ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 85 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 1681 - 1700 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1681 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนสิงหาคม 2547 | พณ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนสิงหาคม 2547 ตั้งแต่วันที่ 3-6 สิงหาคม 2547 มีดังนี้ ภาวะราคาสินค้าที่ต้อง ติดตามใกล้ชิดพิเศษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็ก โดยเหล็กเส้น (ขนาด 9 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 107-110 บาท /เส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดเหล็กรางน้ำ (ขนาด 10x50x5 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 1,200-1,348 บาท/ท่อน สินค้าที่ต้องติดตามใกล้ชิด ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน 91 และ 95 ราคาสูงขึ้นเป็น 19.19 บาท/ลิตร และ 19.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเม็ดพลาสติก ราคาสูงขึ้นเป็น 45.50 บาท/กก. สินค้าที่ เคลื่อนไหวขึ้น-ลงตามฤดูกาลและภาวะตลาดช่วงสั้น ๆ ได้แก่ ผักคะน้า ราคาลดลงเป็น 15-18 บาท/กก. และส้มเขียวหวาน ราคาลดลงเป็น 32-40 บาท/กก. สำหรับสินค้าอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้านราคา ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ราคาลดลงเล็กน้อยตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขายและภาวะการ แข่งขัน เช่น ผลิตภัณฑ์นม กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำมันพืช น้ำปลา และแป้งผงโรยตัว เป็นต้น ในส่วนของการ ตรวจสอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานคร พบการ กระทำผิด 1 ราย ภูมิภาค 1 ราย และจากการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานครไม่พบการกระทำผิด ส่วนภูมิภาคพบการกระทำผิด 3 ราย |
|||||||||||||||||||||
1682 | มาตรการประหยัดพลังงานในภาวะราคาน้ำมันแพง | พน | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมาตรการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมัน
แพงตามผลการประชุมหารือร่วมกันของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวง คมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยึดหลัก 4 ประการ คือ เป็นมาตรการ เพื่อประหยัดพลังงาน ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ไม่กระทบการจ้างงานของพนักงาน และ มีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการศูนย์ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่มีพื้นที่ขายขนาดตั้งแต่หนึ่งหมื่นตารางเมตร ขึ้นไป กำหนดเวลาเปิดให้บริการในวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 11.00-21.30 น. วันศุกร์เปิดเวลา 11.00- 22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 10.00-22.00 น. สำหรับผู้ประกบการธุรกิจ ค้าส่งที่เน้นการขายสินค้าให้ร้านค้าย่อยที่มีสมาชิกเฉพาะ เช่น แม็คโคร เป็นต้น กำหนดเวลาเปิดให้บริการ ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และปิดในเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้า พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการดังกล่าว และกลุ่มผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่มีพื้นที่ขายขนาดต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตารางเมตร เช่น กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (convenience store) เป็นต้น เสนอมาตรการประหยัดพลังงานภายในสถานประกอบการให้กระทรวงพลัง งานทราบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการประหยัดพลังงานร่วมกัน และให้กระทรวงพลังงานติดตามประเมิน ผลลดการใช้ไฟฟ้าของแต่ละห้างร้านในแต่ละเดือนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการกำหนดเวลาเปิด-ปิดห้างสรรพสินค้า ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 สิงหาคม 2547) ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงปิดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด ระหว่างเวลา 24.00-05.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) และก๊าซ ธรรมชาติอัด (ก๊าซ CNG หรือก๊าซ NGV) รวมทั้งให้ใช้ไฟฟ้าสำหรับป้ายโฆษณากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ติดตั้ง ริมถนนหรือทางด่วนได้เฉพาะในช่วงเวลา 18.00-22.00 น. ของทุกวัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547 ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดำเนินการออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัย อำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ต่อไป รวมทั้ง ให้มีอำนาจพิจารณาผ่อนผันได้ตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับมาตรการประยัดพลังงานในระยะกลาง และระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในรายละเอียดในแต่ละ มาตรการอีกครั้งหนึ่งก่อน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
1683 | สรุปผลการหารือมาตรการประหยัดพลังงานในส่วนที่เกี่ยวกับเวลาปิดห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์สโตร์และดิสเคานท์สโตร์ | พณ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมาตรการประหยัดพลังงานในภาวะน้ำมัน
