ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 88 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1741 - 1760 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1741 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน (1 ตุลาคม 2545 - 30 กันยายน 2546) | รง | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการดำเนินงานโครงการกองทุนเพื่อผู้ใช้
แรงงาน ในรอบ 1 ปี (1 ตุลาคม 2545 - 30 กันยายน 2546) กองทุน ฯ ได้ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถาน ประกอบกิจการ จำนวน 16 แห่ง กู้เงินไปจำนวน 68,340,000 บาท และตั้งแต่กองทุน ฯ เริ่มดำเนินการสามารถ ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ จำนวน 56 แห่ง กู้เงินไปทั้งสิ้น 349,670,000 บาท และจากการดำเนินการให้สหกรณ์ ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจกู้เงิน โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ที่กู้ยืมเงินกองทุน ฯ จำนวน 56 แห่ง สามารถชำระคืนเงินกู้ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาและไม่ปรากฏหนี้ค้างชำระหรือหนี้สูญแต่ประการใด โดยกองทุน ฯ มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 15,494,060.59 บาท นับแต่เริ่มดำเนินการเป็นต้น มา และเนื่องจากสภาวะตลาดเงินในปัจจุบันที่มีสภาพคล่องส่วนเกินเป็นจำนวนมาก ทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์ซึ่ง เป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่งมีทุนดำเนินการเป็นจำนวนมากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์บางส่วน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ขณะเดียวกันยังสามารถให้สหกรณ์อื่น ๆ กู้เงินไปเป็นทุนดำเนินการได้ จึงทำให้สหกรณ์ ออมทรัพย์ที่ขอกู้เงินจากกองทุน ฯ มีจำนวนไม่มาก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1742 | การจัดทำรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย ปี 2545 | อก | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอเรื่อง การจัดทำรายงานสถานการณ์
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของประเทศไทย ปี 2545 ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม ที่คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้ความเห็นชอบแล้ว โดยรายงานฉบับ นี้ประกอบด้วยสาระสำคัญสี่ส่วน ดังนี้ ส่วนที่หนึ่ง เป็นการสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเพื่อเป็นการฉายภาพ นำเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศที่ส่งผลถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ส่วนที่สอง แสดงถึงสถานภาพ และแนวโน้มของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคการบริการ ส่วนที่ สาม เป็นส่วนที่นำประเด็นสำคัญของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมาอธิบายเชิงลึก โดยในฉบับนี้เป็น เรื่องการเพิ่มผลผลิตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยศึกษาในสาขาธุรกิจสำคัญ 5 สาขา ประกอบ ด้วยอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง อุตสาหกรรมชิ้นส่วน ยานยนต์ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก และธุรกิจโรงแรม ส่วนที่สี่ เป็นการสรุปนโยบายและมาตรการของรัฐเพื่อ การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในรอบปี พ.ศ. 2545 และกรอบการเจรจาการค้าที่สำคัญทั้ง ระดับทวิภาคีและพหุภาคี |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1743 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 95) (จำนวน 4 เรื่อง) | พน | 09/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 95) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 จำนวน 4 เรื่อง ได้แก่ (1) การแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) (2) การยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 10/2523 เรื่อง การกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและ ป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (3) แผนแม่บทระบบต่อท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544 - 2554 (ปรับปรุง) (4) แผนการระดมทุนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1744 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 25/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. .... โดยคณะกรรมา ธิการวิสามัญ ฯ ของสภาผู้แทนราษฎร ได้ขอแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ เนื่องจากเหตุผลในการตรา พระราชบัญญัติฉบับนี้ ควรอ้างมาตรา 54 ซึ่งบัญญัติถึงสิทธิผู้สูงอายุโดยตรงเพียงมาตราเดียว และมีข้อสังเกต ในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีซึ่งควรลดหย่อนภาษีเงินได้ให้แก่บุตรที่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนผู้สูงอายุ บุคคล/องค์กรที่ให้การอุปการะเลี้ยงดูผู้สูงอายุ และควรยกเว้น หรือลดหย่อนภาษีเงินบำนาญของผู้สูงอายุ และในส่วนของนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเอกชนซึ่งรับ ผู้สูงอายุเข้าทำงานมีสิทธินำเงินค่าจ้างที่จ่ายให้แก่ผู้สูงอายุมาหักเป็นค่าใช้จ่ายตามประมวลรัษฎากรได้เป็นสอง เท่าของจำนวนที่จ่ายจริงหรือเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งควรปรับเงินบำนาญโดยเทียบเคียงกับการปรับเงิน เดือนของข้าราชการประจำทุกครั้ง และควรให้มีกฎหมายเพื่อควบคุมดูแลให้สถานประกอบการเอกชนที่ดำเนิน ธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุมีมาตรฐานในการดูแลผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปแบบและ ระบบการบริหารจัดการกองทุน และบทลงโทษบุตรที่ไม่อุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตนเอง ได้ สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภามีข้อสังเกตกรณีผู้สูงอายุที่ยากไร้ซึ่งไม่มีโอกาสได้รับเงินบำเหน็จ เงินบำนาญ หรือเงินชดเชย ขอให้รัฐบาลได้คำนึงถึงอย่างเป็นพิเศษ และหาวิธีที่จะชดเชยสิ่งต่าง ๆ ให้แก่ผู้สูง อายุอย่างเพียงพอ โดยอาจกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อลดหย่อนภาษีสินค้าที่จำเป็นแก่การครองชีพของผู้ สูงอายุ และในการกระทำความผิดในทางอาญาซึ่งมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นถ้าได้ กระทำต่อผู้สูงอายุโดยอาศัยโอกาสที่ผู้สูงอายุมีปัญหาทางด้านสุขภาพ ภาวะแห่งจิต หรือความเสื่อมทางระบบ ประสาท โดยใช้อุบายหลอกลวง หรือใช้ผู้สูงอายุเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ควรเพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้ กระทำความผิดขึ้นอีกสองในสามส่วน นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรได้รับการช่วยเหลือด้านค่าโดยสารยานพาหนะ โดยได้รับการลดค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมรถไฟตลอดปี และเมื่อประเทศมีฐานะทางเศรษฐกิจและรายได้ใน ระดับที่เหมาะสม ให้รัฐบาลดำเนินการให้มีการลดหย่อนภาษีเป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้สูงอายุ รวมถึงยกเว้นภาษี รายได้ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุเกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ และให้ผู้สูงอายุได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ สำหรับเงินบำเหน็จหรือเงินชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้ในลักษณะครั้งเดียวเมื่อออกจากงาน ทั้งนี้ มอบให้ส่วนราช การที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ ของสภาผู้แทน ราษฎรแก้ไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1745 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบทนิยาม หลักเกณฑ์การบังคับใช้ การอนุญาต การทะเบียนผู้พัก บัตรประจำตัวนายทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก พ.ศ. .... | พม | 18/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่มี
มติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดบทนิยาม หลักเกณฑ์การบังคับใช้ การอนุญาต การทะเบียนผู้พัก บัตรประจำตัวนายทะเบียน และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎ หมายว่าด้วยหอพัก พ.ศ. .... โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ กำหนดให้บุคคลที่มีคุณวุฒิ วัยวุฒิ บุคคล ที่ศึกษานอกระบบหรือศึกษาตามอัธยาศัยออกจากการเป็นผู้พักในหอพัก กำหนดให้หอพักของสถาบันการศึกษาที่ รับเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถานศึกษานั้นเข้าพักเป็นหอพัก ซึ่งไม่ต้องอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติ หอพัก พ.ศ. 2507 และกำหนดการออกบัตรประจำตัวนายทะเบียนกรุงเทพมหานคร นายทะเบียนท้องที่ และนาย ทะเบียนเป็นผู้ออกบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้มีความเหมาะสมขึ้น ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของ คกก.6 เกี่ยวกับ การกำหนดบทนิยามจะมีเฉพาะในกฎหมายแม่ หากเป็นกฎกระทรวง โดยหลักกฎหมายจะไม่กำหนดบทนิยามควร ใช้คำว่า "กำหนดหลักเกณฑ์การบังคับใช้" โดยตัดคำว่า "บทนิยาม" ออก และในมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติ หอพัก พ.ศ. 2507 กำหนดให้การศึกษาที่ไม่อยู่ในบทนิยามคำว่า "ผู้พัก" คือการศึกษาของบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป นั้น ควรจะแก้ไขตรงนี้หรือไม่ เนื่องจากบุคคลอายุ 20 ปี ก็ถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว ไปพิจารณาดำเนินการ ด้วยและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1746 | การพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | กค | 18/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอเรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่าย
เพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รวม 4 ด้าน ได้แก่ การลงทุนภาครัฐ ชำระหนี้คืนก่อนครบกำหนด รวม ทั้งหนี้ที่ครบกำหนดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 แต่ยังไม่ได้รับจัดสรร งบเงินกู้เงินช่วยเหลือให้ประเทศเพื่อนบ้าน และการปรับเงินเดือนข้าราชการ โดยวัตถุประสงค์ในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจได้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเอกสารงบ ประมาณ และทำให้การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าแผนที่กำหนด ตั้งแต่ปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2545 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 คาดว่า เศรษฐกิจยังคง ขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลสูงขึ้นตามทิศทางการเจริญเติบโตทางเศรษฐ กิจ โดยคาดว่าจะจัดเก็บรายได้สุทธิได้จำนวน 1,063,637 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายจำนวน 928,100 ล้านบาท ที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณจำนวน 135,537 ล้านบาท และจากการคาดการณ์ดังกล่าว หากนำวงเงินงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 1,028,000 ล้านบาท มาเทียบกับประมาณการราย ได้ใหม่ จำนวน 1,063,637 ล้านบาท ฐานะการคลังจะเกินดุลอยู่จำนวน 35,637 ล้านบาท และเมื่อร่วมกับงบ ขาดดุลที่ผ่านการเห็นชอบจากรัฐสภาแล้วจำนวน 99,900 ล้านบาท รัฐบาลก็จะมีวงเงินที่จะจัดทำงบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติมได้ถึง 135,537 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการหนุนการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ที่กำลังขยายตัวอย่างดี และมีเสถียรภาพอยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปดำเนินการตามนัยมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป โดยให้แก้ไขข้อความในหนังสือ กระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0905/20363 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2546 หน้าที่ 2 ข้อ (4) เป็น "การปรับเงินค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ" ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1747 | การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และการพ้นตำแหน่งของรัฐมนตรี (ไม่ยืนยันมติ) | นร | 11/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ยุติธรรม และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอว่า ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้า ฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2546 นั้น ใน ส่วนของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งและรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรม การ ป.ป.ช.) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันเข้ารับตำแหน่ง หรือวันที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ (10 พฤศจิกายน 2546) สำหรับรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งเดิม แต่ได้รับการแต่งตั้งใหม่จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ฯ 2 ครั้ง คือ บัญชี แรกสำหรับการพ้นตำแหน่งเดิม และบัญชีที่ 2 สำหรับการเข้ารับตำแหน่งใหม่ ซึ่งเป็นวันเดียวกัน และให้ใช้ บัญชีเดียวกันได้ ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งใหม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่เดิมจะต้องแสดงบัญชี ทรัพย์สิน ฯ 2 ครั้ง คือ เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีตามที่กล่าวข้างต้น และเมื่อพ้นจากตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในกรณีได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี โดยมีผลสิ้นสุดตำแหน่งในวันถัดจากวันที่ครบ 30 วัน นับ แต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี (มาตรา 116 ของรัฐธรรมนูญ) ด้วย ส่วนในกรณีของ กระทรวงที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แม้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก็ ตาม ข้าราชการการเมืองทั้งหมดที่ปฏิบัติราชการในกระทรวงนั้น เช่น ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ทุกคน เพราะทุกคนได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่ได้รับการ แต่งตั้งใหม่จะต้องแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในตำแหน่งดังกล่าวที่จะปฏิบัติราชการใหม่อีกครั้ง และเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป และข้าราชการการเมืองก็จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน ฯ เช่นเดียวกับรัฐมนตรีด้วย ส่วนการดำรง ตำแหน่งของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีของทุกกระทรวงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากกรรมการดังกล่าวมา จากการแต่งตั้งตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะของนายกรัฐมนตรีที่จะพิจารณาในโอกาส ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1748 | กระทู้ถามที่ 165 ร. เรื่อง ความเสียหายอันเนื่องมาจากโครงการสร้างท่อก๊าซไทย - สหภาพพม่า และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 165 ร.
เรื่อง ความเสียหายอันเนื่องมาจากโครงการสร้างท่อก๊าซไทย-สหภาพพม่า และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ของ นายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีล่าช้าสาเหตุเกิดจากหลายปัจจัยทั้งจากภาวะ เศรษฐกิจถดถอย และผู้รับจ้างขาดสภาพคล่อง ผู้รับจ้างส่งงานล่าช้า อย่างไรก็ตามปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีเสร็จแล้ว และโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่องที่ 1 และ 2 และโอนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1, 2 และ 3 ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีจำกัด ซึ่งเมื่อบริษัท ฯ เดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จะมีผลทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติสามารถใช้ได้ตามแผน รวมทั้งช่วยลด ภาระค่า Take or Pay ต่อไป สำหรับการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2544-พฤษภาคม 2544 จำนวน 24.44 สตางค์/หน่วย มิได้มีสาเหตุมาจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีล่าช้า จนเป็นเหตุให้ ไม่สามารถรับก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าได้ แต่เป็นการปรับค่าไฟฟ้าตามการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ที่ กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งได้แก่ ค่าเชื้อเพลิงและการรับซื้อไฟฟ้า ผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานส่วนที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง และรายได้ของการไฟฟ้าที่สูงกว่าแผน (MR) ส่วนการชดเชยค่าเสียหายให้แก่ชาวบ้านผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทย-พม่า การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้จ่ายค่าชดเชยความเสียหายจากการ ก่อสร้างท่อส่งก๊าซ ฯ แก่ราษฎรผู้ร้องเรียนจำนวนทั้งสิ้น 433 ราย และจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินแก่ราษฎรที่อยู่ ในเขตระบบขนส่งปิโตรเลียมจำนวนทั้งสิ้น 1,396 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 139,901,933.59 ล้านบาท |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1749 | กระทู้ถามที่ 776 ร. เรื่อง กรณีสถานการณ์ชายแดนไทยและสหภาพพม่ากับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 776 ร.
