คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ
หน่วยงานของรัฐ  ได้มีการกำหนดราคากลางไว้ใช้ตรวจสอบในการเสนอราคา  โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงที่
เกี่ยวข้องปรับปรุงและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าต่างๆ  เพื่อนำมาใช้คำนวณเป็นราคากลางให้สอดคล้องหรือ
ใกล้เคียงกับราคาที่เป็นจริงนั้น โดยที่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมีการแข่งขันทางด้านราคาสินค้าอย่างมาก การคำนวณ
ราคากลางโดยยึดข้อมูลของทางราชการจากกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพียงอย่างเดียว อาจจะไม่ทัน
ต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดที่แท้จริงในขณะนั้นได้ จึงควรพิจารณาแนวทางในการคำนวณราคากลางที่เหมาะ
สมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและราคาตลาด   โดยนำราคากลางของทางราชการมาพิจารณาเปรียบเทียบกับ
ราคาตลาดที่แท้จริง หากราคาใดต่ำกว่า ให้ใช้ราคานั้นเป็นหลักอันจะเป็นประโยชน์ในการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ
อย่างมีประสิทธิภาพ  จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับประเด็นดังกล่าวไปพิจารณา หากต้อง
แก้ไขกฎระเบียบของทางราชการในส่วนที่เกี่ยวข้องประการใดให้ดำเนินการ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่  1009  ร. 
เรื่อง การแก้ปัญหาการว่างงานของผู้ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้
แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น  และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป   โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า 
(1)  ทบวงมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา  ได้ประสานกับ
มหาวิทยาลัยจัดให้มีการศึกษาถึงภาวะการหางานทำของบัณฑิต โดยเฉพาะผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี
เป็นประจำทุกปีการศึกษาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายการจัดการศึกษาของทบวงมหาวิทยาลัย
และการบริหารงานของมหาวิทยาลัย   รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งภาครัฐและเอกชนในการวางแผนด้านกำลัง
คน โดยในปี พ.ศ. 2540-2544 พบว่าภาวะการว่างงานของบัณฑิตสูงประมาณร้อยละ 19-26 เนื่องจากยังหา
งานทำไม่ได้     สำหรับกระทรวงศึกษาธิการได้มีการสำรวจข้อมูลการมีงานทำและการว่างงานของผู้ที่สำเร็จใน
ระดับอุดมศึกษา   ซึ่งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกปีอย่างต่อเนื่อง  ในส่วนของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลได้
ผลิตกำลังคนออกสู่ตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก     และได้ดำเนินการติดตามภาวะการหางานทำของผู้สำเร็จ
การศึกษา โดยเก็บข้อมูลจากบัณฑิตในวันซ้อมรับพระราชทานปริญญาบัตร และ  (2)  รัฐบาลมีมาตรการและ
แนวทางในการบรรเทาปัญหาการว่างงานสำหรับผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ยังว่างงานโดยได้จัดสรรงบ
ประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบกลางรายการค่าใช้
จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ  เงินกู้ต่างประเทศจากธนาคารโลก เงินกู้มิยาซาวา  เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง
ทางเศรษฐกิจ (SAL) เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่มีงานทำ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2542 ได้ดำเนินโครงการจ้าง
บัณฑิตอาสา จำนวน 12,794 คน  เป็นเวลา 12 เดือน  ปีงบประมาณ พ.ศ. 2543  โครงการจ้างบัณฑิตอาสา
จำนวน 10,543 คน เป็นเวลา 12 เดือน  ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544  โครงการเพิ่มขีดความสามารถในการให้
บริการของรัฐ จำนวนประมาณ  5,000  คน  โครงการพัฒนาขีดความสามารถให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง
ถิ่น จำนวน 23,835 อัตรา เป็นเวลา 12 เดือน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2546 โครงการเพิ่มประสิทธิ
ภาพการบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  จำนวน 74,881 คน  เป็นเวลา  10  เดือน  โครงการ
จัดจ้างลูกจ้างชั่วคราวเพื่อปฏิบัติงานช่วยเหลือกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว  โครงการจัดจ้างลูกจ้างชั่วคราว
เพื่อปฏิบัติงานช่วยเหลือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และโครงการตรวจสอบติดตามป้องกันยาชีวนะตกค้างใน
ผลผลิตกุ้ง

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 811 ร. เรื่อง การ
แก้ปัญหาภัยแล้งของประชาชน  ตำบลห้วยกระเจา  อำเภอห้วยกระเจา  จังหวัดกาญจนบุรี  ของนายนพดล  อินนา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (บัญชีรายชื่อ)  และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป   โดยสาระสำคัญของคำตอบ
สรุปได้ว่า  (1)  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้วางแผนและมาตรการในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2546  ใน
เขตตำบลห้วยกระเจา อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี  โดยได้จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัย
แล้งระดับกระทรวง และเมื่อประสบภาวะภัยแล้งรุนแรงก็สามารถขอฝนหลวงมาช่วยเหลือได้  นอกจากนั้นยังได้แต่ง
ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตอำเภอห้วยกระเจา  อำเภอเลาขวัญ  และ
อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ในส่วนของกรมชลประทานได้ดำเนินการพัฒนาและขุดลอกแหล่งน้ำ หนองน้ำ
คลองธรรมชาติ  และอ่างเก็บน้ำที่ตื้นเขินในเขตตำบลห้วยกระเจา  อำเภอห้วยกระเจา  จังหวัดกาญจนบุรี  จนถึงปี
พ.ศ. 2545  แล้วจำนวน 8 แห่ง  และได้เตรียมแผนการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2546  และปีต่อไป  สำหรับการแก้ไข
ปัญหาภัยแล้งดังกล่าวไว้ด้วยแล้ว   และ (2) กระทรวงเกษตร ฯ ได้ประสานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง
และส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด เพื่อดำเนินการเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้ง สำหรับงบประมาณในการแก้ไขปัญหา
จังหวัดกาญจนบุรี   สามารถดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วย
เหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2540   โดยในด้านพืชสามารถ
ให้ความช่วยเหลือในวงเงิน  2  ล้านบาท   และด้านปศุสัตว์และประมงสามารถให้ความช่วยเหลือได้ในวงเงินด้านละ
1 ล้านบาท

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่  908  ร. 
