาท และงบประมาณอื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 53,139,000 บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 1343 | รายงานสรุปผลความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ (ครั้งที่ 6) | มท | 08/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดิน
ไหวและคลื่นยักษ์ ณ จังหวัดภูเก็ต รายงานสรุปข้อมูลความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ครั้งที่ 6 ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2548 ในส่วนของพื้นที่ประสบภัยและความเสียหาย พื้นที่ประสบภัยพิบัติ บริเวณพื้นที่ ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และ สตูล รวม 24 อำเภอ/กิ่งอำเภอ 83 ตำบล 332 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 59,561 คน 14,266 ครอบครัว จำนวนผู้เสียชีวิตรวม 5,393 คน บาดเจ็บรวม 8,457 คน รับแจ้งสูญหายรวม 3,062 คน เด็กกำพร้า ที่บิดาหรือมารดาหรือผู้อุปการะเดิมเสียชีวิตรวม 848 คน บ้านเรือนราษฎรเสียหายรวม 6,728 หลัง พื้นที่การ เกษตร เสียหายคิดเป็นมูลค่า 8,380,360.75 บาท ด้านประมง เสียหายคิดเป็นมูลค่า 1,730,861,458 บาท ด้านปศุสัตว์ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 17,625,605 บาท รวมทั้งด้านสถานประกอบการ เสียหายคิดเป็นมูลค่า 12,852,617,712 บาท รวมมูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินเกี่ยวกับการประกอบอาชีพประมาณ 14,609.48 ล้านบาท สิ่งสาธารณประโยชน์ที่ได้รับความเสียหายประเมินในขั้นต้นประมาณ 1,053.85 ล้านบาท ส่วนการ ตรวจพิสูจน์ยืนยันบุคคลผู้เสียชีวิต โดยยอดผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ (Tsunami) มีจำนวน 5,393 คน สามารถยืนยันพิสูจน์ตัวบุคคล หรือญาติยืนยันแล้ว จำนวน 1,861 ศพ ยังยืนยันไม่ได้ 2,882 ศพ ได้ขนย้ายศพ จากวัดบางม่วง และวัดย่านยาว ไปยังสุสานไม้ขาวแล้วรวม 1,556 ศพ สำหรับด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้ จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 259,736,695 บาท การจ่ายเงินช่วยเหลือชาวประมง และผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมเป็นเงิน 196,549,293 บาท การจัดบ้านพักชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยใน พื้นที่ 3 จังหวัด ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ การก่อสร้างบ้านพักถาวรในพื้นที่ประสบภัย 6 จังหวัด ข้อมูลสำรวจ ความต้องการ มียอดรวมทั้งสิ้น 2,896 หลัง การช่วยเหลือซ่อมเรือผู้ประสบภัย จังหวัดกระบี่ ซ่อมเครื่องยนต์ เรือหางยาวแล้วเสร็จ 168 เครื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการ 13 เครื่อง การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการราย ย่อย รวมเป็นเงิน 83,110,000 บาท นอกจากนี้ ได้ดำเนินการฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้าง และการจัดระเบียบชายหาดใน 4 ภารกิจ ได้แก่ การทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพัง ขยะมูลฝอย การจัด ระบบสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานและอาคารสิ่งก่อสร้าง การจัดระเบียบชายหาด และ การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวจัดทำภูมิทัศน์ชายหาด ส่วนกรมที่ดินได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เอกสารสิทธิ ชำรุด สูญหาย และทำการรังวัดปูเขตที่ดินที่หลักเขตสูญหาย ตลอดจนช่วยเหลือการจัดที่ดิน วางผังในการก่อ สร้างบ้านพักถาวรให้แก่ผู้ประสบภัย ส่วนจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดกระบี่ อยู่ระหว่างการพิจารณาเร่งรัดการจัด ระเบียบที่ดินร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้ประสบภัย
|
|||||||||||||||||||||
| 1344 | แนวทางการปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการเลือกตั้ง | มท | 01/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการปฏิบัติสำหรับข้าราชการและเจ้า
หน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยได้จัดตั้งศูนย์สนับสนุนและประสานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กระทรวงมหาดไทย เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งได้เน้น ย้ำการปฏิบัติงานของฝ่ายปกครองตามบทบาทอำนาจหน้าที่ที่รับผิดชอบทุกระดับ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 3 ระยะคือ ก่อนวันเลือกตั้ง ในวันเลือกตั้ง และหลังวันเลือกตั้ง ตามมาตรการ ต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย มาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ความสำคัญของบัตร ประจำตัวประชาชน มาตรการเข้มงวดในการวางตัวเป็นกลาง มาตรการประชาสัมพันธ์ "ข้าราชการวางตัวเป็น กลาง เป็นตัวอย่างที่ดี ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง" มาตรการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด มาตรการศูนย์สนับสนุนและ ประสานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมาตรการในการเฝ้าระวังเลือกตั้ง