เรื่อง กรณีสถานการณ์ชายแดนไทยและสหภาพพม่ากับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบ สรุปได้ว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์ชายแดนไทย - พม่า ที่มีการสู้รบระหว่างทหารพม่าและกอง กำลังชนกลุ่มน้อย โดยมีการจัดทำนโยบายและแผนเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนทั้งระยะสั้นและระยะ ยาวรวม 5 ฉบับ ได้แก่ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ้าน มาตรการ แก้ไขปัญหากลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่าที่เคลื่อนไหวในประเทศไทย ตลอดจนแนวทางแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบ จากพม่า และยุทธศาสตร์ความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของไทยต่อพม่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะนโยบายฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2546 - 2548) ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบด้วยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 ได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการแสวงหาทางให้เกิดความปรองดองในชาติของพม่า ขณะ เดียวกันก็ให้ราษฎรของพม่าโดยเฉพาะราษฎรที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อันจะช่วยป้อง กันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนได้อย่างยั่งยืนต่อไป ในส่วนของแผนปฏิบัติการเพื่อเอาชนะ ยาเสพติด ปี พ.ศ. 2544 - 2545 รัฐบาลได้กำหนดแผนการสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ชายแดนโดยมอบหมายให้ กระทรวงกลาโหม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชาย แดน เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และมีแผนแม่บทเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ในช่วงแผน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2549) ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการดำเนิน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งในส่วนของการสดกั้นบริเวณชายแดนได้ดำเนินมาตรการเพื่อป้องกัน มิให้มีการนำสารเคมีและอุปกรณ์ในการผลิตออกไปยังแหล่งผลิตต่างประเทศ และไม่ให้มีการลำเลียงยาเสพติด เข้ามาจากต่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2546 - 2547 ได้กำหนดแผนการสกัดกั้นยาเสพติดตามแนวชายแดน โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การสร้างความเข้มแข็ง หมู่บ้าน/ชุมชนชายแดน เพื่อต่อต้านยาเสพติดในทุกจุดพื้นที่ นำเข้าควบคู่ไปกับการใช้กองกำลังชายแดนควบคุมพื้นที่และช่องทางนำเข้าที่สำคัญตลอดแนวชายแดน สำหรับ ปริมาณยาเสพติดที่จับได้ในปี พ.ศ. 2544-2545 โดยในปี พ.ศ. 2544 มีปริมาณทั้งสิ้น 85,721,930 เม็ด ปี พ.ศ. 2545 มีปริมาณทั้งสิ้น 88,846,790 เม็ด นอกจากนี้ รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาย แดนและแผนป้องกันประเทศ โดยให้มีการพัฒนาศักยภาพของคน/ชุมชน และพื้นที่เป้าหมายชายแดนเพื่อแก้ ไขปัญหาความยากจนและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จัดให้มีระบบป้องกันตามแนวชายแดนโดยมีกระบวน การที่ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุน การปฏิบัติของทหารและหน่วยราชการต่าง ๆ ทั้งในภาวะ ปกติและไม่ปกติ รวมทั้งจัดระบบหมู่บ้านและพลังมวลชนบริเวณชายแดนให้มีเอกภาพลดความซ้ำซ้อน สร้างจิต สำนึกคนชายแดนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ กำหนดให้มีการพัฒนา ความร่วมมือชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยการสนับสนุนให้พื้นที่และชุมชนชายแดนของประเทศเพื่อน บ้านมีความสงบสันติเข้มแข็งและพัฒนา ตลอดจนส่งเสริมให้คนและชุมชนชายแดนของไทยและประเทศเพื่อน บ้านมีความสัมพันธ์ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ช่วยเหลือเกื้อกูล และให้ประชาชนของทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความ จำเป็นที่ต้องอยู่ร่วมกันในภาวะที่เกิดความไม่มั่นคงปลอดภัย อันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดย รัฐบาลมีนโยบายที่จะให้มีการแก้ไขโดยสันติวิธี โดยกลไกการเจรจาต่อรองในช่องทางการทูต อย่างไรก็ตาม หากถึงขั้นการใช้กำลังป้องกันประเทศ การปฏิบัติก็เป็นไปตามแผนป้องกันประเทศ ซึ่งฝ่ายทหารเป็นผู้รับผิด ชอบในการปฏิบัติ โดยได้กำหนดขั้นตอนต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1750 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ตะวันออก | นร | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการเยือนไทยในลักษณะ
Official Working Visit ของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ตะวันออก เมื่อวันที่ 5 - 8 สิงหาคม 2546 เพื่อหารือในเรื่องต่าง ๆ กับนายกรัฐมนตรีของไทย โดยการหารือแบ่งเป็น การหารือกลุ่มเล็ก ได้หารือ เรื่อง ความสัมพันธ์ทวิภาคีไทย-ติมอร์ตะวันออก ระบบการปกครอง ปัญหาการขาดแคลนอาหาร และระบบ การเงินและการธนาคารชาติ และการหารือเต็มคณะ ได้หารือเรื่อง การให้ความช่วยเหลือแก่ติมอร์ตะวันออก ความร่วมมือด้านพลังงาน การเยือนติมอร์ตะวันออกของนายกรัฐมนตรี และการเข้าเป็นสมาชิก ASEAN และ การเข้าร่วมการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum-ARF) ของติมอร์ตะวันออก และยังมีผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และความร่วมมือติมอร์ตะวันออก เกี่ยวกับนโยบายของไทยต่อพม่า และการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการไทย-ติมอร์ตะวันออก โดยบันทึก ความเข้าใจ ฯ จะมีผลผูกพันให้รัฐบาลไทยให้ความร่วมมือทางวิชาการในขั้นแรกตามแผนความร่วมมือเป็นระยะ เวลา 3 ปี (พ.ศ. 2546-2548) ใน 9 สาขาหลัก คือ เกษตร สาธารณสุข ประมง การค้า การลงทุน การท่อง เที่ยว การพัฒนาขีดความสามารถในการเจรจา การรักษาความมั่นคงภายใน พลังงานและเทคโนโลยีภูมิศาสตร์ สารสนเทศ ทั้งนี้ เห็นควรมอบหมายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เพื่อให้การเยือนดังกล่าวมีผลเป็น รูปธรรมต่อไป โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ประสานกับกระทรวงการต่าง ประเทศ (กรมวิเทศสหการ) ในการนำบันทึกความเข้าใจ ฯ มาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมวิเทศสหการ ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการจัดสรรผลิตผล ทางการเกษตร อาทิ ข้าวสาร และข้าวโพด เพื่อส่งไปช่วยลดภาวะการขาดแคลนอาหารในติมอร์ตะวันออก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1751 | กระทู้ถามที่ 1029 ร. เรื่อง ผลกระทบต่อวงการอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศกรณีเกิดสงคราม | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1029 ร. เรื่อง
ผลกระทบต่อวงการอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศกรณีเกิดสงคราม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำ ตอบสรุปได้ว่า ตามที่ได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสหรัฐ ฯ และอิรัก จนอาจนำไปสู่ภาวะสงคราม ในตะวันออกกลาง นั้น โดยในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อภาค อุตสาหกรรมของไทย และได้กำหนดมาตรการแก้ปัญหาผลกระทบ รวมทั้งเตรียมความพร้อมเพื่อรับสถาน การณ์ดังกล่าวประกอบด้วยมาตรการระยะสั้น ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมัน (ขายปลีก) เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตและการขนส่ง ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพ การผลิต โดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและให้คำปรึกษาด้านเทคนิค กับให้ส่วนลดราคาน้ำมันแก่ SMEs และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูง สำหรับมาตรการระยะปานกลางและระยะยาว ได้แก่ การปรับระบบ การขนส่งสินค้า (Logistic) ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และลดค่าใช้จ่ายลง อาทิเช่น ส่งเสริมการใช้รถไฟในการ ขนส่งสินค้าจากนิคม/เขตอุตสาหกรรม สนับสนุนการปรับเปลี่ยนพลังงานจากประเภทที่ต้องนำเข้าจากต่าง ประเทศไปใช้พลังงานที่สามารถผลิตในประเทศแทน เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินชนิดกำมะถันต่ำ และเร่งรัด การผลิตแก๊สโซฮอล ไบโอดีเซล หรือน้ำมันอื่น ๆ จากพืช เพื่อใช้ทดแทนน้ำมันเบนซินหรือดีเซล นอกจากนี้ ได้ดำเนินศึกษามาตรการต่าง ๆ ตามแผนเตรียมความพร้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็น แผนหลักในการ เตรียมความพร้อมของประเทศในด้านต่าง ๆ แผนเตรียมความพร้อมด้านอุตสาหกรรมและปัจจัยการผลิตและ แผนเตรียมความพร้อมด้านเชื้อเพลิงและพลังงาน พร้อมทั้งจัดทำมาตรการต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความ พร้อมเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาคอุตสาหกรรม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1752 | กระทู้ถามที่ 1032 ร. เรื่อง ให้แก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและชีวิต | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1032 ร. เรื่อง
ให้แก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและชีวิต ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของ คำตอบสรุปได้ว่า จากการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศในเขตกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา ปัญหาฝุ่นละอองยัง คงเป็นปัญหาหลักของคุณภาพอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร โดยคุณภาพอากาศบริเวณริมถนนจะมีปัญหามาก กว่าบริเวณพื้นที่ทั่วไป เนื่องจากอยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ คือ ยานพาหนะที่วิ่งใช้งานบนถนน โดย มาตรการในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในเขตกรุงเทพมหานครรัฐบาลได้ดำเนินการ โดยกำหนดมาตรฐาน การระบายมลพิษจากยานพาหนะทั้งในขณะใช้งานและยานพาหนะใหม่ การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง การ กำหนดมาตรการควบคุมไอระเหยน้ำมันเบนซินจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและคลังน้ำมัน การตรวจสภาพ และตรวจจับยานพาหนะที่มีมลพิษเกินมาตรฐาน การแก้ไขปัญหามลพิษจากรถโดยสารประจำทาง การทดลอง การใช้ก๊าซธรรมชาติ การจัดโครงการขบวนรถสีเขียว การปรับปรุงสถานที่หรือแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษ การเฝ้า ระวังคุณภาพอากาศ และการประชาสัมพันธ์ สำหรับการตรวจวัดคุณภาพอากาศริมเส้นทางจราจร ของกรมควบ คุมมลพิษ ปี พ.