เรื่อง การซ่อมแซมและปรับปรุงถนนที่ถูกน้ำท่วมในจังหวัดขอนแก่น ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ  สมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้
ว่า (1) กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงชนบท 75 แห่ง  และสำนักทางหลวงชนบท 12 แห่ง ได้ทำการ
ซ่อมแซมถนนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจนสามารถสัญจรไปมาได้ทุกเส้นทางเป็นการชั่วคราว  และได้
ทำการฟื้นฟูถนนจำนวนหนึ่งที่เสียหายมากหลังจากการทำการซ่อมแซมชั่วคราว  โดยขอรับการสนับสนุนงบ
กลาง รายการค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำการซ่อมแซมถนนทั่วประเทศ  รวมทั้งสิ้น  520  โครง
การ  งบประมาณ 863.864 ล้านบาท  (2)  จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมมากที่สุดในแต่ละภาค 
ประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ พิจิต ร ตาก  และอุตรดิตถ์  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ได้แก่
จังหวัดมหาสารคาม  อุบลราชธานี  ชัยภูมิ   และสุรินทร์   ภาคกลาง  ได้แก่  จังหวัดนครสวรรค์  พระนครศรี
อยุธยาสิงห์บุรี  และชัยนาท   และ (3) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2545  ได้เกิดอุทกภัยในเขตจังหวัดขอน
แก่นทำให้ถนนและสะพานในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบทได้รับความเสียหายหลายโครงการและ
ต้องทำการฟื้นฟูสู่สภาพปกติ รวม 11 โครงการ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1041 ร. 
เรื่อง การปฏิบัติด้านการข่าวและการประเมินสภาวะการเกิดสงคราม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น   และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป    โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป
ได้ว่า  (1)  รัฐบาลได้มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาการข่าว  สำนักนายกรัฐมนตรี   และศูนย์ประสานข่าวกรอง
แห่งชาติ  (ศปข.)  ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวและ
ประเมินสถานการณ์การเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรกับประเทศอิรัก   โดยหน่วยงาน
ดังกล่าวได้ประเมินสถานการณ์ด้านการข่าวทั้งในช่วงก่อนที่จะเกิดสงคราม  และในช่วงที่สงครามกำลังดำเนิน
อยู่ และ (2) ในช่วงการเกิดสงครามฯ รัฐบาลได้เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับท่าทีของประเทศไทย
โดยเน้นให้เห็นว่า สงครามไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนาแต่อย่างใด    และชี้แจงทำความเข้าใจแก่สาธารณชน
ในมาตรการที่ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วเมื่อเกิดผลกระทบด้านต่าง ๆ   รวมทั้งได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ตลอดจนกำหนดแนวทางในการประชาสัมพันธ์และการเสนอข่าวเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้กรม
ประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์โดยรวมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวาง
แผนกลยุทธ์ในการเตรียมการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1053 ร. เรื่อง ประโยชน์และ
ผลกระทบจากโครงการขุดคอคอดกระในด้านเศรษฐกิจการคลัง ของนายนิยม วรปัญญา  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  (1)  กระทรวงการ
คลังมีนโยบายสนับสนุนการจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระขั้นสมบูรณ์  หากผลการศึกษา
ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระออกมาในเชิงบวก (2) กระทรวงการคลังได้ร่วมเป็นคณะกรรมการแห่งชาติศึกษา
ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ    คณะอนุกรรมการแห่งชาติบริหารโครงการศึกษา  ฯ    คณะอนุกรรมการด้าน
การเงินและการลงทุน และคณะอนุกรรมการด้านการระดมทุนและบริหารการเงิน ในการกำหนดขอบเขตโครงการ
ศึกษา ฯ การยกร่าง Terms of Reference (TOR)  เพื่อทำการศึกษาขั้นสมบูรณ์  (Full Feasibility Study : FS)  และ
การพิจารณาแนวทางระดมทุนเพื่อการดำเนินโครงการศึกษา  ฯ  ซึ่งโครงการดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาเป็นเขต
เศรษฐกิจพิเศษ  โดยภาครัฐจะรับผิดชอบดูแลด้านโครงสร้างพื้นฐาน  ส่วนการบริหารจัดการจะเป็นหน้าที่ของภาค
เอกชน และจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในรายละเอียดหลังจากผลการศึกษาแล้วเสร็จ  และ (3) โดยที่โครงการนี้จะนำ
ไปสู่การพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ   ทำให้การจัดเก็บภาษีอาจมีความแตกต่างจากการประกอบธุรกิจโดยทั่วไป
ในระดับหนึ่ง  กระทรวงการคลังจึงจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น