|
|||||||||||||||||||||
| 1345 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2548) | มท | 01/02/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 29 มกราคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 55 จังหวัด 552 อำเภอ 54 กิ่งอำเภอ 4,249 ตำบล 38,053 หมู่ บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 7,312,468 คน 2,098,517 ครัวเรือน แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหาย 13,020,259 ไร่ แยกเป็นนาข้าว 9,813,411 ไร่ พืชไร่ 2,896,557 ไร่ พืชสวน 310,291 ไร่ มูลค่าความ เสียหายประมาณ 6,523,528,206 บาท การให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร รวมทั้ง แจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค และเร่งรัดได้ให้จังหวัดที่ประสบภัยใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการป้องกันและแก้ไข ปัญหาความแห้งแล้งไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 411,672,582.88 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของ จังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) เป็นเงิน 291,598,639 บาท งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเงิน 76,985,443.88 บาท และงบประมาณอื่น ๆ เช่น งบจังหวัด CEO เป็นเงิน 43,088,500 บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 1346 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (วันที่ 1 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 13 มกราคม 2548) | มท | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่าย
พลเรือนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547-13 มกราคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 55 จังหวัด 543 อำเภอ 53 กิ่งอำเภอ 4,322 ตำบล 38,502 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 7,272,739 คน 2,011,509 ครัวเรือน แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวัน ออก 8 จังหวัด พื้นที่การเกษตรเสียหาย 12,576,338 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 9,744,168 ไร่ พืชไร่ 2,591,809 ไร่ พืชสวน 240,061 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,409,057,884 บาท การ ให้ความช่วยเหลือได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรรวมทั้งแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบ ประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 311,184,725.88 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉิน ทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 206,343,036 บาท งบฉุกเฉินขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น 76,985,443.88 บาท และงบประมาณอื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 27,856,246 บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 1347 | รายงานผลการติดตามการดำเนินงานปัญหา อุปสรรค การใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 (ตุลาคม 2546 - มีนาคม 2547) | นร | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามการใช้
จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและปัญหาอุปสรรคการดำเนินงานเพิ๋มเติม ณ วันสิ้นปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยเงินอุดหนุนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภทได้รับประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รวมทั้งสิ้น 79,136.94 ล้านบาท (ไม่รวมเงินอุดหนุนเพิ่มเติมกลางปีงบประมาณ พ.ศ. 2547) โดยมีการเบิกจ่ายไปแล้ว 65,049.33 ล้านบาท จำแนกตามส่วนราชการ ได้ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับจัดสรร 1,791.82 ล้านบาท เบิกจ่าย 1,195.57 ล้านบาท กรมส่งเสริมการปก ครองท้องถิ่น ได้รับจัดสรร 66,066.13 ล้านบาท เบิกจ่าย 56,753.84 ล้านบาท กรุงเทพมหานคร ได้รับ จัดสรร 9,982.48 ล้านบาท เบิกจ่าย 6,552.85 ล้านบาท และเมืองพัทยา ได้รับจัดสรร 1,296.51 ล้าน บาท เบิกจ่าย 547.07 ล้านบาท ส่วนปัญหาอุปสรรคที่ทำให้มีการเบิกจ่ายเงินล่าช้า ได้แก่ ปัญหาจากการ เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น เนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 มีการเลือกตั้งคณะผู้บริหารและสมาชิกสภา ท้องถิ่นหลายแห่ง และมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนมากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองผลการ เลือกตั้งไม่ครบทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาท้องถิ่นเพื่อพิจารณาอนุมัติร่างข้อบัญญัติงบประมาณประจำ ปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น เช่น สภาพพื้นที่ก่อสร้างบางแห่งมีปัญหาภูมิประเทศซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้การก่อสร้างและการเบิกจ่าย เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นล่าช้า และปัญหาความเข้าใจของบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่งยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในเรื่องวัตถุประสงค์ของเงินอุดหนุน ทั่วไป เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 1348 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธีการรับบำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท | 18/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราและวิธี
การรับบำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดอัตราและวิธีการรับ บำเหน็จดำรงชีพของข้าราชการส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จดำรงชีพไม่เกิน 15 เท่าของบำนาญ รายเดือนที่ได้รับ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และในการขอรับบำเหน็จดำรงชีพให้ขอรับได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม- 31 ธันวาคม ของทุกปี ส่วนกรณีผู้รับบำนาญออกจากราชการโดยต้องหาว่ากระทำผิดวินัยหรืออาญาก่อนออก จากราชการจะขอรับบำเหน็จดำรงชีพได้เมื่อคดีถึงที่สุดและมีสิทธิรับบำนาญ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราช การส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 1349 | การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ 2548 เพื่อแก้ปัญหาธรณีพิบัติภาคใต้ | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เสนอให้จัดสรร
เงินอุดหนุนปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 จำนวนเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในเขตพื้นที่ประสบธรณีพิบัติ ฟื้นฟูสภาพจิตใจของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้จ่าย จากเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อแก้ไขปัญหาการกระจายอำนาจ จำนวน 500 ล้านบาท เงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อปรับปรุงเส้นทางคมนาคมและเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อก่อสร้างฝายทดน้ำ จำนวน 1,000 ล้านบาท และได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนดังกล่าวประกอบด้วย หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีใน เขตจังหวัดที่ประสบธรณีพิบัติ สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมบัญชีกลาง กรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้แทนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||
| 1350 | สรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง (วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 6 มกราคม 2548) | มท | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์ความแห้งแล้ง ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 6 มกราคม 2548 มีจังหวัดที่ประสบภัย 55 จังหวัด 547 อำเภอ 51 กิ่งอำเภอ 4,166 ตำบล 37,402 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 7,518,739 คน 2,043,542 ครัวเรือน แยกเป็น ภาคเหนือ 17 จังหวัด ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด ภาคกลาง 11 จังหวัด และภาคตะวันออก 8 จังหวัด พื้นที่การเกษตร เสียหาย 11,750,518 ไร่ แยกเป็น นาข้าว 9,417,267 ไร่ พืชไร่ 2,223,198 ไร่ พืชสวน 110,053 ไร่ มูลค่าความเสียหายประมาณ 6,262,762,149 บาท การให้ความช่วยเหลือ ได้มีการจัดสรรน้ำเพื่อ การเกษตร รวมทั้งแจกจ่ายน้ำอุปโภค/บริโภค ในส่วนของงบประมาณดำเนินการใช้จ่ายไปแล้วรวมเป็นเงิน ทั้งสิ้น 296,400,420.88 บาท จำแนกเป็น งบฉุกเฉินทดรองราชการของจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) 191,867,465 บาท งบฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 76,985,443.88 บาท และงบประมาณ อื่นๆ เช่น งบจังหวัด CEO 27,547,512 บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 1351 | ร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... (Agenda based) | นร | 11/01/2548 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติเขต
เศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ที่คณะทำงานด้านกฎหมาย ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ได้ยกร่างและแก้ไข เพิ่มเติมตามผลการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครือ งาม) เป็นประธาน โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขึ้นเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เฉพาะสอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ และความต้องการของประชาชน และเพื่อ ให้การพัฒนาระบบบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการ แข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการถือครองที่ดิน และการเช่าที่ดินของคนต่างด้าว ตามข้อสังเกตกรมที่ดิน เรื่องการอุดหนุนซึ่งอาจขัดต่อพันธกรณีใน WTO ตามข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ และเรื่องแรงงานต่างด้าวตามข้อสังเกตของกระทรวงแรงงาน รวมทั้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ด้วยดังนี้ โดยที่ในบางเรื่องอาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เช่น การกำหนดให้เป็นเขตเกษตรเศรษฐกิจ ตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. 2522 เป็นต้น จึงสมควรพิจารณาว่า หากจะยกเลิกกฎหมาย ดังกล่าว แล้วใช้กฎหมายในเรื่องนี้เพียงฉบับเดียว จะเหมาะสมหรือไม่ ควรกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นองค์การมหาชนในลักษณะ ที่ให้สามารถกำกับดูแลการดำเนินงานของสำนักงาน ห้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลได้ นอกจากนี้ให้พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ว่าการเขตเศรษฐกิจพิเศษกับรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระ ราชกฤษฎีกาจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย รวมทั้งกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษใน พื้นที่ที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาให้ชัดเจน เพื่อมิให้เกิดความสับสนหรือขัดแย้งกับอำนาจหน้าที่ของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่นั้น ในกรณีเป็นที่ดินขององค์กรทางศาสนา ควรดำเนินการตามแนว ทางในกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดิน เมื่อตรวจร่างเสร็จแล้ว ควรมีการรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนและ ภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1352 | แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำ สำคัญของประเทศ และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ อาทิเช่น รัฐควรดำเนินการแบ่ง 25 แม่น้ำสำคัญเป็น 9 กลุ่มลุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถดำเนิน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำที่เกี่ยวเนื่องกัน และควรดำเนินการให้มียุทธศาสตร์การ จัดการลุ่มน้ำเพื่อตอบสนองความจำเป็นเพื่อการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ โดยใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็น สาธารณะจากประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมรับผิดชอบการรักษาความอุดมสมบูรณ์ ของลุ่มน้ำ รวมทั้งทบทวนกรอบการทำงานและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนด นโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน และทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และมอบให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการจัดทำข้อมูลตามประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ได้แก่ การกำหนดวิธีการและแสดงผลการศึกษาให้ทราบถึงต้นตอและ สาเหตุแห่งปัญหาน้ำของประเทศ การบริหารจัดการน้ำ การจัดทำระบบการโยกย้ายน้ำ (Water rid) และข้อ เสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นควรให้มีพระราชบัญญัติน้ำและจัดตั้งกระทรวงน้ำ และการปรับปรุงองค์กร บริหารจัดการน้ำในระดับต่าง ๆ แล้วเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณาโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาลุ่มน้ำของ ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ แบบบูรณาการเพื่อประโยชน์ในการผลิต การบริโภค และการป้องกันอุทกภัยต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1353 | สรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ฝั่งอันดามัน | มท | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานสรุปสถานการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์บริเวณชายฝั่งทะเล ภาคใต้ฝั่งอันดามัน สรุปได้ดังนี้ ตามที่ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหว โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณด้านตะวันตกของ เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เวลา 07.58 นาฬิกา โดยวัดแรงสั่นสะเทือน ได้ 8.0 ริกเตอร์ นั้น จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พื้นที่ในจังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทยได้ รับผลกระทบและประสบความเสียหาย รวม 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ตรัง พังงา กระบี่ ระนอง และสตูล มีผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวม 918 คน บาดเจ็บ 7,396 คน สูญหาย 1,367 คน บ้าน เรือนได้รับความเสียหาย 308 หลังคาเรือน มูลค่าความเสียหาย 274,584,730 บาท ในการนี้ รัฐมนตรีว่า การกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งราชอาณาจักร ได้ประกาศให้พื้น ที่ 6 จังหวัดดังกล่าวเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน และให้ทุกจังหวัดที่ประสบภัยจัดตั้งศูนย์ประสานงาน การรับแจ้ง ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด โดยให้มี Call Center เพื่อให้ข้อมูลแก่ญาติของนักท่องเที่ยว รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสำรวจรายชื่อผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของจังหวัด ในส่วนของการให้ความเหลือ ช่วยเหลือ อาทิเช่น การจัดเจ้าหน้าที่ออกให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย แจกจ่ายถุงยังชีพ เสื้อผ้า/เครื่อง นุ่งห่ม และน้ำดื่ม การเปิดรับบริจาคเงินผ่านบัญชีชื่อ บัญชีสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยหมาย เลข 00-0006-20-01446-3 ประเภทเผื่อเรียก ธนาคารออมสิน สาขามหาดไทย และรับบริจาคสิ่ง ของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ของสำนักช่วยเหลือผู้ประสบภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด (งบ 50 ล้านบาท) หรืองบประมาณขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
| 1354 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยค่าตอบแทนที่ปรึกษาซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง พ.ศ. 2547 | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ) ที่มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ด้วยค่าตอบแทนที่ปรึกษาซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดค่าตอบแทนที่ปรึกษา และอนุที่ปรึกษา โดยที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละหนึ่งพัน บาท ส่วนอนุที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนครึ่งหนึ่งของที่ปรึกษา โดยกำหนดให้ได้รับค่าตอบแทนเป็นราย ครั้ง เฉพาะครั้งที่มาประชุมในอัตราครั้งละห้าร้อยบาท กำหนดให้ที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาซึ่งมิได้เป็นข้าราช การ พนักงานราชการ หรือลูกจ้างของทางราชการ หรือพนักงาน หรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจให้ได้รับค่าตอบแทน เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าของค่าตอบแทนที่ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ ประธานคณะที่ปรึกษา และประธานคณะอนุที่ปรึกษา ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งในสี่ของค่าตอบแทนที่ปรึกษา หรืออนุที่ปรึกษา ให้เลขานุการ และผู้ช่วย เลขานุการของคณะที่ปรึกษา หรือคณะอนุที่ปรึกษาให้ได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับที่ปรึกษา หรืออนุที่ ปรึกษาแล้วแต่กรณี และให้ร่างระเบียบ ฯ ดังกล่าว มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป โดย ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รับไปดำเนินการแก้ไขตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่น กรองฯ ดังนี้ ตามร่างข้อ 6 กำหนดอัตราค่าตอบแทนที่ให้กับที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาซึ่งมิได้เป็นข้าราชการ พนักงานราชการหรือลูกจ้างของทางราชการหรือพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าของค่าตอบแทนที่ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ เห็นควรตัด ออก เนื่องจากที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการที่ปรึกษา ตามที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งทั้งที่เป็นข้าราชการและมิได้ เป็นข้าราชการจะปฏิบัติหน้าที่ และมีความรับผิดชอบที่ใกล้เคียงกัน และเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้ที่ปรึกษาหรืออนุที่ปรึกษาได้รับค่าตอบแทนแตกต่างจากที่กำหนดไว้ในระเบียบ ฯ ได้ตามที่กระทรวงการ คลังเสนอแล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานงานกับสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1355 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศ" และ เรื่อง"แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ" | นร | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และการจัดการ 25 ลุ่มน้ำ สำคัญของประเทศ และแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ อาทิเช่น รัฐควรดำเนินการแบ่ง 25 แม่น้ำสำคัญเป็น 9 กลุ่มลุ่มน้ำ เพื่อให้สามารถดำเนิน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำที่เกี่ยวเนื่องกัน และควรดำเนินการให้มียุทธศาสตร์การ จัดการลุ่มน้ำเพื่อตอบสนองความจำเป็นเพื่อการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ โดยใช้กระบวนการรับฟังความคิดเห็น สาธารณะจากประชาชน ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมรับผิดชอบการรักษาความอุดมสมบูรณ์ ของลุ่มน้ำ รวมทั้งทบทวนกรอบการทำงานและการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนด นโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรดิน และทรัพยากรมนุษย์ ให้มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันเพื่อให้มีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น และมอบให้กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการจัดทำข้อมูลตามประเด็นอภิ ปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ได้แก่ การกำหนดวิธีการและแสดงผลการศึกษาให้ทราบถึงต้นตอและ สาเหตุแห่งปัญหาน้ำของประเทศ การบริหารจัดการน้ำ การจัดทำระบบการโยกย้ายน้ำ (Water rid) และข้อ เสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นควรให้มีพระราชบัญญัติน้ำและจัดตั้งกระทรวงน้ำ และการปรับปรุงองค์กร บริหารจัดการน้ำในระดับต่าง ๆ แล้วเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ พิจารณาโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาลุ่มน้ำของ ประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ แบบบูรณาการเพื่อประโยชน์ในการผลิต การบริโภค และการป้องกันอุทกภัยต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1356 | โครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ของประชาชน (โครงการประปาเอื้ออาทร) | มท | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่าย
การเกษตร ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติเกี่ยวกับโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค ของประชาชน (โครงการประปาเอื้ออาทร) โดยเห็นควรมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปรายของ คณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นว่าการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรให้กระทรวงมหาดไทยรับไป พิจารณาตามแนวทางการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2547 เรื่อง ปัญหาสืบเนื่องจากการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (ประปาหมู่บ้าน) ที่ได้มอบหมาย ให้ประธาน ฯ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีรับเรื่อง การจัดทำระบบประปาหมู่บ้านไปจัดประชุมร่วมกับส่วน ราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการงบประมาณที่ได้รับเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน น้ำอุปโภค บริโภคในหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2547-2548 จำนวน 5,622.61 ล้านบาท ให้อยู่ภายใต้กรอบการ ดำเนินงานของโครงการที่เสนอ โดยในการจัดทำระบบประปาหมู่บ้าน ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ ดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นสามารถซื้อบริการจากส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐได้ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติ ฯ สนับสนุนด้านวิชาการและเทคนิคขั้นสูงแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย นอกจากนี้ ให้กระทรวง มหาดไทยประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดทำแผนการบำรุงรักษาและซ่อมแซมระบบ ประปารวมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ ดำเนินการอย่างชัดเจน ให้มีระบบติดตาม ประเมิน และรายงานผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ ๆ อย่าง ต่อเนื่อง และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเสนอแนะการปรับปรุงการดำเนินงาน ตาม โครงการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ไปดำเนินการด้วย และให้สำนักงานคณะกรรมการการ กระจายอำนาจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็น ควรกำหนดภารกิจการให้บริการน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค ให้แก่ประชาชนที่จะถ่ายโอนให้แก่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นเป็นภารกิจที่จะต้องดำเนินการมากกว่าภารกิจที่สามารถเลือกดำเนินการได้ ไปพิจารณา ดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1357 | ขอให้หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญและรัฐวิสาหกิจแก้ไขระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 145 ฉ | กค | 28/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอเกี่ยวกับการขอความร่วมมือหน่วยงานตาม
กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราช การบริหารส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญและรัฐวิสาหกิจแก้ไขระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วย การพัสดุให้สอดคล้องกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 145 ฉ ที่กำหนดว่า กรณีที่นิติบุคคลใดถูกสั่งให้เป็นผู้ทิ้งงาน โดยการกระทำดังกล่าวเกิดจากหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของนิติบุคคลนั้น ให้ผู้รักษาการตาม ระเบียบ ฯ สั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทิ้งงานด้วย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไป ดำเนินการด้วย ดังนี้ หน่วยงานที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งกฎหมายให้อำนาจกระทรวงมหาดไทย กำหนดระเบียบพัสดุ และกระทรวงมหาดไทยก็กำหนดระเบียบเรื่องนี้ไว้แล้ว เห็นควรกำชับให้มีการถือปฏิบัติ โดยเคร่งครัด ก็น่าจะเพียงพอ ส่วนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสั่งการให้มีการดำเนินการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่มีฐานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อาทิ เช่น บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และมหาวิทยาลัยนอกระบบ เป็นต้น ให้รัฐมนตรีผู้กำกับดูแลสั่งการให้มี การดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง สำหรับหน่วยงานที่เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและ หน่วยงานอื่นที่มิได้สังกัดราชการบริหาร อาทิเช่น สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม และศาลปกครอง เห็นควรขอความร่วมมือให้พิจารณาดำเนินการ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||
| 1358 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมการจัดการป่าต้นน้ำและลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน | นร | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.2 (ฝ่ายการ
เกษตร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ที่มีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมการ จัดการป่าต้นน้ำและลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดให้มีระบบการ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การแก้ปัญหาการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า โดยใช้ยุทธศาสตร์ "คนอยู่กับป่า" การเร่งจัด สรรที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนที่ไร้ที่ทำกินในสถานที่และจำนวนที่เหมาะสมโดยให้เอกสารที่ให้สิทธิครอบครอง เพื่อทำกินเท่านั้น การพัฒนาแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการใช้น้ำในสภาพปัจจุบัน และกำหนดมาตรการ การลดการสูญเสียน้ำในกระบวนการใช้น้ำทั้งในภาคการเกษตร การอุปโภคบริโภค การอุตสาหกรรม และการ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการจัดการน้ำให้มากที่สุด เป็นต้น รวมทั้งรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ และส่วน ราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา และรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กลั่นกรอง ฯ เกี่ยวกับการปรับปรุงและกำหนดยุทธศาสตร์ และมาตรการดำเนินการ โดยจัดให้มีการบริหารจัด การแบบบูรณาการร่วมกันและมีหน่วยงานรับผิดชอบและระบบการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน และให้ รับประเด็นการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมจัดการลุ่มน้ำของประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า จะปรับปรุง โครงสร้างองค์กรและวิธีดำเนินการที่ใช้ในปัจจุบันอย่างใด เพื่อให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับ กับภาครัฐมากขึ้น และกำหนดเป้าหมายการรักษาป่าต้นน้ำและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับเจ้าหน้าที่และ ประชาชนเห็นถึงประโยชน์ของป่าและตระหนักในความสำคัญที่จะร่วมกันปลูกป่าและช่วยดูแลรักษาป่าอย่างแท้ จริง และเนื่องจากในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... มาตรา 18 ของวุฒิสภา คณะกรรมาธิ การร่วมได้ขอปรับปรุงจากร่างของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีมติให้ตัดข้อความเกี่ยวกับการจัดตั้งป่าชุมชนในเขต อนุรักษ์ออก เนื่องจากเกรงว่าผู้ที่อยู่ในเขตอนุรักษ์จะเข้าใจว่า เมื่อตั้งป่าชุมชนแล้วต่อไปจะสามารถตัดไม้ได้ตาม ประสงค์ จะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ซึ่งข้อเท็จจริงโดยเฉพาะในภาคเหนือมีประชาชนอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ อยู่ก่อนแล้ว และไม่สามารถจะโยกย้ายให้ออกจากบริเวณดังกล่าวได้อย่างถาวรกลับมีผลเสียต่อการดูแลรักษา ป่าอนุรักษ์นั้นให้ประสบผลสำเร็จได้ จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ จัดเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงต่อคณะกรรมา