ศ. 2545 พบว่า ถนนที่มีมลพิษสูง 10 อันดับแรก ได้แก่ ถนนสุขุมวิท (แยกปากซอยอ่อนนุช) ถนน พระรามที่ 3 (แยกถนนตก) ถนนพระรามที่ 1 (แยกมาบุญครอง) ถนนเพชรบุรี (แยกยมราช) ถนนสามเสน (แยกศรีย่าน) ถนนราชปรารภ (แยกประตูน้ำ) ถนนบำรุงเมือง (แยกแม้นศรี) ถนนเยาวราช (แยกเยาวราช) ถนนสาธุประดิษฐ์ (ไปรษณีย์ สาธุประดิษฐ์) และถนนหลานหลวง (แยกหลานหลวง) ทั้งนี้ กระทรวงมหาด ไทย โดยกรุงเทพมหานคร ได้ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากประชาชนให้หลีกเลี่ยงถนนที่มีมลพิษสูง ตลอดจน บริเวณย่านธุรกิจ โรงเรียน โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ฉบับ ที่ 6 พ.ศ. 2545 - 2549 โดยกำหนดเป้าหมายในการลดปริมาณมลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และความสั่น สะเทือน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยานพาหนะ ควันและกลิ่นจากโรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการ การ ก่อสร้างและรื้อถอนอาคารและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนเตาเผาศพ โดยมียุทธศาสตร์ในการควบคุมจัดระเบียบและ ลดปริมาณการก่อมลพิษอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานครโดย เฉพาะคุณภาพอากาศจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานระดับชาติ และองค์กรที่เกี่ยวข้องในเรื่อง การจัด การจราจร การวางผังเมือง การกำหนดมาตรฐานไอเสียรถยนต์ การใช้อำนาจการตรวจจับรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษ เกินมาตรฐาน ตลอดจนการเสริมสร้างให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาด้านมลพิษทางอากาศ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1753 | ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ (ไม่ยืนยันมติ) | นร | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้มีแนว
โน้มที่ดีขึ้น โดยจะมีการปรับเป้าหมายการส่งออกเป็นร้อยละ 12 รวมทั้งในระยะ 9 เดือนของปีนี้ดุลการค้าเกิน ดุล 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 คาดว่าจะเกินดุลทั้งปีประมาณ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าสามารถรักษาระดับการเกินดุลการค้าไว้ได้ คาดว่าทุนสำรองระหว่างประเทศจะอยู่ที่ระดับ 50-60 พันล้าน เหรียญสหรัฐ ส่วนมูล ค่าตลาดหลักทรัพย์ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาท ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายว่าจะ ส่งเสริมให้มูลค่าตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจนมีมูลค่าเท่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ให้ได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1754 | การให้ความช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานการให้ความช่วยเหลือโรงงานอุตสาห
กรรมที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดใกล้เคียง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือโดยพิจารณายกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี ตามพระราชบัญญัติโรงงานอุตสาห กรรม พ.ศ. 2535 พิจารณาให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยผ่อนผันระยะ เวลาการชำระหนี้ พร้อมทั้งลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และสนับสนุนการฟื้นฟูการประกอบกิจการอุตสาหกรรม ภายหลังภาวะปกติโดยเร็ว เช่น การส่งวิทยากรฝึกอบรม อาชีพอุตสาหกรรม การให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย และลดดอกเบี้ย จากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 1 เป็นระยะเวลา 3 ปี และการส่งเสริมการตลาด เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1755 | สภาวะการไหลเข้า-ออกของเงินลงทุน | นร | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีเงินลงทุนไหลเข้า-ออก
ประเทศไทยอย่างรวดเร็ว (fast capital flow) จากสภาวะดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดเสถียรภาพและไม่เป็นประโยชน์ต่อ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับไปติดตามสถานการณ์และประสาน กับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยอาจ พิจารณากำหนดนิยาม เพื่อสร้างความชัดเจนว่าการไหลเข้า-ออกของเงินทุนภายในระยะเวลาเท่าใด จึงจะถือว่า เป็นเงินทุนที่ไหลเข้า-ออกอย่างรวดเร็วที่จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1756 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 และขออนุมัติแผนแม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ | ทส | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่พิจารณาการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้างตนเอง สงเคราะห์ชาวเขาตามข้อเสนอของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอนุมัติในหลักการให้ทบทวน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2545 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกพื้นที่ป่าในเขตนิคมสร้าง ตนเองสงเคราะห์ชาวเขา ซึ่งทางราชการยังไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการบริเวณพื้นที่ที่กรมประชาสงเคราะห์ (เดิม) ส่งคืนกรมป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแทนกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอนุมัติแผน แม่บทโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เสี่ยงภัยลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุน จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ พื้นที่บริเวณลุ่มน้ำก้อและลุ่มน้ำชุนจำเป็นต้องเร่งฟื้นฟูและพัฒนาโดยด่วน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมีการจ้างแรงงานในท้องถิ่นมากกว่าการใช้เครื่องจักร เพื่อเป็นการสร้าง จิตสำนึกให้คนในพื้นที่เห็นคุณและโทษของการดูแลรักษาป่า ทั้งนี้ ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปรับแผนการดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ด้วย และมีการติดตาม ประเมินผลสำเร็จของแผนในด้านการอยู่ร่วมกันระหว่างคนและป่า เพื่อใช้เป็นกรณีตัวอย่างกับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ชั้น 1 บีอื่น ๆ ด้วย และเพื่อให้การฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำดังกล่าวบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ หน่วย งานที่รับผิดชอบควรประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมตามกฎหมายให้ชัดเจน และควรพิจารณาจัดสรรเจ้าหน้าที่เพื่อทำ หน้าที่ดูแล ติดตามการฟื้นฟู ตลอดจนศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำฝน การเปลี่ยน แปลงของอุณหภูมิในพื้นที่ เป็นต้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1757 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีวาระเรื่องสำคัญของรัฐบาลเกี่ยวกับการเตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคในปี 2546 (สรุปการเตรียมความพร้อมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร) | มท | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการเตรียม
การจัดประชุมเอเปค 2003 ด้านประสานงานรักษาความปลอดภัยและการจราจร รายงานสรุปการเตรียมความ พร้อมการรักษาความปลอดภัยและการจราจร สำหรับการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคในปี 2546 โดยได้ดำเนิน การตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย โดยมี 4 คณะทำงานที่ปฏิบัติงาน ประกอบด้วย คณะทำงานด้านรักษาความ ปลอดภัยและการจราจร คณะทำงานด้านติดตามและประเมินผล คณะทำงานด้านงบประมาณรักษาความปลอด ภัยและการจราจร และคณะทำงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ทั้งนี้ การเตรียมการด้านการรักษาความ ปลอดภัยและการจราจร ในส่วนของการประสานงานและสายการบังคับบัญชาในภาวะปกติ หน่วยงานรับผิด ชอบ ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) ส่วนการประสานงานและสายการบังคับบัญชาในภาวะวิกฤต กรณีเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายสากล คณะ กรรมการนโยบายและอำนวยการแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายสากล (นอก.) จะเข้ามาดูแลและกำกับการบังคับ บัญชา ส่วนการปฏิบัติการด้านการข่าว สำนักข่าวกรองแห่งชาติ จะรับผิดชอบด้านการเฝ้าติดตามสถานการณ์ ด้านการข่าว โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ศูนย์ประสานข่าวกรองแห่งชาติ (ศปข.) และศูนย์ปฏิบัติการข่าวเฉพาะ กิจ (ศปก.ฉก.) ในด้านการตรวจติดตามความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยและ การจราจร คณะทำงานด้านติดตามและประเมินผล ได้เดินทางไปตรวจติดตามความพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง ซึ่งได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งทุกหน่วยงานได้เตรียมความพร้อมไว้อย่างดีแล้ว แต่ยังมีประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไข คือ การ บูรณาการหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ต่าง ๆ และควรมีการมอบอำนาจในการบังคับบัญชาสั่งการให้ชัด เจน ส่วนการเตรียมการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิด ชอบในการให้บริการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข การเฝ้าระวังโรค และการดูแลด้านสุขาภิบาลและสิ่ง แวดล้อม รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยอาหาร โดยได้มีการเตรียมการให้บริการด้านการแพทย์ไว้ ณ ที่พัก ผู้เข้าร่วมประชุม สถานที่ประชุม และสำหรับการไปทัศนศึกษานอกสถานที่ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1758 | ประเด็นสำคัญจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ | มท | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอประเด็นสำคัญจากพระบรมราโชวาทของพระ
บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่ได้พระราชทานให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในระบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา 75 จังหวัด พร้อมด้วยข้าราชการระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ที่เข้าเฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อ วันที่ 8 ตุลาคม 2546 ณ วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังนี้ การปกครอง หน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด CEO ต้องปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างดี นอกจากการปกครองแล้ว ต้องมีการพัฒนาโดยอาศัยหลักวิชาต่าง ๆ ได้แก่ หลักวิชารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ นอกจากนั้น ต้องใช้หลักวิชาอื่น ๆ เช่น เกษตรศาสตร์ด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด CEO ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการ ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และสามารถใช้คนที่มีความรู้เฉพาะแต่ละด้านเพื่อให้ งานในความรับผิดชอบเกิดผลสัมฤทธิ์ ส่วนเรื่องความปลอดภัยของประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัด CEO จะต้องดูแล รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หากเป็นไปตามระบบ CEO แม้แต่ทหารตำรวจก็ต้องกำกับ ดูแลโดยผู้ว่าราชการจังหวัด เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัด CEO จะต้องเป็นหลักในเรื่องความปลอดภัยของประ ชาชน ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด CEO จะต้องสามารถประสานงานกับทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่าง ยิ่งที่จะทำให้งานสำเร็จ และในการทำงานนั้นทุกฝ่ายจะต้องประสานงานกันโดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้ง สำหรับการปราบทุจริต เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จะต้องไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในระบบราชการ รวมถึงประชาชนด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด CEO ต้องเป็นคนสุจริต และเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตไม่ได้ อย่างเด็ดขาด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1759 | (ร่าง) แผนแม่บทการพัฒนาประชากรในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 - 2549) | นร | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
(ร่าง) แผนแม่บทการพัฒนาประชากรในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545- 2549) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนปฏิบัติการ และให้สำนักงบประมาณใช้เป็น กรอบในการจัดสรรงบประมาณประจำปีต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การกำหนดเป้าหมายประการ หนึ่งของ (ร่าง) แผนแม่บท ฯ ที่จะรักษาระดับอัตราเจริญพันธุ์ให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 1.8 นั้น ควรมีรายละ เอียดของเหตุผล ความจำเป็น ตลอดจนข้อมูลทางวิชาการ รองรับ และสนับสนุนการกำหนดเป้าหมายดัง กล่าวอย่างชัดเจน และเพื่อให้ (ร่าง) แผนแม่บท ฯ สามารถแปลงผลไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควร เพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่สมควรจะดำเนินการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับการเก็บ รวมข้อมูลประชากรในวัยเจริญพันธุ์ นอกจากจะจำแนกตามพื้นที่แล้ว ควรเก็บข้อมูลในลักษณะที่จำแนกตาม ภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (household socio - economic survey) เพื่อสามารถใช้เป็นข้อมูล ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ หรือดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมว่าควรจะดำเนิน การแก้ไขปัญหา หรือสนับสนุนส่งเสริมประชากรกลุ่มใด อย่างไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนา ประชากรที่กำหนดขึ้น โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติอาจประสานและขอความร่วมมือจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในการดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1760 | ประธานวุฒิสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกของแต่ละสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 และพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2546 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 218 วรรคหนึ่งหรือไม่ | ศร | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเสนอกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอความ
เห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2546 และพระราชกำหนดแก้ ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2546 เป็นไปตามรัฐธรรม นูญ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง หรือไม่ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความเห็นว่า การตราพระราชกำหนดของ คณะรัฐมนตรีทั้ง 2 ฉบับ เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยใน เรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดให้การ ตราพระราชกำหนด ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิ อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์ของประเทศมิได้ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอัน มิอาจหลีกเลี่ยงได้ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ และความปลอดภัยสาธารณะ เพราะประมวล กฎหมายอาญาที่ใช้บังคับอยู่ ก็สามารถนำมาใช้กับลักษณะความผิดฐานก่อการร้ายเพื่อรักษาความปลอดภัย ของประเทศ และความปลอดภัยสาธารณะได้อย่างเพียงพอ จึงไม่จำเป็นต้องตรากฎหมายออกมาในรูปพระ ราชกำหนด รวมทั้งการตราพระราชกำหนดดังกล่าวยังขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 ที่รัฐบาล ได้ทำสัญญา (การให้ความรับรองมติหรือประกาศ ภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ) กับองค์ กรระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันต้องนำมาออกเป็นกฎหมายใช้บังคับภายในประเทศโดยจะต้องเสนอเป็นพระ ราชบัญญัติเท่านั้นมิใช่เป็นพระราชกำหนด เช่นที่รัฐบาลได้กระทำไปแล้ว |