รวมทั้งจะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้สอดรับกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป   ดังนั้น  หากมีการดำเนินโครง
การขุดคอคอดกระจะไม่มีปัญหาใด ๆ ในการเตรียมการรองรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1025 ร. เรื่อง 
การปฏิบัติหน้าที่ของเอกอัครราชทูตเพื่อส่งสัญญาณเตือนภาวะสงคราม  ของนายเปรมศักดิ์  เพียยุระ  สมาชิก
สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุป
ได้ว่า  (1)  รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง  ๆ
ทำการศึกษาและติดตามสถานการณ์ ตลอดจนรายงานความเคลื่อนไหวทางการเมือง  ทางการทูต  ศึกษาและ
ประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับสงครามที่มีแนวโน้มจะเกิดในอิรัก และรายงานให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ
ตลอดเวลา   และ (2) รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากเอกอัครราชทูต
ที่ประจำอยู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก  และมีการตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อประเมินผลกระทบในด้านต่าง ๆ  ที่อาจส่งผล
กระทบต่อประเทศไทย   โดยจัดตั้งกลุ่มทำงานเฉพาะกิจ  2  กลุ่ม  เพื่อทำหน้าที่ติดตาม  ประเมินสถานการณ์
กำหนดท่าทีของไทย รวมทั้งประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นและให้ความช่วยเหลือและอพยพคนไทย เตรียม
จัดทำแผนอพยพคนไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม กับเตรียมพร้อมจัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์
ส่วนการบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการทั้งระยะสั้น ระยะยาว

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอโครงการจัดหาเครื่องตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายด้วยคลื่น
อินฟราเรดเพื่อตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง : SARS  ทั้งนี้  ให้กระทรวงสาธารณสุขรับ
ข้อสังเกตของ คกก.6 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย  ดังนี้  (1)  การซื้อเครื่องตรวจอุณหภูมิร่างกายด้วยคลื่นอินฟรา
เรดเพื่อตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรค SARS  หากสภาวะการเฝ้าระวังการระบาดของโรคนี้ลดลง  จะใช้เครื่องดังกล่าวกับ
โรคอื่น ๆ ได้ด้วยหรือไม่ ความคุ้มค่าระหว่างการซื้อกับการเช่า รวมทั้งเมื่อนำมาใช้แล้วจะสามารถเชื่อถือได้หรือไม่ 
และควรพิจารณาในแง่ความประหยัด แต่ในเมื่อไม่มีข้อมูลชัดเจน และไม่มีเวลาพิจารณา ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบ
ความคุ้มค่าได้  (2)  ควรมีการเสนอราคาของเครื่อง ฯ  จากบริษัทรายอื่น ๆ  เพื่อเป็นการเปรียบเทียบราคา โดย
เปิดกว้างและกำหนดราคามาตรฐานกลางของสำนักงบประมาณและใช้วิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535  และ  (3) การระบุวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ ว่าการซื้อเครื่อง
ดังกล่าวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านค่าตอบแทนจากการระดมอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ ฯ มาประจำด่านตรวจโรค ณ จุดผ่าน
แดน  นั้น   เบื้องต้นไม่มีข้อมูลชัดเจนของค่าใช้จ่ายที่สามารถลดลงได้   และการเสนอเรื่องในลักษณะเร่งด่วนเช่นนี้  
ทำให้ไม่อาจตรวจสอบอย่างรอบคอบ จึงควรให้เวลาสำนักงบประมาณตรวจสอบด้วย   สำหรับงบประมาณดำเนิน
การโครงการ ฯ ให้ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมใน
ประเทศ (GDP) ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) ได้แถลงไว้เมื่อวันที่ 16
มิถุนายน 2546 ในช่วงไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2546  ว่า มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 6.7 ซึ่งสูงกว่าที่ได้มีการคาด
หมายไว้โดยในส่วนของภาคการเกษตร สินค้าเกษตรต่าง ๆ  มีราคาดี  โดยเฉพาะยางพารา  และการส่งออกขยาย
ตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ  9.5 ส่วนการขยายตัวภาคการก่อสร้าง และการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นลบ จึงขอให้รัฐมนตรี
ทุกท่านร่วมมือกันดำเนินการต่อไป   โดยการดำเนินการในเรื่องใดที่อยู่ในเกณฑ์ดีอยู่แล้ว  ก็ให้คงดำเนินการต่อไป
ได้  และพิจารณาหาแนวทางดำเนินการให้ดียิ่งขึ้นไปอีก   ส่วนการดำเนินการเรื่องใดที่ยังเป็นปัญหาหรือยังติดลบ
อยู่ก็ต้องพยายามแก้ไขและทำให้ดีขึ้น  ทั้งนี้  จากตัวเลขการขยายตัวในช่วง 6 เดือนแรกของปี พ.ศ.  2546  ตัวเลข
การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะเป็นประมาณร้อยละ  5.5  และในช่วงไตรมาสที่  3  คงจะเริ่มดีขึ้น
แต่ไม่มากนัก สำหรับในไตรมาสที่ 4 น่าจะสูงขึ้นได้มาก ซึ่งอาจจะทำให้ตัวเลขการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมใน
ประเทศตลอดทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ประมาณร้อยละ 6 ได้   จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านนำข้อมูลราย
ละเอียดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกและแนวโน้มปี พ.ศ. 2546 ของ  สศช.  และแนวทางการดำเนินการ
ข้างต้นไปวิเคราะห์เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวมากขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายต่อไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1043 ร. เรื่อง การประเมินทางอุตุนิยม เนื่องจากผลกระทบจากภาวะสงคราม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ  สมาชิก
สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า
รัฐบาล  โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  (กรมอุตุนิยมวิทยา)  ได้มีการศึกษาและประเมินภาวะ
โลกร้อนของประเทศไทย  โดยศึกษาสภาวะอุณหภูมิของประเทศไทยย้อนหลังเป็นเวลา 52 ปี  ตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลเมื่อ
พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา  โดยใช้ข้อมูลจากสถานีตรวจอากาศในประเทศไทย จำนวน 48 สถานี  พบว่า  อุณหภูมิของ
ประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น  โดยเฉพาะอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่ พ.ศ. 2526  เป็น
ต้นมา    สำหรับการศึกษาและประเมินภาวะโลกร้อนของประเทศไทยด้วยวิธีการทางอุตุนิยมวิทยา   หากเกิดภาวะ
สงครามและการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จะสามารถศึกษาและประเมินภาวะโลกร้อนจากกรณีดังกล่าวได้ต่อเมื่อได้มีข้อมูล
ของอุณหภูมิของประเทศไทยในขณะที่เกิดและหลังจากการเกิดภาวะสงครามและการใช้อาวุธนิวเคลียร์แล้ว

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่  1054  ร. เรื่อง  ผลประโยชน์
ในเชิงพาณิชย์ที่จะได้รับจากโครงการขุดคอคอดกระ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  (1)  จากการศึกษาวิเคราะห์โครง
การขุดคอคอดกระ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516  จนถึงปัจจุบัน  ได้มีการเสนอแนวคลองที่จะขุดไว้หลายแนว   ซึ่งปัจจุบันแนว
ทางการขุดคลองดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน ขาดการศึกษาและออกแบบในขั้นรายละเอียด  ประกอบกับยังไม่มีการ
กำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการดังกล่าว หรือไม่  อย่างไร  (2)  โครงการขุดคอคอดกระเป็นโครง
การที่ใช้เงินลงทุนจำนวนมาก   ประกอบกับประเทศไทยยังอยู่ในภาวะการฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจ  ควรที่จะมีการ
ศึกษา วิเคราะห์ผลดีผลเสียอย่างละเอียดรอบคอบก่อนการลงทุน และ  (3)  กระทรวงพาณิชย์ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ
ในการตัดสินใจว่าควรสนับสนุนโครงการขุดคอคอดกระหรือไม่  ทั้งนี้ ควรรอผลการศึกษาวิเคราะห์แนวทางที่เหมาะ
สม และมีความเป็นไปได้ในเชิงเศรษฐกิจขั้นสมบูรณ์เรียบร้อย หากมีผลการศึกษาที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลประโยชน์สุทธิ
ที่จะได้รับและรัฐบาลให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงพาณิชย์มีความพร้อมในการให้การสนับสนุนการให้บริการด้าน
การค้าการส่งออก  รวมทั้งการเตรียมการสร้างคลังสินค้าและจัดทำแผนการตลาดทั้งในและต่างประเทศรองรับการ
ขยายตัวของกิจกรรมของท่าเรือต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบกระทู้
ถามที่  1027  ร. เรื่อง  ความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศไทยกรณีเกิดภาวะสงคราม  ของนายเปรมศักดิ์  เพียยุระ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบ
สรุปได้ว่า (1) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ศึกษาและประเมินระดับความรุนแรงของผล
กระทบกรณีการเกิดสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มชาติพันธมิตร กับสาธารณรัฐอิรัก  ดังนี้ กรณี
แรก   สงครามแบบเบ็ดเสร็จจบสิ้นในระยะสั้น  และตามมาด้วยสันติภาพ   จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชีย
รวมทั้งประเทศไทยด้วยไม่มากนัก   แต่จะทำให้การลงทุนและการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียสูงขึ้น      กรณีที่สอง
สงครามยืดเยื้อไม่จบสิ้น  ยังคงมีภาวะความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง  จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเอเชีย   รวมทั้ง
ประเทศไทยด้วยอย่างรุนแรงโดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีราคาสูงขึ้น ส่วนโครงการของกระทรวงการพัฒนา
