ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 81 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 1601 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. 2553 พ.ศ. .... | พณ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๓ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานงานในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและสอดคล้องกับสถานการณ์ของการปฏิบัติงานในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรระบุเหตุผลของการยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประสานในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๓ ว่าเพื่อไม่ให้การดำเนินงานในภารกิจเดียวซ้ำซ้อนโดยคณะกรรมการสองคณะ
และควรตัดการระบุ “ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๓”
เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการกำหนดบทยกเลิกกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | ขออนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 ในการเปลี่ยนแปลงหน่วยรับการสนับสนุนงบประมาณการดำเนินโครงการ "สานใจไทย สู่ใจใต้" จากมูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็น มูลนิธิ "สานใจไทย สู่ใจใต้" | นร.52 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิรัฐบุรุษ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป เปลี่ยนเป็น เห็นชอบในหลักการสนับสนุนการขับเคลื่อนโครงการ “สานใจไทย
สู่ใจใต้” และเห็นชอบให้ ศอ.บต. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เป็นเงินอุดหนุนให้แก่มูลนิธิ “สานใจไทย สู่ใจใต้” ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๐๘๒,๐๐๐ บาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เสนอ ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้ ศอ.บต.
ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 | นร.01 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๙๘,๕๐๓,๗๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)
มาประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ ประเทศไทย
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 | กษ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย
ปี ๒๕๖๗ กรอบวงเงิน ๒,๕๕๓,๐๐๙,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๓๐๕
ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๗)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 พ.ศ. .... | สธ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการอนุญาตจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท
๒ หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท ๒ พ.ศ. ....
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท ๒ หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท
๒ และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สมัยพิเศษ และการประชุมครอบครัวแห่งเอเชีย (Special AFC-AMMSWD Meeting) | พม. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ดังนี้
๑.๑
เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา
สมัยพิเศษ เรื่อง
“ความร่วมมือเพื่อความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานภาพของครอบครัวในประเทศสมาชิกอาเซียน
(Joint
Statement of the Special ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and
Development “Collaboration on Understanding the State of ASEAN Families”) โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการตระหนักรู้ถึงการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรในระดับภูมิภาคอาเซียน
การสนับสนุนให้ประเทศอาเซียนได้ปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางประชากร
โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ครอบครัวอาเซียนผ่านวิธีการต่าง
ๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวโน้ม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวอาเซียน
การส่งเสริมการวิจัยที่เน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
และการสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกับหุ้นส่วนนักวิจัยในระดับภูมิภาคอาเซียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับสถานะของครอบครัวอาเซียนในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
๑.๒
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา
สมัยพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือเพื่อความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับสถานภาพของครอบครัวในประเทศสมาชิกอาเซียน
(Joint
Statement of the Special ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and
Development “Collaboration on Understanding the State of ASEAN Families”) และการประชุมครอบครัวแห่งเอเชีย (Special AFC-AMMSWD Meeting) ให้การรับรอง (adopt) ร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในวันอังคารที่
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสถิติแห่งชาติที่เห็นควรมีการสร้างข้อตกลงในเรื่องการแบ่งปันข้อมูล
โดยคำนึงถึงหลักการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy Principles) และควรมีการเตรียมกลไกสำหรับการให้ข้อมูลและความคิดเห็นอย่างต่อเนื่องในช่วงการทบทวนข้อกำหนด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | รัฐบาลมาเลเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งมาเลเซียประจำประเทศไทย (ดาโตะ กาเนซน ซีวากูรูนาทัน) | กต. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลุูกจ้างออกงานหรือตาย พ.ศ. .... | รง. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. ....
ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบที่จะต้องส่งให้แก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดกลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับนายจ้างจัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกงานหรือตาย
พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้าง
รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่ต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
โดยให้แก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับดังกล่าว
ในส่วนของวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและวันใช้บังคบให้เป็นไปตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี
ดังนี้
๑.๑ แก้ไขวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบฯ
ในร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป” เป็น
“ให้ดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป”
๑.๒
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป”
โดยกำหนดอัตราเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างที่แต่ละฝ่ายจะต้องนำส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
ดังนี้ ๑.๒.๑ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๗๓” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๗๓” ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย)
ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๒๕ ของค่าจ้าง ๑.๒.๒ จาก “ตั้งแต่วันที่ ๑
เมษายน พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๗๓ เป็นต้นไป”
ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้าง
๑.๓
แก้ไขวันใช้บังคับร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย
พ.ศ. .... จาก “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” เป็น “กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘
เป็นต้นไป” ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
ในระยะยาวควรพิจารณาผลกระทบและภาระที่จะเกิดขึ้นกับลูกจ้างและนายจ้างที่ต้องจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้าทั้งกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและกองทุนประกันสังคม
และควรบริหารกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งแนวทางการจัดหารายได้
การบริหารความเสี่ยงกองทุนเพื่อให้กองทุนมีความยั่งยืนในระยะยาว (๒)
ควรคำนึงถึงภาระทางการเงินของนายจ้างที่จะเพิ่มขึ้น
และในกรณีลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
และลูกจ้างมิได้กำหนดบุคคลจะพึงได้รับเงินสะสมและเงินสมทบไว้
ให้เงินสะสมและเงินสมทบ
รวมทั้งดอกผลตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น
ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
ที่กำหนดให้จ่ายเงินจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้แก่บุตร สามี ภรรยา บิดา มารดา
ที่มีชีวิตอยู่คนละส่วนเท่า ๆ กัน (๓) ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
รวม ๓ ฉบับ ไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐ แต่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อลูกจ้างและนายจ้างซึ่งอาจมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้น
เพราะต้องส่งเงินสมทบและเงินสะสมเข้าทั้งกองทุนประกันสังคม และ/หรือกองทุนอื่นๆ
แล้ว รวมถึงส่งผลต่อต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจมีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
ดังนั้น จึงควรศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และ (๔)
ควรจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นในส่วนของการปรับปรุงหรือไม่ปรับปรุงร่างกฎหมายตามผลการรับฟังความคิดเห็น
พร้อมเหตุผล
รวมถึงชี้แจงให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจถึงการกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาศึกษากลไกในการช่วยเหลือและออมเงินของลูกจ้างที่เหมาะสมในระหว่างที่กฎหมายในเรื่องนี้ยังไม่มีผลใช้บังคับ
ว่าควรมีกลไกหลักเพียงกองทุนเดียวดังเช่นในต่างประเทศ อาทิ
ประเทศสิงคโปร์ที่มีกองทุน Central Provident Fund (CPF) เป็นกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียว
หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันมีกองทุนเกี่ยวกับลูกจ้าง ๓ กองทุน ได้แก่
กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง
จึงอาจเป็นภาระสำหรับลูกจ้างและนายจ้างในการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบ
ตามข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓
เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | นายกรัฐมนตรีลาป่วยในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 | นร.05 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีได้ลาป่วยในวันพฤหัสบดีที่
๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 28 | ดศ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์
สมัยที่ ๒๘ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียง/แลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของสหภาพสากลไปรษณีย์
ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ
รวมถึงรายได้หรือเงินอื่นใดของหน่วยงานที่ดำเนินการมีอยู่ในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชนที่ต้องรายงานสถิติข้อมูล พ.ศ. .... | นร.53 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือองค์การเอกชนที่ต้องรายงานสถิติข้อมูล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือองค์การเอกชนประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้ซึ่งได้รับความช่วยเหลือ
ส่งเสริม หรือสนับสนุนจากส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ตามแผนปฏิบัติการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ต้องรายงานสถิติข้อมูลต่อส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่ตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว
เพื่อจัดทำและรับรองสถิติข้อมูลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและจัดส่งให้แก่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เพื่อเก็บรวบรวมไว้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำนโยบายและงบประมาณด้านการส่งเสริม SME ของประเทศ ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ
หารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแบบรายงาน
และรายละเอียดของข้อมูลที่จัดเก็บ เพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มภาระกับหน่วยงาน รวมถึงกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ที่เกี่ยวข้องในการรายงานข้อมูลดังกล่าว และจัดให้มีมาตรการเพื่อกระตุ้นให้กิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (นางลาลีวรรณ กาญจนจารี และนายนิยม เติมศรีสุข) | นร.04 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางลาลีวรรณ กาญจนจารี และนายนิยม
เติมศรีสุข เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ 8 แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) | นร.11 สศช | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะมีการรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำ
ครั้งที่ ๘ แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation Program :
แผนงาน GMS) ได้แก่ ๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ ๘
แผนงาน GMS และ ๒)
ร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๗๓ โดยนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมการประชุมร่วมกับผู้นำประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมทั้ง ๒
ฉบับ โดยไม่มีการลงนาม และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
(นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ
ครั้งที่ ๘ แผนงาน GMS โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการจัดเตรียมแผนปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ การศึกษาเพื่อประเมินและปรับปรุงยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ของแผนงาน GMS การเปิดตัวความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอีกครั้งและขยายระยะเวลาโครงการระยะแรกไปจนถึงสิ้น
พ.ศ. ๒๕๖๙ และการจัดทำแนวทางเชิงกลยุทธ์สำหรับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนงาน GMS
โดยเน้นแนวทางที่ส่งเสริมและขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์สำหรับการหารือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
และร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเร่งรัดกระบวนการที่มุ่งสู่การบรรลุกรอบยุทธศาสตร์แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมให้เกิดระบบนวัตกรรมที่สามารถจัดการกับความท้าทายของอนุภูมิภาคและการสนับสนุนการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่มีพลวัต
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ การประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่
๘ แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ จำนวน ๒ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ มีมติเห็นชอบกรอบการประเมิน ของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนโยบายรัฐบาล
มติคณะรัฐมนตรี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ และแผนระดับอื่น ๆ
ผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด โดยมีรายละเอียดเช่นเดียวกับปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางหัวข้อของกรอบการประเมินฯ ได้แก่
องค์ประกอบการประเมิน กลุ่มเป้าหมายการประเมิน และเกณฑ์การประเมิน ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งพนักงานอื่นเพื่อช่วยเหลือผู้อำนวยการสถานพินิจหรือผู้ดูแล หรือผู้ปกครองสถานที่ที่กำหนดในหมวด 4 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการอนุญาตดำเนินการหรือจัดตั้งสถานศึกษา สถานฝึกและอบรม หรือสถานแนะนำทางจิต พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ยธ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งพนักงานอื่นเพื่อช่วยเหลือผู้อำนวยการสถานพินิจหรือผู้ดูแล
หรือผู้ปกครองสถานที่ที่กำหนดในหมวด ๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดตำแหน่งพนักงานอื่น
เช่น พยาบาล นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพ เจ้าพนักงานอบรมและฝึกวิชาชีพ บรรณารักษ์
พนักงานพินิจ พนักงานพิทักษ์ ฯลฯ (นอกเหนือจากแพทย์ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา
พนักงานคุมประพฤติ นักสังคมสงเคราะห์ ครู) เพื่อช่วยเหลือผู้อำนวยการสถานพินิจตามสมควร
หรือผู้ปกครองสถานที่ในหมวด ๔ เช่น การช่วยเหลือเมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉิน
การก่อเหตุจลาจล กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน
ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าจากเดิมกำหนดตำแหน่งแพทย์
จิตแพทย์ เห็นควรปรับเป็นแพทย์ เนื่องจากจิตแพทย์ถือเป็นแพทย์สาขาหนึ่ง สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรทบทวนการกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานให้มีเฉพาะเท่าที่สำคัญ
จำเป็น และเหมาะสมต่อการปฏิบัติงานในสถานการณ์ฉุกเฉินได้
โดยควรพิจารณาจากหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือลักษณะงานของแต่ละตำแหน่งงานเป็นสำคัญ ๒.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการอนุญาตดำเนินการหรือจัดตั้งสถานศึกษา สถานฝึกและอบรม หรือสถานแนะนำทางจิต
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดการออกใบอนุญาต
และการเพิกถอนใบอนุญาตให้ส่วนราชการดำเนินการ หรือให้เอกชนจัดตั้งสถานศึกษา
สถานฝึกและอบรม หรือสถานแนะนำทางจิตเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน
ซึ่งเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดเป็นจำเลย หรือเป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ลงโทษหรือใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน
ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปไปได้ ๓. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงกลาโหม เห็นควรมีการจัดทำแผนเผชิญเหตุ
รวมถึงแจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบว่าหน่วยอาจถูกขอให้สนับสนุนทางด้านบุคลากรเป็นผู้ช่วยเหลือในการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจต่าง
ๆ ในกรณีที่มีเหตุวิกฤติหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้หน่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ | สธ. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่คณะกรรมการอาหารแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. ศาสตราจารย์พิเศษภักดี โพธิศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านคุณภาพอาหาร ๒. นางอรทัย ศิลปนภาพร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านความปลอดภัยด้านอาหาร ๓. นายยุคล ลิ้มแหลมทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านความมั่นคงด้านอาหาร ๔. นายสุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านอาหารศึกษา ๕. นายโกมล จิรชัยสุทธิกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านกฎหมาย ๖. นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเศรษฐกิจและการค้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา
และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ในระดับปริญญาตรี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | รายงานผลการเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | พน. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint
KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ดังนี้
๑.๑ ประเด็นการจัดทำ Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ทั้ง ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒)
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓) รายได้จากการท่องเที่ยว (๔)
รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP (๕)
การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ (๖)
การยกระดับผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme of
International Student Assessment : PISA) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย
และมอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของ Joint
KPIs
๑.๒ ให้ ก.พ.ร. นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนส่วนราชการ จังหวัด
และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘
๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๔ ให้กรมบัญชีกลางนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และทุนหมุนเวียนอื่นภายใต้ระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๕ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนในมหาวิทยาลัย (ยกเว้นสถาบันวิทยาลัยชุมชน)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ
(ยกเว้นสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา และสภากาชาดไทย)
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
๑.๗
ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่อยู่ในระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่น ๆ นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น การจัดทำ Joint
KPIs ให้บรรลุเป้าหมาย
ควรกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้มีความสอดคล้องกับงบประมาณและสะท้อนกับภารกิจ
อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่สามารถดำเนินการได้
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
และการบูรณาการการทำงานร่วมกันของส่วนราชการสามารถตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร | ตช. | 05/11/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๓ (เรื่อง
การศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร)
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|