ธิการร่วมได้ทราบเหตุผลของการกำหนดร่างมาตรการดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับป่าเขตอนุรักษ์ว่า จะกระทำได้ เฉพาะกรณีเป็นชุมชนดั้งเดิม และมีพฤติกรรมที่แสดงถึงวัฒนธรรมแห่งการอยู่อาศัยที่เกื้อกูลต่อการดูแลรักษา ที่ขอกำหนดเป็นป่าชุมชนอย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีก่อนวันที่ขอจัดตั้งซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักให้คน สามารถอยู่กับป่า และมีส่วนร่วมปลูกและช่วยดูแลรักษาป่าให้เป็นป่าที่ยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1359 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ) ที่มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยว กับการศึกษาของบุตร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ การขยายสิทธิการเบิกเงินค่าการศึกษาของ บุตรให้แก่ผู้มีสิทธิที่มีบุตรศึกษาอยู่ในหลักสูตรระดับปริญญาตรี ทั้งสถานศึกษาของทางราชการและเอกชน โดยกำหนดให้มีสิทธิได้รับค่าการศึกษาของบุตรครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตรา ที่กระทรวงการคลังกำหนด และควบคุมการเบิกจ่ายกรณีผู้มีสิทธิมีคู่สมรส ซึ่งมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยว กับการศึกษาของบุตรจากหน่วยงานอื่น จะไม่มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรจากทาง ราชการ เว้นแต่ค่าการศึกษานั้นต่ำกว่าที่ผู้มีสิทธิจะได้รับตามร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ ให้มีสิทธิได้รับเฉพาะ ส่วนที่ยังขาดอยู่ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดัง กล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 เป็นต้นไป และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้ง ประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของคำนิยาม "สถานศึกษา ของทางราชการ" ในร่างมาตรา 3 ดังนี้ ตาม (1) "มหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น ในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย" อาจเกิดปัญหาการตีความ เนื่องจากสถาบันอุดมศึกษาปัจจุบันมีอยู่ในหลาย สังกัด เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โรงเรียนนายร้อยสังกัดกระทรวงกลาโหม เป็นต้น ตาม (2) "วิทยาลัยในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือสังกัดส่วนราชการอื่นที่ ก.พ. รับรองคุณวุฒิ" คำว่า "วิทยาลัย" อาจเป็นคำที่เฉพาะเจาะจงมากเกินไปหรือไม่ เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงสถาบันการศึกษา ทั้งที่ มีอยู่แล้วในปัจจุบันหรือที่จะเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งอาจมิได้ใช้ชื่อว่า "วิทยาลัย" และตาม (3) เห็นว่า ในอนาคตอาจ มีสถานศึกษาที่สังกัดองค์การบริหารส่วนตำบล เมืองพัทยา หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ จึงควร กำหนดคำนิยามให้มีความหมายกว้างและครอบคลุมกรณีดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 1360 | รายงานผลการติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 | นร | 21/12/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการติดตามการแก้ไข
ปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม 2547 ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) สรุปดังนี้ จากการติดตามการแก้ไข ปัญหาดังกล่าว มีพื้นที่ประสบภัยรวม 78 อำเภอ 9 กิ่งอำเภอ 692 ตำบล 7,550 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตร จำนวน 4,352,016 ไร่ ในส่วนของจังหวัดได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ สนับ สนุนรถบรรทุกน้ำ ช่วยเหลือด้านการเกษตรแจกจ่ายน้ำอุปโภค-บริโภค ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยผู้ประสบ ภัยตามระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2546 ในการนี้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปพัลลภ) ได้สั่งการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ไปเร่งรัดการสำรวจข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาภัยแล้งในปี 2547 โดยด่วน ให้ทุกจังหวัดประสานงานกับภาคเอกชนเพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำที่แต่ละจังหวัดมีไม่ เพียงพอ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงบริหาร จัดการในรูปแบบบูรณาการ โดยไม่คำนึงถึงเขตการปกครอง แต่ให้ดำเนินการในลักษณะของกลุ่มจังหวัด ให้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยธรรม ชาติ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 แต่จังหวัดยังมิได้รับเงินทำให้ไม่ สามารถจ่ายเงินให้เกษตรกรได้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแก้ไขการให้ความช่วยเหลือ ราษฎรผู้ประสบภัย เช่น การสำรวจความเสียหาย การเบิกจ่ายงบประมาณให้รวดเร็ว |
|||||||||||||||||||||
.....