สังคม ฯ ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ โครงการบ้านเอื้ออาทร เพราะราคาต้นทุนการก่อสร้างจะสูงขึ้น และ
(2)  กระทรวงการพัฒนาสังคม  ฯ  ได้มีการศึกษาและเตรียมแผนการฟื้นฟูความมั่นคงของมนุษย์ในประเทศไทย
หลังภาวะการเกิดสงคราม ดังนี้ (2.1) ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐในการสร้างความเติบโตทาง
เศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ (2.2) ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงการพัฒนาสังคม  ฯ  และ  (2.3)  การ
บริหารจัดการภายในกระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ จะให้ความสำคัญในการลดต้นทุน

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1028 ร. เรื่อง  ผลกระทบต่อ
ภาวะการค้าระหว่างประเทศกรณีเกิดสงคราม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น
และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  (1)  รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์
ได้มีการศึกษาประเมินผลกระทบต่อสภาวะการค้าระหว่างประเทศ กรณีการเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกา-อิรัก
ซึ่งจะเกิดผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย ได้แก่ ต้นทุนการผลิตสินค้าส่งออกจะเพิ่มสูงขึ้น  การค้าธุรกิจ
บริการ เช่น การท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล จะมีแนวโน้มลดลง การส่งออกของไทยไปตลาดสหรัฐ ฯ อัตรา
การขยายตัวมีแนวโน้มชะลอตัวลง  การส่งออกของไทยไปตลาดตะวันออกกลางชะลอตัวลง   แต่อย่างไรก็ตามโอกาส
สินค้าออกที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของไทยน่าจะดีขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะ
เวลาการสู้รบ และการลุกลามของสงคราม (2) กระทรวงพาณิชย์ได้มีการศึกษาและจัดเตรียมแผนการแก้ปัญหากรณี
ที่ภาวะการค้าระหว่างประเทศและการส่งออกถดถอย  ที่จะเกิดจากภาวะสงครามไว้แล้ว   โดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาเพื่อ
เพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก ส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศสูง  ผลักดันการส่งออกไปตลาด
ใหม่เสริมสร้างศักยภาพในการเจาะตลาดต่างประเทศ   สำหรับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ซึ่งจะมีการ
ปรับโครงสร้างสำนักงาน ฯ  ให้มีระบบการทำงานเป็นหนึ่งเดียว  มีความคิดริเริ่ม  เป็นอิสระในการบริหารงาน รวม
ไปถึงแผนปฏิบัติการและกลยุทธ์ในการรุกตลาด นั้น ให้แต่ละสำนักงาน ฯ  มีความเชี่ยวชาญสินค้าเฉพาะด้านในภูมิ
ภาคนั้น ๆ เช่น สำนักงาน ฯ โรม  จะเชี่ยวชาญด้านการตลาดสินค้าข้าว  สำนักงาน ฯ เฮก  จะเชี่ยวชาญตลาดสินค้า
มันสำปะหลัง และสำนักงาน ฯ มิลาน จะเชี่ยวชาญตลาดสินค้าเครื่องหนัง รองเท้าและชิ้นส่วน เป็นต้น

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1046 ร. เรื่อง การเตรียม
การรองรับภาวะสงครามของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ของนายเปรมศักดิ์  เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  บริษัท
การบินไทย ฯ  ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบต่อการปฏิบัติการบินในกรณีที่สหรัฐอเมริกา โจมตีประเทศอิรัก โดย
ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเลือกเส้นทางบินกรณีฉุกเฉิน ดังนี้ กรณีที่ 1  ประเทศสหรัฐ ฯ  เริ่มโจมตีประเทศอิรัก 
ปัจจุบันบริษัทการบินไทย  ฯ  ไม่ได้ใช้เส้นทางบินผ่านน่านฟ้าประเทศอิรัก  ดังนั้น  เที่ยวบินเข้าสู่ประเทศในทวีป
ยุโรปทั้งหมดจึงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด   บริษัทการบินไทย  ฯ  ยังสามารถใช้เส้นทางบินไปทวีปยุโรปได้ทั้ง  3 
เส้นทาง คือ เส้นทางบินผ่าน  Black Sea  เส้นทางบินผ่านประเทศอิหร่าน  และเส้นทางบินผ่านด้านใต้ผ่านอ่าว
เปอร์เซีย  กรณีที่  2  การสู้รบขยายไปสู่ประเทศอื่น ๆ  ในแถบตะวันออกกลาง  กรณีน่านฟ้าประเทศอิหร่านปิด
เที่ยวบินยุโรปส่วนใหญ่จะยังสามารถใช้เส้นทางบินหลักได้  อาจมีผลกระทบอยู่บ้างในเที่ยวบินสู่กรุงเอเธนส์ โรม
และมาดริด  ที่จะต้องใช้เวลาบินเพิ่มขึ้น กรณีน่านฟ้าประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลางปิด เที่ยวบินยุโรปส่วนใหญ่
จะยังสามารถใช้เส้นทางบินหลักได้ แต่บริษัท ฯ อาจจำเป็นต้องปิดสถานีในประเทศตะวันออกกลาง กรณีที่ 3 การ
สู้รบขยายไปสู่ประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย  เที่ยวบินสู่เมืองต่าง ๆ  ในทวีปยุโรปตอนเหนือ จะใช้
เส้นทางบินผ่านน่านฟ้าด้านตะวันตกของประเทศจีน จะทำให้เสียเวลาบินเพิ่มขึ้น   สำหรับเที่ยวบินสู่เมืองต่าง ๆ 
ในทวีปยุโรปตอนใต้ คือ โรม จะใช้เส้นทางบินผ่านน่านฟ้าทางด้านตะวันตกของประเทศจีน  ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่าย