แพงตามผลการประชุมหารือร่วมกันของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวง คมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยึดหลัก 4 ประการ คือ เป็นมาตรการ เพื่อประหยัดพลังงาน ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ไม่กระทบการจ้างงานของพนักงาน และ มีความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการ และให้กระทรวงพาณิชย์ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการศูนย์ ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่มีพื้นที่ขายขนาดตั้งแต่หนึ่งหมื่นตารางเมตร ขึ้นไป กำหนดเวลาเปิดให้บริการในวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 11.00-21.30 น. วันศุกร์เปิดเวลา 11.00- 22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดเวลา 10.00-22.00 น. สำหรับผู้ประกบการธุรกิจ ค้าส่งที่เน้นการขายสินค้าให้ร้านค้าย่อยที่มีสมาชิกเฉพาะ เช่น แม็คโคร เป็นต้น กำหนดเวลาเปิดให้บริการ ได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น. และปิดในเวลาเดียวกับห้างสรรพสินค้า พร้อมทั้งขอให้ผู้ประกอบการดังกล่าว และกลุ่มผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่มีพื้นที่ขายขนาดต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตารางเมตร เช่น กลุ่มร้านสะดวกซื้อ (convenience store) เป็นต้น เสนอมาตรการประหยัดพลังงานภายในสถานประกอบการให้กระทรวงพลัง งานทราบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการประหยัดพลังงานร่วมกัน และให้กระทรวงพลังงานติดตามประเมิน ผลลดการใช้ไฟฟ้าของแต่ละห้างร้านในแต่ละเดือนเพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ ให้เริ่มดำเนินการกำหนดเวลาเปิด-ปิดห้างสรรพสินค้า ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (24 สิงหาคม 2547) ให้สถานีบริการและร้านค้าน้ำมันเชื้อเพลิงปิดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด ระหว่างเวลา 24.00-05.00 น. ของทุกวัน ยกเว้นการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ก๊าซ LPG) และก๊าซ ธรรมชาติอัด (ก๊าซ CNG หรือก๊าซ NGV) รวมทั้งให้ใช้ไฟฟ้าสำหรับป้ายโฆษณากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่ติดตั้ง ริมถนนหรือทางด่วนได้เฉพาะในช่วงเวลา 18.00-22.00 น. ของทุกวัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2547 ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดำเนินการออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอาศัย อำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 ต่อไป รวมทั้ง ให้มีอำนาจพิจารณาผ่อนผันได้ตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับมาตรการประยัดพลังงานในระยะกลาง และระยะยาว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในรายละเอียดในแต่ละ มาตรการอีกครั้งหนึ่งก่อน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
1684 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2547 (1 ตุลาคม 2546 - 30 มิถุนายน 2547) | สธ | 24/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2546-30 มิถุนายน 2547 ซึ่งมีผลการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้ จำนวนผู้ขึ้นทะเบียนสิทธิ ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ณ เดือนมิถุนายน 2547 มีจำนวน 59.57 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรผู้ขึ้น ทะเบียนสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า จำนวน 47.02 ล้านคน และประชาชนที่ยังไม่มีหลักประกันสุขภาพ ใด ๆ จำนวน 3.3 ล้านคน จำนวนหน่วยบริการและเครือข่ายการให้บริการทางการแพทย์ทั้งของรัฐและเอกชน มีทั้งสิ้น 1,132 แห่ง จำนวนการรับเรื่องร้องเรียน มีทั้งสิ้น 7,116 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยว กับการมีสิทธิไม่ตรงตามจริง เรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการลงทะเบียนและออกบัตร เป็นต้น จำนวนการให้ บริการตอบคำถามเกี่ยวกับงานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีทั้งสิ้น 336,831 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็น คำถามเกี่ยวกับการทำบัตรประกันสุขภาพ และวิธีการใช้บริการตามสิทธิบัตรทอง เป็นต้น ในด้านความพึง พอใจของประชาชนต่องานสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปี พ.ศ. 2547 ประกอบด้วย ความพอพึงใจ ต่อการบริการของแพทย์ ร้อยละ 92.9 การบริการของพยาบาล ร้อยละ 91.2 การบริการของเจ้าหน้าที่ อื่น ๆ ร้อยละ 91.9 คุณภาพยา ร้อยละ 86.6 และคุณภาพของเครื่องมือ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ ร้อยละ 90.4 สำหรับผลการดำเนินงานในด้านการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการกรณีได้รับความเสียหาย จากการรักษาพยาบาล มาตรา 41 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2547 ได้ให้การช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ ผู้รับบริการไปแล้วทั้งสิ้น 40 ราย เป็นจำนวนเงิน 2,333,000 บาท จากผู้ยื่นขอรับเงินช่วยเหลือ ฯ ทั้งสิ้น 56 ราย ด้านการให้ความช่วยเหลือผู้ให้บริการที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการสาธารณสุข ตั้งแต่ ตุลาคม 2546 ถึง มิถุนายน 2547 ได้จ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 4 ราย รวมเป็นเงิน 115,000 บาท นอก จากนี้ ยังมีผลการดำเนินงานสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยได้ดำเนินการสร้างเครือข่ายองค์ กรภาคประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ กลุ่มอาชีพต่าง ๆ กลุ่มผู้บริการที่มีค่าใช้จ่ายสูง และกลุ่มที่สังคมควร ช่วยเหลือเกื้อกูล การพัฒนาระบบการลงทะเบียนผู้มีสิทธิโดยการเลือกหน่วยบริการโดยสมัครใจ ได้ขยาย หน่วยบริการปฐมภูมิให้ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพ ฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกหน่วยบริการสุขภาพให้แก่ประชา ชนผู้มีสิทธิ การส่งเสริมการให้บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาหน่วยบริการตติยภูมิเฉพาะด้าน โครงการส่งเสริมคุณภาพบริการปฐมภูมิสู่ความเป็นเลิศ (PCU ในฝัน) และการพัฒนาแนวปฏิบัติการให้บริการสาธารณสุข (Health Service Practice Guideline : HSPG) การพัฒนางานสร้างหลักประกันสุขภาพที่สำคัญ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 อาทิ การจัดตั้ง สำนักงานสาขาภูมิภาค การพัฒนาสำนักงานสาขาต้นแบบ ฯลฯ และการบริการส่งเสริมสุขภาพและป้อง กันโรคนอกหน่วยบริการในพื้นที่กรุงเทพ โดยเปิดโอกาสให้หน่วยบริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งรัฐและเอกชนร่วมให้บริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ประชาชนในเขตกรุงเทพ ฯ บริการแก่ ประชาชนทุกคน ทุกสิทธิ โดยการสำรวจภาวะสุขภาพประชาชนที่บ้าน การค้นหาและให้บริการผู้ป่วย อัมพาตพิการเรื้อรัง การให้คำปรึกษาและส่งเสริมสุขภาพในสตรีตั้งครรภ์ เด็ก ผู้สูงอายุ และประชาชน ทั่ว ๆ ไป |
|||||||||||||||||||||
1685 | การดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย [การจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งออก (Premium) สินค้าไก่ปรุงสุก เพื่อชดเชยภาระของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร] | พณ | 17/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมเกี่ยวกับการจัดเก็บค่า
ธรรมเนียม (Premium) สินค้าไก่ปรุงสุก เพื่อชดเชยภาระของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาดสัตว์ปีก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2547 โดยที่ประชุมพิจารณาเรื่องดัง กล่าวแล้วเห็นว่า ไม่ควรมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว เนื่องจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม (Premium) เป็นการเพิ่มต้นทุนและภาระให้แก่ผู้ประกอบการส่งออก รวมทั้งค่าธรรมเนียมที่ได้รับไม่คุ้มกับความเสีย หายจากการที่ทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการทำให้ราคา ส่งออกสูงขึ้นจะส่งผลให้ปริมาณส่งออกลดลง ประกอบกับประเทศที่มีการผลิตและส่งออกสินค้าไก่หลาย ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เป็นต้น ภาครัฐได้ให้การสนับสนุน (Subsidy) ทั้งทางตรง และทางอ้อมแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ และผู้ส่งออกไก่ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้ ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ควรสร้างภาระให้ผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการส่ง ออกผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุกให้มากขึ้น กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการในด้านตลาดต่างประเทศรองรับอยู่แล้ว โดยจะได้ประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1686 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำ
สัปดาห์ที่ 4 เดือนกรกฎาคม 2547 (19-23 กรกฎาคม 2547) ดังนี้ สินค้าที่ต้องติดตามใกล้ชิดพิเศษ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่ราคากลับมาสูงขึ้นอีก โดยเหล็กเส้น (ขนาด 9 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 100-102 บาท/เส้น และ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรูปตัวซี (75x45x15x2.3 มม.) ราคาสูงขึ้นเป็น 440-471 บาท/ท่อน สินค้าที่ต้อง ติดตามใกล้ชิด ได้แก่ สินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยเม็ดพลาสติกราคาสูงขึ้นเป็น 40.50 บาท/กก. และถุง พลาสติก เช่น ถุงชนิดร้อนราคาสูงขึ้นเป็น 52-54 บาท/กก. สินค้าที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ไก่สดราคาลดลงเป็น 40-45 บาท/กก. และสินค้าที่เคลื่อนไหวขึ้น-ลงตามฤดูกาลและภาวะตลาดช่วงสั้น ๆ ได้แก่ ส้มเขียวหวาน ราคา สูงขึ้นเป็น 35-40 บาท/กก. ผักคะน้า และผักบุ้งจีน ราคาสูงขึ้นเป็น 18-20 บาท/กก. และ 8-12 บาท/กก. สำหรับสินค้าอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา ยกเว้นสินค้าบางรายการที่ราคาปรับขึ้น-ลงเล็ก น้อยตามกลยุทธ์การส่งเสริมการขาย เช่น ปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำปลา สบู่ แชมพู และถ่านไฟฉาย เป็นต้น และจากผลการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพ มหานคร พบการกระทำผิด 2 ราย ภูมิภาค 26 ราย และผลการตรวจสอบตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานคร ไม่พบการกระทำผิด ส่วนภูมิภาค พบการกระทำผิด 1 ราย |
|||||||||||||||||||||
1687 | การปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | มท | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการเดินทางไปปฏิบัติราชการ
ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และยโสธร ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และคณะ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม 2547 - 1 สิงหาคม 2547 เพื่อตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานตาม นโยบายสำคัญของรัฐบาล และนโยบายของกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งรับทราบปัญหาและอุปสรรค จากการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งภาพรวมการปฏิบัติราชการในครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาด ไทยได้มอบนโยบายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ เช่น โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ควรนำศิลปิน ตำบลมาออกแบบเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ตำบล และเรื่องการบริหารจัดการที่ดี ทุกฝ่ายควรช่วยกัน ทำงานแบบบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยใช้ความเป็น "เจ้าภาพ" มากกว่าการเป็น "เจ้า ของ" เน้นในเรื่องของความสะอาดที่จะต้องสะอาดทั้งจิตใจ มีความซื่อสัตย์ การค้าขายก็ต้องทำด้วยความ ซื่อตรง และสะอาดในเรื่องของสภาพแวดล้อม บ้านเรือน ถนนหนทาง รับประทานอาหารที่สะอาด เพื่อ สุขภาพที่ดี รวมทั้งสร้างความเขียวขจีให้เกิดขึ้นด้วยการดูแลฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ และชี้แจงให้เห็นถึงศักยภาพ และโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยเน้นย้ำให้เห็นว่า หากการเมืองภายในประเทศอยู่ในสภาวะที่มี เสถียรภาพเช่นนี้ต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้าประชาชนจะพ้นจากความยากจนและจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ในด้านดีอย่างก้าวกระโดดเกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
1688 | ความคืบหน้าแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทย | กค | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุน
ไทย และแผนการดำเนินการที่ควรได้รับการผลักดันในช่วงปี พ.ศ. 2547-2548 โดยผลความคืบหน้าแผนแม่ บท ฯ ได้กำหนดมาตรการเชิงรุกเพื่อพัฒนาศักยภาพตลาดทุนไทย แยกเป็น 6 ด้าน ดังนี้ ด้านที่ 1. มุ่งสู่การ เป็นตลาดทุนที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี : ได้จัดตั้งคณะกรรมการบรรษัทภิบาลแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตร การส่งเสริมบรรษัทภิบาลในบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ และสถาบันตัวกลาง ด้านที่ 2. เพิ่มปริมาณและคุณภาพ ตราสารเพื่อการลงทุน : ได้จัดตั้งคณะกรรมการสรรหากิจการที่มีศักยภาพเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ระดมทุนขึ้นภายในตลาดหลักทรัพย์ ฯ เพื่อเป็น หน่วยงานรับผิดชอบการตลาดเชิงรุก ด้านที่ 3. สร้างฐานผู้ลงทุนให้กว้างขวาง เข้มแข็ง และสมดุล : ได้จัด Road Show ในต่างประเทศ รวม 3 ครั้ง เพื่อส่งเสริมสถาบันต่างประเทศมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ การ ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อบรรจุความรู้เกี่ยวกับการออมและการลงทุนในหลักสูตรการศึกษา การ พัฒนามาตรฐานและความเชื่อมั่นในการลงทุนผ่านสถาบัน และการสนับสนุนให้ลูกจ้างที่มีเงินออมในระบบ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถรักษาการออมระยะยาวไว้ได้ต่อเนื่องแม้เปลี่ยนงาน ด้านที่ 4. เสริมสร้างความ เข้มแข็งของสถาบันตัวกลาง : ได้จัดทำแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการให้ระบบ สถาบันการเงินมีเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขัน และมีองค์ประกอบของระบบการเงินที่สมดุลทั้ง ในส่วนของสถาบันการเงิน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดตราสารทุน ตลอดจนมีนโยบายที่จะเพิ่มจำนวน บริษัทจัดการกองทุน ด้านที่ 5. ปรับโครงสร้างระบบการกำกับดูแลและการพัฒนาตลาดทุน : คณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบในหลักการในการแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้าง คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยน แปลงไปแล้ว และด้านที่ 6. เพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดต้นทุนการทำธุรกรรม : ได้ มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการซื้อขายเพื่อให้ตลาดตราสารต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกัน ทั้งด้าน Front-office และ Back-office และมีการศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบการชำระราคา และส่งมอบไปสู่ระบบ Straight through processing (STP) พร้อมทั้งมีการพัฒนาศูนย์รวมข้อมูลการลงทุน (Investment Portal) เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล ข่าวสาร และบทวิเคราะห์จากหน่วยงานต่าง ๆ สำหรับ แผนการดำเนินการที่ควรได้รับการผลักดันในช่วงปี พ.ศ 2547-พ.ศ. 2548 ได้แก่ การจัดตั้งตลาดสัญญาซื้อ ขายล่วงหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในตลาดทุน การออกและปรับปรุงกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง การสร้างฐานผู้ลงทุนให้กว้างขวาง เข้มแข็งและสมดุล และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ |
|||||||||||||||||||||
1689 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 10/08/2547 | ||||||||||||||||||
1690 | ผลการดำเนินงานของศูนย์บริการประชาชนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรอบ 7 เดือน (ตุลาคม 2546 - เมษายน 2547) | ทส | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนิน
งานของศูนย์บริการประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในรอบ 7 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546-เมษายน 2547 โดยในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ศูนย์บริการ ฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนรวมทั้งสิ้น 251 เรื่อง จำแนกเรื่องร้องเรียนออกเป็น เรื่องร้องเรียนที่ไม่ต้องการการแก้ไข ได้แก่ เรื่องร้องเรียนที่เสนอแนะ ข้อคิดเห็น/ ข้อเสนอแนะ จำนวน 14 เรื่อง และเรื่องร้องเรียนที่ต้องดำเนินการแก้ไข จำนวน 237 เรื่อง โดยเรื่องร้องเรียน เมื่อจำแนกตามประเภทปัญหาสามารถจำแนกออกเป็น 12 ประเภท ได้แก่ ร้องเรียนการบุกรุกภูเขาและป่าไม้ จำนวน 53 เรื่อง ร้องเรียนการบุกรุกที่ดินทำกิน/รุกลำน้ำสาธารณะ จำนวน 45 เรื่อง ร้องเรียนพฤติกรรมเจ้า หน้าที่ เช่น ทุจริต ใช้อำนาจมิชอบ ฯลฯ จำนวน 44 เรื่อง ร้องเรียนกลิ่นเหม็น จำนวน 25 เรื่อง ร้องเรียนเรื่อง มลภาวะทางน้ำ จำนวน 18 เรื่อง ร้องเรียนเรื่องน้ำอุปโภค บริโภค น้ำบาดาล จำนวน 14 เรื่อง ร้องเรียนฝุ่น/ เขม่าควัน จำนวน 12 เรื่อง ร้องเรียนของเสียอันตราย จำนวน 8 เรื่อง ร้องเรียนการลักลอบล่าสัตว์ป่า/ค้าสัตว์/ มีครอบครอง จำนวน 7 เรื่อง ร้องเรียนเสียงดังรบกวน จำนวน 4 เรื่อง ร้องเรียนขยะสิ่งปฏิกูล จำนวน 3 เรื่อง และเรื่องอื่น ๆ เช่น ปัญหาการบริหารจัดการ การให้ข้อมูล การขอข้อมูล จำนวน 48 เรื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของ ผลการแก้ไขเรื่องร้องเรียนที่ต้องดำเนินการแก้ไข จำนวน 237 เรื่อง หน่วยงานในสังกัดแก้ไขแล้วเสร็จ จำนวน 37 เรื่อง ส่วนที่เหลืออีก จำนวน 200 เรื่อง อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไข |
|||||||||||||||||||||
1691 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 2 เดือนกรกฎาคม 2547 ระหว่างวันที่ 5 - 9 กรกฎาคม 2547 โดยสถานการณ์ราคา สินค้าในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ในภาวะปกติ มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้านราคาเพียงเล็กน้อย โดย สินค้าที่มีความเคลื่อนไหวในหมวดอาหารสด/ผักและผลไม้ ได้แก่ สุกรชำแหละราคาลดลงจาก 80 - 90 บาท/กก. เป็น 80-85 บาท/กก. ผักคะน้าราคาลดลงจาก 20-28 บาท/กก. เป็น 15-20 บาท/กก. ผัก บุ้งจีนราคาลดลงจาก 12 - 18 บาท/กก. เป็น 8 - 12 บาท/กก. เงาะราคาเพิ่มขึ้นจาก 15 - 25 บาท/ กก. เป็น 20 - 25 บาท/กก. ส้มเขียวหวานราคาเพิ่มขึ้นจาก 25 - 32 บาท/กก. เป็น 30 - 35 บาท/ กก. ส่วนหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ส่วนใหญ่ราคาทรงตัว ยกเว้นเม็ดพลาสติก ชนิด HDPE ราคาเพิ่มขึ้นจาก 38.50 บาท/กก. เป็น 39.50 บาท/กก. ผลิตภัณฑ์เหล็ก เหล็กโครงสร้าง รูปพรรณชนิดรูปตัวซี (ขนาด 75x45x15x2.3 มม.) ราคาสูงขึ้นจาก 430 - 440 บาท/ท่อน เป็น 430 - 453 บาท/ท่อน เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดเหล็กฉาก (ขนาด 40x40x3 มม./6 ม.) ราคาสูงขึ้นจาก 225 - 240 บาท/ท่อน เป็น 235 - 252 บาท/ท่อน และผลิตภัณฑ์ปัจจัยการเกษตร สินค้าที่มีการปรับ ราคาสูงขึ้น ได้แก่อาหารสัตว์ เช่น อาหารไก่เนื้อราคาสูงขึ้นจาก 364 บาท/ถุง เป็น 372 บาท/ถุง และ อาหารหมูเล็กราคาสูงขึ้นจาก 328 บาท/ถุง เป็น 339 บาท/ถุง สำหรับสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ราคาสินค้า เคลื่อนไหวขึ้น - ลงเล็กน้อยตามภาวะการแข่งขันและการส่งเสริมการขายของห้างสรรพสินค้า เช่น ผลิต ภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำตาลทราย แป้งโรยตัว และถ่านไฟฉาย ในส่วนของสถาน การณ์ราคาสินค้าในภูมิภาค ส่วนใหญ่ราคาทรงตัว ยกเว้นอาหารสัตว์ได้ปรับตัวสูงขึ้นในบางจังหวัด ตาม ราคาโรงงานที่ปรับสูงขึ้น และจากการตรวจสอบพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 โดยในเขตกรุงเทพมหานคร พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า จำนวน 4 ราย ภูมิภาค พบผู้ กระทำผิด เครื่องชั่งไม่เที่ยงตรง จำนวน 1 ราย |
|||||||||||||||||||||
1692 | บทความของ Mr. Daniel Lian เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ช่วงปีที่ 3 | นร | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอบทความของ Mr.Daniel Lian นักเศรษฐศาสตร์
ทางด้านเอเชียตะวันออกของ Morgan Stanley เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ช่วงปีที่ 3 โดย เนื้อหาของบทความกล่าวถึงการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ช่วงระยะเวลาประมาณ 3 ปีครึ่ง ได้ทำให้ตลาด หุ้นและเศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงปัจจัยที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยในช่วงนี้ ชะงักงันลง ซึ่งได้แก่ สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การระบาดของโรคไข้หวัดนก และความ ล่าช้าในการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจ รวมทั้ง กำหนดกลยุทธ์ใหม่ในการแก้ไขผลกระทบจากภาวะเงินฝืดซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2544 ได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ เกิดการพัฒนาและเติบโตอย่างสมดุลมากขึ้น และสามารถทำให้เศรษฐกิจของไทยกลับไปสู่เวทีการแข่งขัน โลกได้ ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่าในช่วงปีที่ 3 ของรัฐบาลนี้ มีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศ ยังคงเจริญเติบโตต่อไป ซึ่งรัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ (1) การปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจมหภาคจากเดิม ที่เน้นด้านอุปสงค์ มาเป็นด้านอุปทาน (2) คงการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบ second-track ไว้อย่างเข้ม แข็ง (3) เฝ้าระวังและดูแลมิให้เศรษฐกิจมหภาคเกิดภาวะ macro overheating risks (4) ปรับเปลี่ยนระบบ เศรษฐกิจซึ่งใช้การบริโภคเป็นตัวนำ (consumption-led) เป็นการลงทุนให้เกิดการผลิตเป็นตัวนำ (productive investment-led) (5) ดำเนินนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อรองรับการขยายตัวทาง เศรษฐกิจ และการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และ (6) ให้เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจจุลภาคในช่วงที่รัฐบาลนี้ เข้าเป็นรัฐบาลในสมัยที่ 2 |
