ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 111 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 2201 - 2220 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2201 | ผลการเยือนลังกาวีของนายกรัฐมนตรี (วันที่ 27 - 28 กรกฎาคม 2546) | คค | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลความคืบหน้าจากการเยือนลังกาวีของ
นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2546 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงคมนาคม โดยมีผลความคืบ หน้า/สถานะล่าสุดของโครงการต่าง ๆ ดังนี้ (1) โครงการก่อสร้างถนนจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส ที่ประชุม IMT- GT ระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม-3 เมษายน 2546 ณ เมืองคะง่า รัฐเปอร์ ลิส ประเทศมาเลเซีย ได้รับทราบเหตุผลความจำเป็นที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องเลือกเส้นทางวังเกลียน-วังประจัน เพื่อ เชื่อมต่อระหว่างสตูล-เปอร์ลิส และเห็นชอบให้ประเทศไทยและมาเลเซียได้หารือเกี่ยวกับการก่อสร้างเส้นทางดัง กล่าวในระดับทวิภาคีต่อไป ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาของฝ่ายมาเลเซียเกี่ยวกับการก่อสร้างเส้นทาง วังเกลียน-วังประจัน เป็นเส้นทางใหม่ทดแทนเส้นทางสตูล-เปอร์ลิสเดิม (2) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่ น้ำโกลก ที่บ้านบูเก๊ะตา กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้มีหนังสือสอบถามไป ยัง Economic planning Unit (EPU) ของมาเลเซีย เพื่อขอให้แจ้งความชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีของมาเลเซียต่อการ ดำเนินการโครงการนี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเกี่ยวกับท่าทีที่ชัดเจนของมาเลเซีย (3) ความร่วม มือในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามแดน ที่ประชุมคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงบันทึก ความเข้าใจ ว่าด้วยการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่ายผ่านแดนโดยทางถนนจากประเทศไทยผ่านมาเลเซียไปยังสิงคโปร์ ได้เห็นชอบให้จัดทำร่างความตกลงฉบับใหม่ เรียกว่า ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ รัฐบาลมาเลเซียว่าด้วยการขนส่งสินค้าผ่านแดนโดยทางถนน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบร่างความ ตกลง ฯ และได้จัดส่งร่างความตกลง ฯ ไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดส่งให้ฝ่ายมาเลเซียพิจารณาต่อไป (4) การเชื่อมโยงด้านการบิน และสายการบินราคาถูก กระทรวงคมนาคมได้อนุญาตให้บริษัท แอร์เอเชีย เอวิเอ ชั่น จำกัด ประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศแบบประจำภายในประเทศและระหว่างประเทศ และแบบไม่ ประจำ เพื่อขนส่งผู้โดยสาร สินค้า และไปรษณีย์ภัณฑ์ โดยมีเส้นทางบินประจำภายในประเทศ 5 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพ ฯ-เชียงใหม่ และกลับ กรุงเทพ ฯ-ภูเก็ต และกลับ กรุงเทพ ฯ-หาดใหญ่ และกลับ กรุงเทพ ฯ-ขอนแก่น และกลับ และกรุงเทพ ฯ-นครราชสีมา และกลับ และเส้นทางประจำระหว่างประเทศ 2 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพ ฯ -สิงคโปร์ และกลับ และกรุงเทพ ฯ-พนมเปญ และกลับ โดยบริษัท ฯ มีแผนที่เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2547 และ มีนโยบายที่จะกำหนดอัตราค่าโดยสารต่ำกว่าอัตราค่าโดยสารที่สายการบินทั่วปประกาศไว้เฉลี่ยประมาณ 20- 80% และ (5) การกำหนดอัตราภาษีจดทะเบียนรถขนส่งสินค้าผ่านแดน มาเลเซียได้ยกประเด็นเกี่ยวกับการ กำหนดอัตราภาษีจดทะเบียนรถบรรทุกขนส่งสินค้าสูงของไทย ส่งผลให้ผู้ประกอบการของมาเลเซียไม่สามารถ จดทะเบียนรถขนส่งสินค้าผ่านแดนได้ โดยเข้าใจว่ารถดังกล่าวเป็นรถที่ผู้ประกอบการขนส่งมาเลเซียได้นำมา ประกอบการขนส่งในประเทศไทยโดยจดทะเบียนรถในนามของนิติบุคคลไทย ซึ่งไม่ได้รับการยกเว้นภาษีศุลกา กรในการนำรถเข้า จึงทำให้ผู้ประกอบการมาเลเซียต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย จึงเห็นควรให้มีการประสาน กับศุลกากรต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2202 | งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ (16,500 ล้านบาท) | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ประธานคณะกรรมการพิจารณาค่า
ใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศเสนอโครงการที่ขอใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศรวม 2 โครงการ (4 โครงการย่อย) วงเงินรวม 2,373.40 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วม กิจการร่วมทุน หรือลงทุนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของธุรกิจไทย วงเงิน 2,000.00 ล้านบาท ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการเพิ่มทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ วงเงิน 373.40 ล้านบาท ของกระทรวงศึกษาธิการ ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาค่าใช้จ่าย ฯ (16,500 ล้านบาท) และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยในส่วนของโครงการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ และเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนของครู นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลความคืบหน้าของการ ดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้การยกระดับความรู้ การส่งเสริมการเรียนรู้ และเสริมทักษะการใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดในภาพรวมมีความเป็นระบบและเกิดประ สิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับเรื่องนี้ไปร่วม พิจารณากับรองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการการดำเนินการที่ชัดเจน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยอาจพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ (Task Force) ขึ้นเพื่อศึกษา และพิจารณารายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยแนวทางการให้ทุนสนับสนุนการศึกษาเกี่ยวกับภาษา อังกฤษอาจกำหนดให้ผู้รับทุนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งนอกเหนือจากที่ภาครัฐเป็นผู้ออกให้ด้วย เพื่อให้ผู้ รับทุนตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ามากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||
2203 | การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
และเห็นชอบรายงานผลการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาเกี่ยวกับรายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาคสืบเนื่องจากการพัฒนาระบบราชการ โดยให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป สำหรับมติของ คกก.7 ได้ให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอแนว ทางการแก้ไขปัญหาการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค ภายหลังการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ในกรณี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมติ ก.พ.ร. และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. รับไปพิจารณาร่วมกันเพื่อดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว โดยคำนึงถึงการประสานงานกับผู้ว่าราชการ จังหวัดในระบบการบริหารราชการจังหวัดแบบบูรณาการ ทั้งนี้ อาจพิจารณาให้สถาบันการศึกษาในท้องถิ่นเช่น สถาบันราชภัฏหรือวิทยาลัยเกษตรกรรมเข้าร่วมพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและค่าใช้ จ่ายบุคคลภาครัฐ สำหรับกรณีของกระทรวงการคลังได้ทดลองและเริ่มปฏิบัติมาระยะหนึ่งแล้ว หากปรับเปลี่ยน ให้กลับไปสู่ระบบเดิมอาจเกิดปัญหาได้ และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางที่จะมี CFO (Chief Financial Officer) เป็นศูนย์กลางบริหารงานการเงินของจังหวัด รวมทั้งรัฐบาลมีดำริที่จะพิจารณาทบทวนโครงสร้างของ กระทรวงการคลังเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบใหม่ ในชั้นนี้จึงเห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประเมิน ผลการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี และในระหว่างนี้ยังมิให้ส่วนราช การอื่นดำเนินการตามแนวทางของกระทรวงการคลังจนกว่าจะทราบผลการประเมินอย่างชัดเจน และเพื่อเป็น การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในการติดต่อขอรับบริการ ในระหว่างนี้ให้กระทรวงการคลังฝาก งานให้หน่วยงานอื่นของรัฐในพื้นที่รับไปปฏิบัติตามความเหมาะสม และให้กระทรวงการคลังใช้ระบบเทคโนโลยี ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาขอรับบริการ รวมทั้งจัดหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่อบริการประชาชนด้วย กับให้กระทรวงการคลังมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการ จังหวัดในการบังคับบัญชาข้าราชการ ตลอดจนการอนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการส่วนกลาง ภายในจังหวัดให้ชัดเจนตามแนวทางที่ ก.พ.ร. เสนอ โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรี (นายสุจริต นันทมนตรี) เป็นประธาน คณะทำงานพิจารณารายละเอียดและแนวทางการมอบอำนาจดังกล่าวร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาด ไทย สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. อีกครั้งหนึ่งเพื่อนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2204 | ขอให้พิจารณาให้ความเห็นชอบผู้ได้รับสิทธิในการดำเนินงานโครงการคลังสินค้า กับโครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคัด
เลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในโครงการคลังสินค้าและโครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวย ความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยให้ WFS-PG Cargo Joint Venture (ประกอบ ด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด และ Worldwide Flight Service Holding S.A.) เป็นผู้ประกอบการโครงการ คลังสินค้ารายที่ 2 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และให้ WFS-PG Ramp Joint Venture (ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด และ Worldwide Flight Service Holding S.A.) เป็นผู้ประกอบการโครงการอุปกรณ์บริการ ภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุงรายที่ 2 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ ให้กระทรวง คมนาคมรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การทำสัญญากับผู้ประกอบการเอกชนที่ ได้รับการคัดเลือกดังกล่าวจะต้องพิจารณากำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนและรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี ที่ผู้ประกอบการเอกชนเสนอผลตอบแทนให้แก่ภาครัฐสูงจะต้องไม่ผลักภาระดังกล่าวไปให้แก่ผู้ใช้บริการโดยการ เพิ่มค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมให้สูงตามไปด้วย และหากผู้ประกอบการดังกล่าวดำเนินงานแล้วก่อให้เกิดความ เสียหายต่อภาพพจน์หรือเกิดความเสียหายต่อประเทศ ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสามารถสั่งให้ดำเนินการ แก้ไขปรับปรุงแสดงความรับผิดชอบ หรือขอยกเลิกสัญญาที่ทำไว้ได้ตามแต่กรณี
|
|||||||||||||||||||||||||||
2205 | กระทู้ถามที่ 1050 ร. เรื่อง ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้กรมที่ดิน กรมการปกครอง รัฐวิสาหกิจทุกแห่งเตรียมการรองรับผลประโยชน์ที่จะได้รับและศึกษาผลดีผลเสียของการขุดคอคอดกระ | สผ | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1050 ร. เรื่อง ให้
กระทรวงมหาดไทยสั่งการให้กรมที่ดิน กรมการปกครอง รัฐวิสาหกิจทุกแห่ง เตรียมการรองรับผลประโยชน์ ที่จะได้รับและศึกษาผลดีผลเสียของการขุดคอคอดกระ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การดำเนิน การหรือสั่งการใด ๆ เกี่ยวกับการขุดคลองกระของกระทรวงมหาดไทย นั้น จะต้องรอรายงานผลการศึกษา และผลความก้าวหน้าในการศึกษาในขั้นสมบูรณ์ของคณะกรรมการแห่งชาติ ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุด คลองกระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมก่อน โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทยมีปลัดกระทรวง มหาดไทยเข้าร่วมเป็นกรรมการในการศึกษาอยู่แล้ว ส่วนการสนับสนุนของหน่วยงานในการขุดคลองกระ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติ ฯ ที่สามารถขอความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและ ภาคเอกชนได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้ให้การสนับสนุนการศึกษาความเป็นไปได้ ใน ขั้นสมบูรณ์ของโครงการ ฯ โดยปลัดกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วมเป็นกรรมการของคณะกรรมการแห่งชาติ ฯ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ฯ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขุดคลองกระ ให้ใช้จากองค์การภาคเอกชน ส่วนเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร ค่าที่พัก และค่าเดินทางของคณะกรรมการ ฯ ให้เบิกจ่ายจากสำนักนายกรัฐมนตรีตามความจำเป็น |
|||||||||||||||||||||||||||
2206 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 | ทส | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำ
บาดาล พ.ศ. 2520 ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยเห็นว่า การลดปริมาณการ ใช้น้ำบาดาล โดยเฉพาะในเขตวิกฤตน้ำบาดาลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ควรเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดผลโดยเร็วแต่ โดยที่การกำหนดอัตราค่าอนุรักษ์น้ำบาดาลจะส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการของผู้ประกอบการ และโรง งานอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งจะต้องมีมาตรการจูงใจให้มีการใช้น้ำผิวดินทดแทนเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม การประปา นครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณา ดังนี้ อัตราค่าน้ำบาดาลเพื่อการอุปโภคบริโภคของประชาชนทั่วไปในเขตที่ไม่มีระบบประปาผิวดิน หากกำหนด ไว้สูงเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้น้ำได้รับความเดือดร้อน และอัตราค่าน้ำบาดาลสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม หรือผู้ ประกอบการในเชิงพาณิชย์ กรณีที่เป็นเขตที่มีระบบประปาผิวดินแล้ว หากกำหนดไว้ต่ำหรือกำหนดเวลาปรับ ราคาเพิ่มขึ้นไว้ยาวนานเกินไปจะไม่เป็นการจูงใจ และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากนี้ ควรมีมาตรการตรวจ สอบเครื่องวัดปริมาณน้ำให้ถูกต้อง และตรงตามข้อเท็จจริง แล้วนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2207 | โครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล | ศธ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอสรุปผลการดำเนินงานโครงการเขียนเรียง