เพิ่มขึ้น

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1047 ร. เรื่อง ผลกระทบ
ต่อสถานะเศรษฐกิจการคลังของประเทศกรณีเกิดสงคราม ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า  กระทรวงการ
คลังได้ประเมินผลกระทบของสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศอิรักต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยไว้
ดังนี้  กรณีที่ 1  สงครามจบเร็ว (ไม่เกิน 1 เดือน) จะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นจาก 27 ดอล
ลาร์สหรัฐอเมริกา (สรอ.) ต่อบาร์เรล เป็น 29 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล และทำให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับ
ตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่จะไม่มีปัญหาในเรื่องการขาดแคลนน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่
สูงขึ้นจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง  แต่ในภาคการคลังไม่น่าจะได้รับ
ผลกระทบมากนัก เพราะการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นในระยะสั้นจะไม่ทำให้ผู้บริโภคลดปริมาณการนำเข้าลงได้ ราย
ได้ที่เก็บจากภาษีน้ำมันจึงไม่น่าจะลดลง กรณีที่  2  สงครามยืดเยื้อ  (เกิน  1  เดือน)  ราคาน้ำมันในตลาดโลก
เฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้น จาก  27  ดอลลาร์  สรอ.  ต่อบาร์เรล  (กรณีไม่มีสงคราม)  เป็น  31  ดอลลาร์ สรอ.  ต่อบาร์
เรลจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย คือ  เมื่อราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้น  จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น
และอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง    ส่วนผลกระทบด้านการคลัง  คือ  จะจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง 
ทั้งนี้  ได้มีการศึกษาและจัดเตรียมแผนการแก้ปัญหาของสภาวะเศรษฐกิจการคลังของประเทศที่จะเกิดจากภาวะ
สงคราม  ฯ  โดยได้เสนอมาตรการรองรับ  โดยแบ่งตามระยะเวลาของการเกิดสงคราม  คือ  ระยะเริ่มต้นของสง
คราม  และกรณีสงครามจะยืดเยื้อ

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1048 ร. เรื่อง
ผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวเนื่องจากภาวะสงคราม  ของนายเปรมศักดิ์  เพียยุระ  สมาชิกสภาผู้
แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1)
รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประเมินผลกระทบจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ทางการท่องเที่ยว
ของประเทศไทย กรณีเกิดภาวะสงครามไว้ดังนี้  หากสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอิรักเกิดขึ้น
ในราวต้นปี พ.ศ. 2546 คาดว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 จะยังอยู่ในภาวะของการ
รอดูสถานการณ์ จึงทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวอาจหยุดนิ่งจนถึงขยับตัวเล็กน้อย  และจะเริ่มฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะ
ปกติในช่วงไตรมาสที่  4  ทั้งนี้  อัตราการเติบโตทางการท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้คาดว่าจะอยู่
ในภาวะการเติบโตในระดับปานกลาง  และ (2) รัฐบาลได้เตรียมแผนการในการแก้ไขปัญหา  โดยมีมาตรการที่จะ
รักษาระดับรายได้ทางการท่องเที่ยวในปี  พ.ศ. 2546  ไว้ให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้มากที่สุด  โดยได้
กำหนดกลุ่มตลาดที่ควรให้ความสำคัญ  แยกเป็นตลาดที่ควรให้ความสำคัญในลำดับต้น  ลำดับกลาง   และควรให้
ความสำคัญเพิ่มเติม    รวมทั้งได้วางแผนการตลาดที่เหมาะสมเพื่อรองรับวิกฤตสงครามเป็นแผนการตลาดในภาพ
รวมไว้แล้ว

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและ
สังคม ครั้งที่ 2/2546  วันที่  9  เมษายน  2546  ที่เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติเสนอ โครงการที่ขอใช้จ่ายจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม  รวม  6  โครงการ  วงเงิน
1,116.789 ล้านบาท  ประกอบด้วย  โครงการพัฒนาการศึกษาด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระดับอุดมศึกษา วง
เงิน 434.87 ล้านบาท โครงการศึกษาแผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในประเทศไทย วงเงิน
60.797  ล้านบาท  โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี  และปุ๋ยชีวภาพ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า   วงเงิน  9.992  ล้านบาท   โครงการการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อเพิ่มขีดความ
สามารถในการแข่งขัน วงเงิน  1,587.22  ล้านบาท  โครงการเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยภายใต้ภาวะวิกฤติโลก  วงเงิน