|||||||||||||||||||||
1693 | ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร | กษ | 27/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตร
กร ครั้งที่ 3/2547 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2547 ที่ให้กรมปศุสัตว์ยืมเงินปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนสงเคราะห์ เกษตรกร จำนวน 2,324 ล้านบาท เพื่อดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาด สัตว์ปีกตามโครงการสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาดสัตว์ปีก และให้กรมปศุสัตว์ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อชดใช้คืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้เสร็จสิ้นภายใน ระยะเวลา 2 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการ ดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับปัญหาการทุจริตจากการดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะ โรคระบาดสัตว์ปีกที่อาจมีการขอรับ และเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาด สัตว์ปีกไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ให้แล้วเสร็จและดำเนินการให้ถูกต้องไปโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||
1694 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2547 | พณ | 20/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2547 โดยภาวะราคาสินค้าในเขตกรุงเทพมหานคร อาหารสด ราคา ส่วนใหญ่ยังคงทรงตัว ยกเว้น ราคาไข่ไก่ (เบอร์ 3) ที่สูงขึ้นจาก 2.70-2.90 บาท/ฟอง เป็น 2.90-3 บาท /ฟอง ผักสด มีบางชนิดราคาเปลี่ยนแปลง โดยผักที่มีราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้าราคาลดลงจาก 25-30 บาท/กก. เป็น 20-28 บาท/กก. ผักชีราคาลดลงจาก 6-10 บาท/ขีด เป็น 4-10 บาท/ขีด ผักที่มีราคา สูงขึ้น ได้แก่ ผักบุ้งจีนราคาเพิ่มขึ้นจาก 8-18 บาท/กก. เป็น 12-18 บาท/กก. ผลไม้ ส่วนใหญ่มีราคาสูง ขึ้น ได้แก่ เงาะราคาเพิ่มขึ้นจาก 13-18 บาท/กก. เป็น 15-25 บาท/กก. ส้มเขียวหวานราคาเพิ่มขึ้นจาก 22-30 บาท/กก. เป็น 25-32 บาท/กก. และกล้วยหอมทองราคาเพิ่มขึ้นจาก 2.5-3 บาท/ผล เป็น 2.5 -4 บาท/ผล ในส่วนของวัสดุก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ ราคาขายปลีกลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาปูน ซีเมนต์ผสมตราเสือ (ขนาด 50 กก.) ลดลงจาก 115-120 บาท/ถุง เป็น 105-120 บาท/ถุง และราคา ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ตราช้าง (ขนาด 50 กก.) ลดลงจาก 129-130 บาท/ถุง เป็น 125-130 บาท/ ถุง เหล็กและผลิตภัณฑ์ ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเหล็กชนิดเส้นกลม (ขนาด 9 มม.) ราคาลดลงจาก 110 บาท/เส้น เป็น 102 บาท/เส้น และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เช่น เหล็กรูปตัวซี (ขนาด 75x45 x15x2.3 มม.) ราคาลดลงจาก 449 บาท/ท่อน เป็น 440 บาท/ท่อน สายไฟฟ้าที่ใช้ในอาคาร (ขนาด 2x1 มม.) ลดลงจาก 460 บาท/ขด เป็น 447 บาท/ขด สำหรับสินค้าหมวดอื่น ๆ ราคาสินค้าเคลื่อน ไหวขึ้น-ลงเล็กน้อยตามภาวะการแข่งขันและการส่งเสริมการขายของห้างสรรพสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู น้ำปลา สบู่ แป้งโรยตัว ผ้าอนามัย เป็นต้น ส่วนสถานการณ์ราคาสินค้าในภูมิ ภาค ส่วนใหญ่ปกติและปริมาณเพียงพอกับความต้องการของตลาด มีเพียงบางชนิดมีการเคลื่อนไหวด้าน ราคาเล็กน้อยตามกิจกรรมที่มีการส่งเสริมการขายในพื้นที่ และในส่วนของการตรวจสอบพฤติกรรมการ จำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 รวมทั้ง พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานคร พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดง ราคาสินค้าและจำหน่ายไม่ตรงกับราคาที่แสดง จำนวน 8 ราย และภูมิภาค พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้าย แสดงราคาสินค้า จำหน่ายไม่ตรงกับราคาที่แสดง และจำหน่ายก๊าซในปริมาณต่ำกว่าที่แสดงไว้ จำนวน 19 ราย ได้ลงโทษปรับรวมเป็นเงิน 26,400 บาท |
|||||||||||||||||||||
1695 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมิถุนายน 2547 | อก | 20/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ประจำเดือนมิถุนายน 2547 โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 135.86 เพิ่มขึ้น จากเดือนเมษายน 2547 (123.69) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (124.19) โดยดัชนีผลผลิต อุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2547 ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์จากคอนกรีต ซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ การจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์พลาสติก การผลิต หลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2547 เท่ากับ 62.97 เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2547 (57.36) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (57.05) สำหรับภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2547 