ความสำหรับเด็กและเยาวชนเพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งมีผู้ส่งเรียงความเข้ามารับขอทุน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 422,124 ฉบับ โดยจังหวัดที่ส่งมาก 5 ลำดับแรก คือ นครราชสีมา เชียงใหม่ อุบลราช ธานี ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ส่วนจังหวัดที่ส่งน้อย 5 ลำดับแรก คือ ภูเก็ต สมุทรสงคราม สมุทรสาคร พังงา และระนอง และยังมีพระภิษุกและสามเณรส่งเรียงความเข้ามาอีก จำนวน 2,316 ฉบับ รวมทั้งยังมีเรียงความอีก จำนวน 19,592 ฉบับ ที่ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ สำหรับผลการพิจารณากลั่นกรอง ใช้นิสิต/นัก ศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษา โรงเรียนอาชีวศึกษา และโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวนประมาณ 800 คน เป็นผู้ พิจารณากลั่นกรองคัดเลือกในเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ โดยจ่ายเบี้ยเลี้ยงวันละ 250 บาท/คน ใช้เวลา 20 วัน รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและตรวจเรียงความ จำนวนทั้งสิ้น 8,600,000 บาท ทั้งนี้ การพิจารณาจัดสรร ให้ทุนการศึกษาแก่ผู้ยากจน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จำนวน 25,367 ทุน เป็นกลุ่มที่จำเป็นต้องให้ ความช่วยเหลือเร่งด่วนก่อน โดยพิจารณาคัดเลือกผู้ที่ต้องทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว บิดาและ/ หรือมารดา เสียชีวิตหรือต้องโทษหรือติดเชื้อเอดส์ ถูกทอดทิ้งโดยไม่มีผู้อุปการะ ซึ่งได้ประกาศผลให้ทุนการ ศึกษาในกลุ่มนี้แล้วในวันที่ 27 ตุลาคม 2546 จำแนกตามระดับชั้น ดังนี้ ระดับประถมศึกษา จำนวน 14,697 ทุน เป็นเงิน 88,182,000 บาท ระดับมัธยมศึกษา จำนวน 7,674 ทุน เป็นเงิน 76,740,000 บาท ระดับ อาชีวศึกษา จำนวน 1,833 ทุน เป็นเงิน 36,660,000 บาท ระดับอุดมศึกษา จำนวน 1,146 ทุน เป็นเงิน 22,920,000 บาท และการศึกษาวิชาชีพ จำนวน 17 ทุน เป็นเงิน 85,000 บาท กลุ่มที่ 2 จำนวน 39,512 ทุน เป็นกลุ่มที่ยากจนปานกลาง พิจารณาจากสถานภาพและรายได้ของบิดามารดา และความประพฤติของผู้เขียน เรียงความ และกลุ่มที่ 3 จำนวน 357,245 ทุน เป็นกลุ่มที่มีฐานะยากจน ระดับรองลงมา เห็นควรได้รับค่าเขียน เรียงความ โดยทั้งสองกลุ่มกระทรวงศึกษากำลังประมวลข้อมูลของเรียงความ ตลอดจนงบประมาณที่จะต้องใช้ เสนอต่อคณะกรรมการ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่าการพิจารณาคัดเลือกเรียงความเพื่อมอบทุนการศึกษา ให้แก่เด็กและเยาวชนดังกล่าว นั้น ควรถือเอาเนื้อหาสาระ และข้อเท็จจริงของเรียงความเป็นหลักเกณฑ์ในการ พิจารณาให้ทุนเป็นสำคัญ โดยมิควรนำเอาจำนวนทุนที่ได้ตั้งเป้าไว้มาเป็นข้อจำกัด เพื่อให้เด็กและเยาวชนที่ ประสบความเดือดร้อนจริงได้รับทุนช่วยเหลือทางการศึกษาอย่างทั่วถึงมากที่สุด จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นาย จาตุรนต์ ฉายแสง) และกระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตดังกล่าวไปเป็นแนวทางในการดำเนินการโครงการดัง กล่าวต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
2208 | การขอรับการสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนไทย ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย | ศธ | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นทุน
การศึกษาให้แก่นักศึกษาไทย ณ ประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย จำนวน 45 คน เป็นเงินประมาณ 11,340,000 บาท ต่อปี ทั้งนี้ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษา ธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ถึงความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการเบิก จ่ายเงินดังกล่าวจากเงินรายได้โครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ของสำนักงานสลากกินแบ่ง รัฐบาลต่อไป รวมทั้งความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการรวมเรื่องการให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยดังกล่าว เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการคัดเลือกนักเรียนไทยเพื่อรับทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติในวัน นี้ (14 ตุลาคม 2546) เรื่อง การพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีความสามารถพิเศษและทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนา ประเทศที่ได้รับมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปดำเนินการแล้วหากผลการพิจารณา เป็นประการใด ก็ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
2209 | การกำหนดเงินสมนาคุณคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ | วท | 14/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 เกี่ยว
กับข้อเสนอของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการกำหนดเงินสมนาคุณคณะกรรมการมาตรวิทยา แห่งชาติ โดยให้ชะลอการพิจารณาไว้ก่อน และให้รอผลการพิจารณาปรับปรุงอัตราเบี้ยประชุม เงินสมนาคุณและ ประโยชน์ตอบแทนของคณะกรรมการ ให้สอดคล้องกันทั้งระบบของกระทรวงการคลัง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 13 สิงหาคม 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
2210 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ คณะที่ 1 เรื่อ ขอต่ออายุสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี (องค์การแบตเตอรี่) | กห | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอให้องค์การแบตเตอรี่กู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร
กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ภายในวงเงิน 30 ล้านบาท ต่อไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2546 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน และให้องค์การแบตเตอรี่รับความเห็นของกระทรวง การคลัง ที่เห็นควรให้เร่งปรับปรุงการบริการสินค้าคงเหลือ และลูกหนี้การค้าให้สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดเร็วขึ้น เพื่อให้มีเงินสดเพียงพอเพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินการได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากภายนอกองค์กร ซึ่ง จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยเงินกู้ลงได้ ไปดำเนินการด้วย และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรี พิทักษ์) รับไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ถึงแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างการดำเนินงาน และการบริหารจัดการขององค์การแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิ ภาพ ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น หากจำเป็นต้องโอนขายให้เอกชน (Privatize) ก็ให้กระทำได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
2211 | สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | คค | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการพิจารณาแนวทางการเพิ่มแหล่ง
จำหน่ายสินค้า (Outlet) โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของกรมทางหลวง รวม 33 แห่ง และการดำเนิน โครงการสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และให้หน่วย งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการและการจัดจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เช่น สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น นำข้อมูลตามที่กระทรวง คมนาคมรายงานไปใช้ประโยชน์และประสานการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ มีแหล่งจำหน่ายที่แพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2212 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ถูกยกเลิกโดย ว184/2549) | อส | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่มีมติอนุมัติ
และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่ง ของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยอนุมัติแต่งตั้งอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอัยการสูงสุด และอัยการพิเศษฝ่าย การยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ ฯ และ เห็นชอบผลการพิจารณาตัดสินชี้ขาดของคณะกรรมการ ฯ ที่ได้พิจารณาเสร็จแล้ว รวมทั้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และส่วนราชการอื่น ๆ รับข้อสังเกตของคณะกรรมการ ฯ ไปดำเนินการดังนี้ ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (4 พฤศจิกายน 2540) ที่มีมติแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ กรณีที่ส่วนราชการมีความเห็นแย้งกับพนัก งานอัยการในการดำเนินคดีแพ่ง เมื่ออัยการสูงสุดวินิจฉัยชี้ขาดตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนิน คดีแพ่งของพนักงานอัยการสูงสุด พ.ศ. 2538 ข้อ 24 ให้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการ ฯ เป็นผู้พิจารณาชี้ขาดแล้ว เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป พบว่า กรณีพิพาทจำนวนมาก หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งมายังสำนักงานอัยการสูงสุดหลัง จากคดีขาดอายุความแล้ว ทำให้ไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ ซึ่งถ้าหากได้มีการแจ้งเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ของหน่วย งานเจ้าของเรื่องรีบส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่คดีจะขาดอายุความ ก็จะสามารถป้องกัน ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทางราชการได้ และในกรณีที่กระทรวงการคลังได้วางแนวปฏิบัติในการพิจารณาคดีว่า คดีขาดอายุความ หรือไม่ขอให้ศาลเป็นผู้พิจารณาชี้ขาด อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นว่า บางคดีแม้คดีจะขาดอายุความ แล้ว หน่วยงานของรัฐก็ยังยืนยันให้พนักงานอัยการดำเนินคดีให้ทั้งที่เห็นได้ล่วงหน้าว่า หากดำเนินคดีต่อไปก็มีแต่ จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ กล่าวคือ เสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา และเสียกำลังคนในการปฏิบัติงานโดย เปล่าประโยชน์ อีกทั้งการดำเนินคดีของรัฐไม่ควรดำเนินการในลักษณะที่เอารัดเอาเปรียบเอกชนด้วยการคาดหวัง ว่า เอกชนอาจไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้คดีเพราะความไม่รู้กฎหมายหรือความหลงลืม หรืออาจขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัดพิจารณา อาจมีผลให้การอำนวยความยุติธรรมของรัฐขาดความน่าเชื่อถือได้ และการวางแนวปฏิบัติ ที่ว่า นอกจากคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 และมาตรา 248 ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้ส่วนราชการเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือพิพากษาให้ส่วนราชการชนะคดีไม่ เต็มตามฟ้อง ให้ส่วนราชการเจ้าของคดีอุทธรณ์หรือฎีกาไปก่อนทุกเรื่อง แล้วรายงานให้กระทรวงการคลังทราบ โดยด่วน หากกระทรวงการคลังเห็นสมควรยุติได้จะแจ้งให้ถอนอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป ระเบียบปฏิบัติดังกล่าวอาจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ เพราะบางคดีแม้จะอุทธรณ์ฎีกาต่อไปก็ยากที่จะชนะคดีได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
2213 | การเสนอเรื่องที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการระดับชาติแล้วต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติใน
การเสนอเรื่องที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการบางคณะซึ่งนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับ มอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วยแล้ว ให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องเพื่อทราบ และถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติ หรือเห็นชอบตามผลการพิจารณาของคณะ กรรมการนั้น ๆ เนื่องจากมติคณะกรรมการดังกล่าวบางเรื่องมีความสำคัญ ประกอบกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอาจ ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการทุกครั้งและทุกเรื่องด้วยตนเอง ดังนั้น เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณา เรื่องในลักษณะดังกล่าวได้อย่างละเอียดรอบคอบ สมควรกำหนดเป็นหลักการว่า เรื่องใดที่ได้ผ่านการพิจารณา ของคณะกรรมการดังกล่าวมาแล้ว หากเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เช่น เป็นเรื่องที่มีผลกระทบสูง ใช้งบประมาณ จำนวนมากมีระยะเวลาดำเนินการยาวนาน หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายจากเดิม หรือมีประเด็นเป็น การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องนั้นเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่อง พิจารณา
|
|||||||||||||||||||||||||||
2214 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 | สผ | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
รับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ
การศึกษา (สมศ.) (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ ฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีข้อสังเกตว่า การพัฒนาระบบประกัน คุณภาพทั้งภายในและภายนอก ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยขาดความเชื่อมโยงของระบบประกันคุณภาพภายใน คุณภาพภายนอก การศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษา ระบบประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน รวมทั้งท้องถิ่น ขาด มาตรฐานกลาง ความสอดคล้องและความยืดหยุ่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ผู้ประเมินภายนอกอยู่ในวงจำกัด ขาด หลักการที่ชัดเจนของการจัดผู้ประเมินภายนอก และยังไม่มีความชัดเจนของการประกันคุณภาพของการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันของการประกันคุณภาพ จึงเห็น ควรปรับปรุงระบบหลักเกณฑ์และวีธีการประกันคุณภาพตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นไปตามมาตรา 47 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้มีความเชื่อมโยงทั้งระบบประกันคุณภาพภายในและ ภายนอกและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานกับระดับอุดมศึกษาควรกำหนดมาตรฐานการศึกษาและตัวบ่งชี้ของการ ศึกษาทั้งระดับขั้นพื้นฐานและอุดมศึกษาต่างสังกัด ให้มีการยืดหยุ่นและเหมาะสมกับท้องถิ่นและให้มีมาตรฐาน กลางซึ่งสะท้อนคุณภาพที่แท้จริง สำหรับองค์ประกอบของคณะผู้ประเมินภายนอกควรมีความหลากหลายและมี ความเป็นผู้แทนภาคประชาชน ตัวแทนชุมชน และผู้ปกครอง ทั้งนี้ แจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2215 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองประจำปี 2545 | ศป | 02/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานศาลปกครองรายงานผลการปฏิบัติงานของศาลปกครอง