80 ล้านบาท และโครงการศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาค
เหนือ จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน 1,380 ล้านบาท  และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ  ฯ
ต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ  ดังนี้  (1)  โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบ
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี  และปุ๋ยชีวภาพ  เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า  ของกระทรวงวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี      เนื่องจากยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งที่มีศักยภาพและชุมชนมีความประสงค์อยากให้มีการจัดตั้งโรง
งาน ฯ เพิ่มเติม  จึงอนุมัติกรอบวงเงินจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มเติมให้อีก 10 ล้านบาท  โดย
ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ พิจารณาจัดทำรายละเอียดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งโรงงาน ฯ  เพิ่มเติมภาย
ใต้กรอบวงเงินดังกล่าว   แล้วนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป    โดยให้มีการเชื่อมโยงกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทค
โนโลยีการเกษตรประจำตำบล  ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการใช้เงินงบ
ประมาณของโครงการ   และจะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์มากขึ้นด้วย   และ  (2)  โครงการศูนย์ส่งเสริมการ
พัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ของกระทรวงอุตสาห
กรรม  เนื่องจากในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันยังมีโครงการตลาดกลางสินค้าเกษตร จังหวัดเชียงใหม่ ของกระทรวง
เกษตร  ฯ    และโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่   ของกระทรวงการท่อง
เที่ยวและกีฬาซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ไปพิจารณา
ภาพรวม  เพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่มีความสอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะการบูรณาการการใช้
ทรัพยากรเพื่อการลงทุน ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ร่วมกันของทั้ง 3 โครงการ

          คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและ
สังคม ครั้งที่ 2/2546  วันที่  9  เมษายน  2546  ที่เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติเสนอ โครงการที่ขอใช้จ่ายจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม  รวม  6  โครงการ  วงเงิน
1,116.789 ล้านบาท  ประกอบด้วย  โครงการพัฒนาการศึกษาด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรมระดับอุดมศึกษา วง
เงิน 434.87 ล้านบาท โครงการศึกษาแผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในประเทศไทย วงเงิน
60.797  ล้านบาท  โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี  และปุ๋ยชีวภาพ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า   วงเงิน  9.992  ล้านบาท   โครงการการจัดเก็บภาษีอากรเพื่อเพิ่มขีดความ
สามารถในการแข่งขัน วงเงิน  1,587.22  ล้านบาท  โครงการเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยภายใต้ภาวะวิกฤติโลก  วงเงิน
80 ล้านบาท และโครงการศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาค
เหนือ จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน 1,380 ล้านบาท  และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการ  ฯ
ต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ  ดังนี้  (1)  โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบ
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี  และปุ๋ยชีวภาพ  เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า  ของกระทรวงวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี      เนื่องจากยังมีพื้นที่อีกหลายแห่งที่มีศักยภาพและชุมชนมีความประสงค์อยากให้มีการจัดตั้งโรง
งาน ฯ เพิ่มเติม  จึงอนุมัติกรอบวงเงินจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม เพิ่มเติมให้อีก 10 ล้านบาท  โดย
ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ พิจารณาจัดทำรายละเอียดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่จะจัดตั้งโรงงาน ฯ  เพิ่มเติมภาย
ใต้กรอบวงเงินดังกล่าว   แล้วนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป    โดยให้มีการเชื่อมโยงกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทค
โนโลยีการเกษตรประจำตำบล  ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของการใช้เงินงบ