ในส่วนของการผลิตของอุตสาหกรรม อาหารขยายตัวดีขึ้นตามการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ในภาคการส่งออกยัง อยู่ในช่วงคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงตามฤดูกาลและเป็นช่วงปรับตัวสู่การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อุตสาหกรรมสิ่งทอ การผลิตและการส่งออกมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น ราคาเหล็กทรงแบนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมไป ถึงความต้องการเหล็กรวมในประเทศยังคงมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมรถยนต์ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบ กับเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นช่วงก่อน High Season อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเติบโต ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน เนื่องจากมีปัจจัยหนุน เช่น เป็นช่วงการแข่งขันฟุตบอล ยูโร 2004 และกลยุทธ์ทางธุรกิจของผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อในการซื้อสินค้า นอกจากนี้ การผลิต และจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาวะธุรกิจก่อสร้าง |
|||||||||||||||||||||
1696 | การติดตามประเมินผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) | นร | 20/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
แนวทางดำเนินการในระยะครึ่งหลังของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ประกอบด้วย (1) การ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคการเงินและภาคการคลังควบคู่ไปกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ และสร้างความสมดุลระหว่างการผลิตกับการดูแลสภาวะแวดล้อม (2) ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้าง โอกาสและกระจายความมั่นคงและผลตอบแทนการผลิต รวมทั้งการเข้าถึงบริการของรัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม กันมากขึ้น (3) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ทั้งด้านคุณภาพคนและการยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อม ไปกับการพัฒนาทุนทางสถาบัน และการพัฒนาทุนทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรม (4) เร่งรัดแก้ไขปัญหาความ เสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ที่เน้นการแก้ไขทั้งที่ต้นเหตุหรือแหล่งกำเนิดและ ที่ปลายเหตุ คือ ฟื้นฟู บำบัด และกำจัดควบคู่กันไป และ (5) พัฒนาระบบราชการไทยให้มีคุณภาพและประสิทธิ ภาพอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการบริหารจัดการภาครัฐที่ดีในกิจการบ้านเมือง อันได้แก่ การปกครองที่ใช้หลัก นิติธรรม คุณธรรม ความโปร่งใส การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบและความคุ้มค่า เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของงานที่ สามารถตอบสนองความต้องการและประโยชน์สุขของประชาชน โดยให้กระทรวง หน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการต่อไป และเพื่อให้การเตรียมการจัดทำแผนพัฒนา ฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นระบบ อันจะนำ ไปสู่การจัดทำแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ที่ดี สมบูรณ์ ครบถ้วน ขอให้รัฐมนตรีทุก ท่านรับไปกำชับปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ ในสังกัด ให้ความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ โดยให้สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเริ่มดำเนินการเตรียมการจัดทำแผนพัฒนา ฯ ตั้งแต่ปลาย ปี พ.ศ. 2547 นี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้ การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติควรดำเนินการให้ครบถ้วนในทุกมิติ ทั้งข้อมูลในระดับหน่วยงาน ข้อมูลเชิงลึก ในระดับราก หญ้า โดยควรจัดการประชุม/สัมมนาในเรื่องต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อให้ได้ข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ถูกต้อง และเปิดโอกาส ให้บุคลากรรุ่นใหม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนา ฯ ให้มากขึ้นด้ว
|
|||||||||||||||||||||
1697 | โครงการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง "ทักษิณ คัพ" (THAKSIN CUP) (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | มท | 16/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการจัดทำโครงการแข่งขันกีฬาวอล
เลย์บอลหญิง "ทักษิณ คัพ" (THAKSIN CUP) ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา เพื่อให้ประชาชน และเยาวชน กลุ่มสตรี ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าวได้มีส่วนเข้าร่วมในกิจกรรมการกีฬา เพื่อ สร้างความรักความสามัคคีในหมู่คณะ ให้เกิดขึ้นกับประชาชนและเยาวชนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้กีฬาเป็นสื่อกลางในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูสภาวะจิตใจของประชา ชน เยาวชน ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ โดยมีความสุขและสนุกกับการเล่นกีฬา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ บุคคลทั่วไป และเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระยะเวลาดำเนิน การระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2547-15 มิถุนายน 2548 รวม 11 เดือน งบประมาณโครงการ จำนวน 31,981,500 บาท โดยขอรับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล |
|||||||||||||||||||||
1698 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 3 เดือนมิถุนายน 2547 | พณ | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 3 เดือนมิถุนายน 2547 ระหว่างวันที่ 14-18 มิถุนายน 2547 สรุปได้ดังนี้ ภาวะราคา สินค้าในเขตกรุงเทพมหานครมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงด้านราคาเพียงเล็กน้อย ดังนี้ หมวดอาหารสด /ผักและผลไม้ ได้แก่ สุกรชำแหละ ราคาลดลงจาก 90-95 บาท/กก. เป็น 85-92 บาท/กก. ผักสด ผัก คะน้า ลดลงจาก 25-40 บาท/กก. เป็น 25-30 บาท/กก. ผักบุ้งจีน ราคาลดลงจาก 6-10 บาท/กก. เป็น 6-8 บาท/กก. ยกเว้นผักชี ราคาเพิ่มขึ้นจาก 9-11 บาท/ขีด เป็น 9-13 บาท/ขีด ผลไม้ เงาะ ราคา เพิ่มขึ้นจาก 10-13 บาท/กก. เป็น 12-13 บาท/กก. ส้มเขียวหวาน ราคาเพิ่มขึ้นจาก 20-22 บาท/กก. เป็น 20-25 บาท/กก. หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันเบน ซิน ได้ปรับเพดานราคาน้ำมันขายปลีกสูงขึ้นลิตรละ 60 สตางค์ โดยราคาน้ำมันเบนซิน 91 และเบนซิน 95 ปรับเพิ่มจาก 17.39 บาท/ลิตร และ 18.19 บาท/ลิตร เป็น 17.99 บาท/ลิตร และ 18.79 บาท/ ลิตร ตามลำดับ และเม็ดพลาสติก ราคาเพิ่มขึ้นจาก 40 บาท/กก. เป็น 41 บาท/กก. เหล็กและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เหล็กเส้น (ขนาด 9 มม.) ราคาลดลงจาก 96-110 บาท/เส้น เป็น 91-110 บาท/เส้น และเหล็ก รูปพรรณ (ชนิดเหล็กฉาก ขนาด 40x40x3 มม./6 ม.) ราคาลดลงจาก 230-245 บาท/ท่อน เป็น 225 -245 บาท/ท่อน ผลิตภัณฑ์ปัจจัยการเกษตร ได้แก่ ปุ๋ยเคมี ราคา 480 บาท/กระสอบ เพิ่มเป็น 485 บาท/กระสอบ และอาหารสัตว์ ราคา 364 บาท/ถุง เพิ่มเป็น 377 บาท/ถุง สำหรับภาวะราคาสินค้าใน ภูมิภาค ราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังคงทรงตัว ยกเว้นปุ๋ยเคมีได้ปรับตัวสูงขึ้นในบางจังหวัดตามราคาโรงงาน ที่ปรับสูงขึ้น และในส่วนของการตรวจสอบพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการตามพระราช บัญญํติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ใน เขตกรุงเทพมหานคร พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า 3 ราย |
|||||||||||||||||||||
1699 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนมิถุนายน 2547 | พณ | 06/07/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
ประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนมิถุนายน 2547 (21-25 มิถุนายน 2547) โดยภาวะราคาสินค้าหมวดอาหารสด /ผักและผลไม้ ในเขตกรุงเทพมหานคร ราคาอาหารสดส่วนใหญ่ทรงตัว ยกเว้นราคาสุกรชำแหละลดลงต่อ เนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยราคาลดลงจาก 85 - 92 บาท/กก. เป็น 85 - 90 บาท/กก. ราคาผักสดหลาย ชนิดทรงตัวหลังจากที่ลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว ยกเว้นผักบางชนิดที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านราคา เช่น ผักชี ผักบุ้งจีน เป็นต้น ราคาผลไม้หลายชนิดสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงรอยต่อระหว่างผลผลิตรุ่นใหม่และเก่า ซึ่ง ปกติจะมีปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดลดลง ส่วนหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เม็ด พลาสติกมีการเปลี่ยนแปลงราคาสูงขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เหล็กและ ผลิตภัณฑ์ มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ราคาเหล็กรูปพรรณชนิดรูปตัวซี (ขนาด 75x45x15x2.3 มม.) ราคาลดลงจาก 440-449 บาท/ท่อน เป็น 430-449 บาท/ท่อน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ปัจจัยการเกษตร ปุ๋ย เคมีสูตร 16-20-0 ราคาเพิ่มขึ้นจาก 420 บาท/ถุง เป็น 440 บาท/ถุง และสูตร 15-15-15 ราคาเพิ่ม ขึ้นจาก 485 บาท/ถุง เป็น 520 บาท/ถุง สำหรับสถานการณ์สินค้าในภูมิภาค ส่วนใหญ่ราคาทรงตัว ยกเว้น ปุ๋ยเคมีได้ปรับตัวสูงขึ้นในบางจังหวัด ตามราคาโรงงานที่ปรับสูงขึ้น ในส่วนของการตรวจสอบพฤติ กรรมการจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ในเขตกรุงเทพมหานคร พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดง ราคาสินค้าและจำหน่ายไม่ตรงกับราคาที่แสดง จำนวน 5 ราย ได้ลงโทษปรับรวมเป็นเงิน 5,200 บาท ภูมิภาค พบผู้กระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาสินค้า จำนวน 2 ราย ได้ลงโทษปรับรวมเป็นเงิน 2,400 บาท |
|||||||||||||||||||||
1700 | ร่างพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | อก | 22/06/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอร่างพระราชบัญญัติการนิคม
อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 ดังนี้ ให้การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามกฎหมาย ว่าด้วย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการ นิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกำหนด เดิมให้กำหนดในกฎกระทรวง และเขตพื้นที่ที่จัดสรรเป็นนิคม อุตสาหกรรมต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดตาม มาตรา 37 เดิมให้กำหนดในกฎกระทรวง และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาไป พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพื่อให้สอด คล้องกับพันธกรณีว่าด้วยความตกลงขององค์การการค้าโลก และภาวะการแข่งขันของประเทศ) แล้วส่งให้ คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
.....