และสำนักงานศาลปกครองประจำปี พ.ศ. 2545 โดยผลการปฏิบัติงานของศาลปกครอง ได้แก่ การเปิดที่ทำ การศาลปกครอง ซึ่งได้มีการเปิดทำการศาลปกครองในภูมิภาครวม 2 แห่ง คือ ศาลปกครองขอนแก่น และศาล ปกครองพิษณุโลก ส่วนการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลปกครองชั้นต้นมีคดีอยู่ในความรับผิดชอบจำนวน 7,571 คดี พิจารณาแล้วเสร็จ 3,327 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 4,244 คดี ศาลปกครองสูงสุด มีปริมาณคดีที่รับผิด ชอบทั้งสิ้น 1,207 คดี พิจารณาพิพากษาคดีจนแล้วเสร็จรวม 689 คดี อยู่ระหว่างพิจารณา 518 คดี สำหรับ ผลการปฏิบัติงานของสำนักงานศาลปกครอง ในการจัดหาที่ทำการศาลปกครองได้มีการจัดเตรียมความพร้อม การก่อสร้างอาคารที่ทำการถาวรศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง และสำนักงานศาลปกครอง ที่บริเวณ ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ บริเวณ Zone A Block A1 และได้ประสานเพื่อขอใช้ที่ดินของ ทางราชการในการก่อสร้างอาคารที่ทำการถาวรของศาลปกครองในภูมิภาครวม 10 จังหวัด และได้จัดทำราย งานการวิเคราะห์เหตุแห่งการฟ้องคดีปกครอง โดยพิจารณาจากประเภทคดีที่มีปริมาณการฟ้องจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งการวิเคราะห์จะได้นำเสนอถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี บรรทัดฐานจากคำพิพากษา หรือคำสั่ง ของศาลปกครอง และข้อเสนอแนะเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดข้อ พิพาทที่จะนำมาสู่ศาลปกครอง นอกจากนี้ สำนักงานศาลปกครองได้สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน โดยการเผยแพร่ผลการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองเป็นระยะ ในรูปของข่าวแจก (Press Release) ทางสื่อต่าง ๆ และได้จัดให้มีศูนย์ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้บริการข้อมูลข่าวสารประเภท คำสั่ง คำพิพากษาของ ศาลปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนพระราชบัญญัติระเบียบ ประกาศของศาลปกครอง และ สำนักงานศาลปกครองที่ตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา และข้อมูลข่าวสารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ผ่านเว็บไซต์ของศาลปกครอง (www.adminicourt.go.th) หรือสายด่วนศาลปกครอง หมายเลข 1355 |
|||||||||||||||||||||||||||
2216 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นโยบายการพัฒนาการประมงแห่งชาติ พ.ศ. 2545 - 2549) | นร | 02/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอ
แนะของสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาการประมงแห่งชาติ (พ.ศ. 2545-2549) และให้กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการ เสนอสภาที่ปรึกษาฯ และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบด้วย ทั้งนี้ ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย (1) นโยบายพัฒนาเกษตรกรประมงและองค์กรที่เกี่ยวข้อง โดยใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงและ สมดุลธรรมชาติ เป็นบรรทัดฐานกำหนดแผนงานและเป้าหมาย (2) ยกเลิกการใช้เครื่องมืออวนรุนทำการ ประมงในประเทศไทย ตามสภาพความพร้อมของท้องถิ่น (3) เร่งรัดปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 กฎหมายระเบียบและข้อบังคับอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย (4) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างตัว แทนชาวประมง นักวิชาการ หน่วยงานราชการ เพื่อทบทวนนโยบายการประมง (5) ยกเลิกเครื่องมือทำการ ประมงที่ทำลายล้างลูกปลาวัยอ่อน และลูกปลาขนาดเล็กที่ยังไม่โตเต็มที่ (6) ดำเนินการศึกษาทดลองวิจัย เรื่องต่าง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญทางด้านการประมงในท้องถิ่น (7) ทบทวนแผนการพัฒนาทะเลสาบสงขลาและ แผนการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งและแหล่งน้ำจืดที่สำคัญทั่วประเทศตามแผนแม่บทของจังหวัด (8) ให้มีการผลิต บัณฑิตในสาขาวิชาชีววิทยาประมง การจัดการทรัพยากรประมง การบริหารจัดการกองเรือประมงทะเลและ ประมงน้ำลึก (หลักสูตรผู้จัดการกองเรือ) รวมทั้งการผลิตช่างเทคนิคต่าง ๆ สำหรับเรือประมงขนาดใหญ่ให้ เพียงพอกับความต้องการของหน่วยงานภาคเอกชนภาครัฐและโครงการที่เกี่ยวข้อง (9) พัฒนาให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางตลาดปลาสวยงามและพรรณไม้น้ำของภูมิภาค (10) ปรับปรุงและพัฒนาให้มีท่าเทียบเรือประ มงน้ำลึกที่ได้มาตรฐาน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริหารจัดการที่ครบวงจร และ (11) ส่งเสริม และสนับสนุนให้มีการจัดหาเรือโดยเฉพาะเรือทำประมงปลาทูน่า แหล่งเงินทุน และจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนา การประมงนอกน่านน้ำไทย โดยให้องค์กรประมงที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการ |
|||||||||||||||||||||||||||
2217 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. .... | ศธ | 02/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
มติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้งหลักการเพิ่มเติมที่ให้รวมกลุ่มวิทยาเขตในแต่ละภูมิภาคจัดตั้งเป็นมหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รวม 9 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคกลาง มหาวิทยาลัยเทค โนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออก มหาวิทยาลัยเทค โนโลยีราชมงคลภาคพายัพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโล ยีราชมงคลภาคใต้ โดยแต่ละแห่งมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอมีหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้อง กับนโยบายและทิศทางการศึกษาของชาติ และโดยที่ได้มีการตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษาตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ขึ้นแล้ว จึงเห็นควรให้ส่งร่างพระราชบัญญัติ ฯ และหลัก การเพิ่มเติมดังกล่าวไปเพื่อคณะกรรมการสภาการศึกษาพิจารณาทบทวนร่วมกับส่วนราชการและองค์กรต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง โดยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ วัตถุประสงค์สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลที่จัดตั้ง ขึ้นโดยรวมวิทยาเขตต่าง ๆ ที่จัดการเรียนการสอนด้านอาชีพเทคนิค มากกว่าด้านวิชาการ หากจะให้มีฐานะเป็น สถาบันการศึกษาที่อยู่ภายใต้คณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อให้ผู้สำเร็จทางอาชีวศึกษาได้มีโอกาสศึกษาต่อใน ด้านวิชาชีพชั้นสูงยิ่งขึ้นต่อไปได้เช่นเดียวกับระบบการศึกษาทางด้านอาชีวศึกษาของประเทศยุโรป ซึ่งผู้สำเร็จการ ศึกษาจะได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงที่มีเกียรติ ค่าตอบแทน และศักดิ์ศรีไม่น้อยกว่าระดับปริญญาจะเหมาะ สมหรือไม่ ส่วนร่างพระราชบัญญัติสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิ การวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีประเด็นที่สมควรพิจารณาทำนองเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. .... ให้นำมาพิจารณาทบทวนในคราวเดียวกันด้วยเพื่อที่จะได้มีนโยบายและแนวทางจัด การศึกษาอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในการพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติ ฯ และ หลักการเพิ่มเติมดังกล่าว หากผลการพิจารณาทบทวนมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้ หากไม่เห็นชอบด้วยหรือมีความเห็นเป็นประการอื่นให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2218 | ผลการพิจารณาการขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบกลาง ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการปรับโครงสร้างภาคการผลิตทางการเกษตร (เกษตรอินทรีย์นำร่องของจังหวัดสุรินทร์ แบบครบวงจร) | กษ | 26/08/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอผลการพิจารณาการขออนุมัติเบิกจ่าย
เงินงบกลาง ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โครงการปรับโครงสร้างภาคการผลิตทางการเกษตร (เกษตร อินทรีย์นำร่องของจังหวัดสุรินทร์ แบบครบวงจร) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ เกิดการบูรณาการและประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานของรัฐ และองค์กรเกษตรกร ในการส่งเสริมการ เกษตรอินทรีย์ของจังหวัดสุรินทร์ให้ได้มาตรฐานสากล และนำไปสู่ผลประโยชน์ของเกษตรกร กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ เห็นควรให้สหกรณ์การเกษตรเพื่อกลุ่มเกษตรกรสุรินทร์ จำกัด ซึ่งมีสถานภาพเป็นนิติบุคคล นำเสนอ รายละเอียดโครงการ ฯ ที่จะขอรับการสนับสนุนเงินลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทางธุรกิจเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในระดับจังหวัด ของจังหวัดสุรินทร์ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
2219 | แนวทางการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน | นร | 26/08/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง แนวทางการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจ ยุทธ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เสนอว่า เรื่องที่เสนอมานี้มีรายละเอียดมาก สมควรที่จะให้รองนายก รัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงให้เลื่อนไปพิจารณาในวันอังคารที่ 9 กันยายน 2546 และโดยที่ในขณะนี้มีหลายหน่วยงานกำลังดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยง กันกับข้อเสนอในเรื่องดังกล่าวอยู่ด้วย เช่น การร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ การแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งที่เกิดจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และการปรับปรุงวิธีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และเพื่อให้การพิจารณาเรื่องนี้เป็นไปอย่างเหมาะสม รอบคอบ จึงมอบให้รองนายก รัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำผลการพิจารณาดัง กล่าวเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
2220 | การซ่อมบำรุงถนนสายกรุงเทพฯ - นครนายก และกรุงเทพฯ - หัวหิน | คค | 26/08/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง รายงานผลการพิจารณาดำเนิน
การเรื่อง การซ่อมบำรุงถนนสายกรุงเทพ ฯ - นครนายก และกรุงเทพ ฯ - หัวหิน ว่า ได้บรรจุสายงานดังกล่าว ไว้ในแผนงานบำรุงทางตามกำหนดเวลา งานบำรุงพิเศษและบูรณะงานฉุกเฉิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ขณะนี้อยู่ระหว่างรออนุมัติงบประมาณจากสำนักงบประมาณ |
.....