ประมาณของโครงการ   และจะทำให้เกษตรกรได้รับประโยชน์มากขึ้นด้วย   และ  (2)  โครงการศูนย์ส่งเสริมการ
พัฒนาและการกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ของกระทรวงอุตสาห
กรรม  เนื่องจากในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกันยังมีโครงการตลาดกลางสินค้าเกษตร จังหวัดเชียงใหม่ ของกระทรวง
เกษตร  ฯ    และโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่   ของกระทรวงการท่อง
เที่ยวและกีฬาซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ไปพิจารณา
ภาพรวม  เพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่มีความสอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะการบูรณาการการใช้
ทรัพยากรเพื่อการลงทุน ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ร่วมกันของทั้ง 3 โครงการ

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงแรงงานเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเวลาเริ่มดำเนิน
การจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน  พ.ศ. ....  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้เป็นการกำหนด
เวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสมทบเพื่อการให้ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานตั้งแต่วันที่ 1  มกราคม  2547 เป็นต้น
ไป  ทั้งนี้ ในการเสนอร่างกฎกระทรวง ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เพื่อกำหนดอัตราเงินสมทบเข้า
กองทุนประกันสังคม และการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข  ตลอดจนอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน  ซึ่ง
อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเป็นภาระของทั้งฝ่ายนายจ้าง  ลูกจ้าง  และงบประมาณแผ่นดิน  ประกอบ
กับกระทรวงการคลังมีความเห็นยังไม่สอดคล้องกันในเรื่องรายละเอียดการกำหนดอัตราเงินสมทบ     และอัตราจ่าย
ประโยชน์ทดแทนที่จะได้   จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี  (นายสมคิด  จาตุศรีพิทักษ์)  รองนายกรัฐมนตรี  (นายกร
ทัพพะรังสี)  กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน  และกระทรวงพาณิชย์  (กรมการประกันภัย)  รับไปพิจารณา โดย
ให้พิจารณาถึงสภาพและการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคม ซึ่งปัจจุบันมีเงินอยู่ในกองทุนประมาณหนึ่งแสนหก
หมื่นล้านบาท  และยุทธศาสตร์ในการดำเนินการเพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนหรือก่อให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น  นอก
จากนี้  ควรพิจารณาด้วยว่าในหลักการของการประกันสังคมในภาวะปัจจุบันยังจำเป็นต้องดำเนินการในรูปแบบไตร
ภาคีหรือไม่ เมื่อได้ข้อยุติแล้ว ให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวหารือกับคณะกรรมการประกันสังคมก่อน  แล้วนำเสนอ
คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี   คณะที่  5   ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี  (นายกร   ทัพพะรังสี)  เป็น
ประธานพิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์เฉพาะกิจเพื่อ
ช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง ระหว่างวันที่  17  มีนาคม - 17 เมษายน 
2546  สรุปดังนี้  (1)  ศูนย์เฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือแรงงานไทย ฯ  ได้ประสานการอำนวยความสะดวกแก่แรงงาน
ไทยที่เดินทางกลับประเทศไทย และตอบข้อซักถามของญาติพี่น้องแรงงานไทย  รวม 1,128 ราย  (2)  ผู้บริหาร
ระดับสูงของกระทรวงแรงงานได้เดินทางไปเยี่ยมเยียนให้คำแนะนำชี้แจงแก่หัวหน้ากลุ่มคนไทยและแรงงานไทยใน
ตะวันออกกลาง      รวมทั้งได้หารือเงื่อนไขมาตรการและแนวปฏิบัติในการอพยพแรงงานไทยและได้ประสานการ
อำนวยความสะดวกแก่แรงงานไทย รวม 12 ครั้ง จำนวน 341 คน จำแนกเป็นแรงงานไทย 316 คน นักศึกษา 22
คน คนไทยที่ติดตามญาติกลับประเทศไทย 3 คน (3) แรงงานไทยที่อพยพกลับจากตะวันออกกลาง ระหว่างวันที่
20 มีนาคม - 12 เมษายน 2546  จำนวน  316  คน  ได้แจ้งขอรับความช่วยเหลือจากกระทรวงแรงงาน  จำนวน
249 คน  และ  (4)  สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยุติลงสภาพการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว กระทรวง
แรงงานได้สั่งปิดศูนย์เฉพาะกิจ ฯ และได้เร่งรัดให้กรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงานติดตามช่วยเหลือ
แรงงานไทยในด้านการกลับไปทำงานในต่างประเทศ  การประกอบอาชีพและการฝึกอาชีพเพิ่มเติม   ทั้งนี้   จาก
สถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางครั้งนี้ไม่มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด