ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 2 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 36 จากข้อมูลทั้งหมด 36 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 05/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (ฉบับที่
..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. ๒๕๖๑
กรณีสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทที่เป็นนิติบุคคลในเครือข่ายของหน่วยงายของรัฐเดียวกัน
จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของทุนทั้งหมด เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕
ของทุนทั้งหมด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรกำหนดประเภทหรือรายชื่อของรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่เข้าข่ายเป็นรัฐวิสาหกิจและนิติบุคคลตามร่างกฎหมายฉบับนี้ไว้แนบท้ายกฎกระทรวงให้ชัดเจน
และควรกำหนดข้อยกเว้นหรือดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐให้จัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไปหรือโดยวิธีคัดเลือกก่อนที่จะใช้วิธีเฉพาะเจาะจง
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม เห็นควรให้มีกลไกอื่นในการสนับสนุนการดำเนินกิจการของนิติบุคคลที่หน่วยงานของรัฐถือหุ้นร้อยละยี่สิบห้าขึ้นไปให้สามารถพัฒนาอย่างยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 19 (CITES CoP19) | ทส. | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
ครั้งที่ ๑๙ (The 19th Meeting of the Conference
of the Parties to the Convention on International Trade in Endangered Species
of Wild Fauna and Flora : CITES CoP19) ๑๔-๒๕
พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ กรุง ปานามา ซิตี้ สาธารณรัฐปานามา
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอนุสัญญา CITES ของไทยตามมติที่ประชุมภาคีอนุสัญญา CITES ครั้งที่
๑๙ โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับกรมประมง
พิจารณาจัดทำและเสนอร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดชนิดสัตว์ป่า ซากของสัตว์ป่า
และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากซากสัตว์ป่าที่ห้ามนำเข้าหรือส่งออก
และกรมวิชาการเกษตรพิจารณาจัดทำและเสนอร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง
พืชอนุรักษ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงบัญชีชนิดพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าในการประชุม
CITES ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมประมง
และกรมวิชาการเกษตร จัดทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ตามที่ถูกร้องขอ
ส่งสำนักเลขาธิการ CITES ตามกำหนดเวลา ให้กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กำหนดมาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม
เพื่อควบคุมประชากรเสือในกรงเลี้ยง
และควบคุมมิให้ตัวอย่างพันธุ์ของเสือในกรงเลี้ยงออกสู่การค้าที่ผิดกฎหมาย
ให้กรมประมงขอสงวนสิทธิ (Reservation)
ชนิดพันธุ์ที่พบว่ามีการค้ามากในประเทศไทยที่มีการบรรจุอยู่ในบัญชี CITES หรือปรับเปลี่ยนบัญชี ได้แก่ ปลาฉลามทุกชนิดในวงศ์ Carcharhinidae
เป็นต้น และให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ตั้งงบประมาณอุดหนุนการเป็นสมาชิกอนุสัญญา CITES
ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงบประมาณ ที่ควรเร่งเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรการ/กฎระเบียบภายใน
รวมไปถึงการศึกษาผลกระทบจากการค้าที่มีต่อปลาฉลามทุกชนิดในวงศ์ Carcharhinidae ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นสุดระยะเวลาการขอสงวนสิทธิ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ 12 และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+3 ครั้งที่ 8 | พม. | 20/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบและอนุมัติต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ (Draft Joint Ministerial Statement of the Twelfth
ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘ (Draft Joint Ministerial Statement of the Eighth ASEAN Plus
Three Ministerial Meeting on Youth) และให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นของมนุษย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ ๑๒ และการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘ ให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓ ครั้งที่
โดยร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน ครั้งที่ ๑๒ มีสาระสำคัญในการยืนยันเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงานตามแผนงานอาเซียนเยาวชน
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘
การสนับสนุนข้อเสนอสำหรับแนวทางการศึกษาและการฝึกอบรมที่ครอบคลุมและการศึกษาแบบสหวิทยาการในความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการนำดิจิทัลมาใช้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
สนับสนุนการเปิดตัวรายงานดัชนีการพัฒนาเยาวชนอาเซียน ฉบับที่ ๒
ซึ่งจะมีตัวชี้วัดใหม่ในรายงานดังกล่าว ได้แก่ (๑) ความเสมอภาคและการอยู่ร่วมกัน
(๒) ความปลอดภัยและความมั่นคง และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘
มีสาระสำคัญในการยืนยันเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนงานตามแผนงานอาเซียนเยาวชน
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ และแผนงานอาเซียนเยาวชน+๓ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ อาทิ
ความร่วมมือของเยาวชนอาเซียนเพื่อการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย
การดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนผ่านโครงการระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐประชาชนจีน
อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และ อาเซียน-ญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน
ครั้งที่ ๑๒ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านเยาวชน+๓
ครั้งที่ ๘
ในส่วนที่ไม่ใช้สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ และแผนงานอาเซียน-ญี่ปุ่น ด้านกฎหมายและงานยุติธรรม | ยธ. | 06/06/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียน-ญี่ปุ่น
สมัยพิเศษ และแผนงานอาเซียน-ญี่ปุ่น ด้านกฎหมายและงานยุติธรรม
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ร่วมให้การเห็นชอบร่างแถลงการณ์ฯ และรับรองแผนงานดังกล่าว โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์การเสริมสร้างความร่วมมือด้านงานยุติธรรมและกฎหมายระดับนโยบายของรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียนและญี่ปุ่น
โดยระบุเกี่ยวกับการรักษาและส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพในภูมิภาค
รวมทั้งการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ และแผนงานฯ มีสาระสำคัญเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ระดับนโยบายที่จะส่งเสริมการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
โดยกำหนดเป้าหมายและกิจกรรมที่เสนอให้มีการดำเนินการ เช่น
ระบุประเด็นด้านกฎหมายและงานยุติธรรมที่จะนำมาหารือร่วมกันระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในระยะสั้นและระยะกลาง
โดยจัดการหารือร่วมระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านกฎหมายและญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
ที่เห็นว่าควรเพิ่มประเด็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ และแผนงานฯ เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรียุติธรรมอาเซียน-ญี่ปุ่น
สมัยพิเศษ และแผนงานอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ และแผนงานอาเซียน-ญี่ปุ่น ด้านกฎหมาย
และงานยุติธรรม ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | แนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 | นร.12 | 09/05/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ประกอบด้วย (๑) กรอบการดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานและวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับหน่วยงานระดับเริ่มต้นและระดับมาตรฐานซึ่งเป็นการจัดทำวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในระยะแรกตามมาตรา
๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๕ และ (๒) ให้หน่วยงานของรัฐนำงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัล
(Biz
Portal และ Citizen Portal)
โดยให้หน่วยงานที่ยังไม่มีช่องทางการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์นำงานบริการมาพัฒนาระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางดังกล่าว
เป็นทางเลือกแรก และให้หน่วยงานที่มีงานบริการที่พัฒนาเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทางเลือกแล้วนำงานบริการมาเชื่อมโยงกันกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
โดยมอบให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเป็นผู้พิจารณากรอบเวลาดำเนินการ สำหรับ ๒
กรณีดังกล่าว และติดตามเป็นระยะ
เพื่อให้งานบริการของรัฐอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์)
สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น
ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น ขอให้หน่วยงานที่ร่วมกันจัดทำแนวทางวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง
๔ หน่วยงาน สนับสนุนหน่วยงานของรัฐในด้านต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ 18 (เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2565) | นร.11 สศช | 11/04/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา
๒๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ครั้งที่ ๑๘ (เดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๕) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. สรุปภาพรวมการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ สศช.
ได้รวบรวมและประมวลผลข้อมูลการดำเนินการปฏิรูปประเทศทั้ง ๑๓ ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเมือง
ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านเศรษฐกิจ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และด้านสาธารณสุข เป็นต้น ๒. สรุปผลการดำเนินการจัดทำ/ปรับปรุงกฎหมายปฏิรูปประเทศ โดยเป็นกฎหมายภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ
(ฉบับปรับปรุง) จำนวน ๔๕ ฉบับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑) กฎหมายที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
๑๐ ฉบับ และ (๒) กฎหมายที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ๓๕ ฉบับ
(ซึ่งมีความคืบหน้ากว่ารอบที่ผ่านมา) ๓. การดำเนินการในระยะต่อไป หลังจากแผนปฏิรูปประเทศสิ้นสุดลงเมื่อวันที่
๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยได้ดำเนินการปฏิรูปประเทศให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายของรัฐธรรมนูญฯ
ที่กำหนดแล้ว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ
หน่วยงานรับผิดชอบหลักและหน่วยงานร่วมดำเนินการจะต้องนำประเด็นร่วมปฏิรูปประเทศมาดำเนินการอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของแผนระดับที่
๒ แผนระดับที่ ๓ และการดำเนินการต่าง ๆ ของหน่วยงานได้เชื่อมโยงประเด็นปฏิรูปประเทศกับเป้าหมายแผนแม่บทย่อย
(Y๑) ของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
และเป้าหมายระดับหมุดหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
เพื่อใช้เป็นกรอบในการขับเคลื่อน ติดตาม ประเมินผลการดำเนินการในประเด็นปฏิรูปต่าง
ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อให้เกิดการดำเนินการที่ต่อเนื่องและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างยั่งยืน
ส่งผลให้การพัฒนาประเทศบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | แนวทางการรณรงค์ เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช 2566 ภายใต้แนวคิด "สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล" | วธ. | 28/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการรณรงค์
เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรม เนื่องในประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด
"สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล"
ซึ่งประกอบด้วยแนวทางและมาตรการในการจัดกิจกรรมภาพรวมของประเทศรวม ๙ ข้อ
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
และประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์
มุ่งเน้นสืบสานคุณค่าของประเพณีอันดีงาม
พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่การรับรู้ของชาวต่างชาติ ๒. ส่งเสริมให้จังหวัดต่าง ๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในประเพณีสงกรานต์ร่วมกับสืบสานประเพณีที่ดีงาม
เหมาะสม ๓. รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณีสงกรานต์
เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน วัด ศาสนสถานที่นับถือ สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร
ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระพุทธรูป ขอพรผู้สูงอายุ ๔. รณรงค์ให้แต่งกายที่สร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทย
เช่น ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ชุดไทยย้อนยุค หรือชุดสภาพ เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
เพื่อสร้างการรับรู้ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยต่อชาวต่างชาติ ๕. ขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ
สนับสนุนศิลปินพื้นบ้านในการจัดกิจกรรม การละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม
ประเพณีท้องถิ่น ตามแนวทางมาตรการประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม
และร่วมกันเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ๖. หน่วยงานด้านความมั่นคง ความปลอดภัย
และด้านบริการประชาชน ให้รักษามาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
เพื่อให้สงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่สร้างความสุข ประชาชน
และนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ๗.
ขอความร่วมมือประชาชนที่ใช้ยานพาหนะและใช้ถนนให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
กฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมถึงช่วยสอดส่อง หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ในกรณีพบเห็นผู้ที่ปฏิบัติไม่เหมาะสม ๘. การจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม ๖๐๘
(กลุ่มเสี่ยง) ให้รักษามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และโรคทางเดินหายใจ ควรมีอุปกรณ์ป้องกันเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้เข้าร่วมงาน ๙. ส่งเสริมภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประเพณีสงกรานต์ในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และนานาชาติ
ในโอกาสที่สงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
ที่เข้าสู่การพิจารณาของยูเนสโก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | การเยียวยาค่าตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม | สธ. | 14/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจ่ายเงินตอบแทนใบประกอบโรคศิลปะเภสัชกรขององค์การเภสัชกรรม
ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาท และ ๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง | พณ. | 07/03/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งเน้นการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์
และดิจิทัลข้ามพรมแดน
การพัฒนายุทธศาสตร์ความร่วมมือและส่งเสริมการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุน รวมทั้งการพัฒนาที่ยั่งยืนระหว่างประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) สำหรับสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน
ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ หากมีแผนในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวถัดเห็นควรไปให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อพิจารณากลั่นกรองตามขั้นตอนและกระบวนการตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 เรื่อง แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” | ทส. | 21/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ | กค. | 14/02/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการ ๑.๑
ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๒
ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓
ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.
๒๕๖๑ พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๕ พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖
พระราชบัญญัติทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทำธุรกรรมต่าง ๆ
ในตลาดทุน สร้างความชัดเจนในการกำกับดูแล และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย
เช่น เพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน
แก้ไขเพิ่มเติมการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้มีความสอดคล้องกันและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่
และเพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติ
รวม ๔ ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงพาณิชย์ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย
และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น
การกำหนดบทบัญญัติให้นำบทกำหนดโทษของบทบัญญัติในกฎหมายฉบับเดียวกันหรือฉบับอื่นมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา ๑๙ มาตรา ๓๒ มาตรา ๕๗ มาตรา ๕๙ และมาตรา ๖๐
แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะนำบทกำหนดโทษตามมาตราใดหรือหมวดใดมาใช้บังคับโดยอนุโลม
เพื่อความชัดเจนในบทบัญญัติเรื่องการกำหนดโทษ
การบัญญัติข้อห้ามหรือข้อจำกัดในการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
เช่น
กำหนดห้ามมิให้ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ลดทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เป็นต้น ทั้งนี้ หากพระราชบัญญัติทั้ง ๔ ฉบับ
มีผลบังคับใช้แล้วอาจต้องมีการประสานงานเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการร่วมกันต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ..
๒๕๖๑ มาตรา ๕๖/๖ วรรคสอง “การสอบสวนที่กระทำโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีอำนาจสอบสวน
แต่เมื่อได้ส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในการสืบสวนและสอบสวน
ทำการสอบสวนอีกครั้งหนึ่ง ถือว่าการสอบสวนดังกล่าวกระทำโดยพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแล้ว”
การใช้บริการหรือเข้าถึงข้อมูลของผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
จึงอาจพิจารณากำหนดให้การดำเนินการในรูปแบบหรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้ได้ตามความสะดวกและความพร้อมของผู้ที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากกระบวนการปกติ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2566 | นร.11 สศช | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | โครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะของภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า (รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร | ทส. | 31/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการลงนามในหนังสือการอนุญาต
(Letter of Authorization : LOA)
ให้ดำเนินโครงการเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางสาธารณะภาคเอกชนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า
(รถร่วมบริการ) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานและราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศต่ำกว่าในสมาพันธรัฐสวิส
และควรพิจารณาถึงความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์ของรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ
เพื่อรองรับการดำเนินโครงการเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดุลการค้าและการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงประเด็นการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ให้เพียงพอ
เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ขอยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (สถาบันพระปกเกล้า) | พป. | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของสถาบันพระปกเกล้า จำนวน ๖๗๐,๕๘๑,๑๐๐ บาท ทั้งนี้
การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | การขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | สขค | 24/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๔๗๓,๑๑๙,๗๐๐ บาท ทั้งนี้
การจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และรายงานเกี่ยวกับเงินนอกงบประมาณ
ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามแนวทางการจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้ารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมุ่งเน้นการดำเนินการที่สำคัญอันจะช่วยเสริมสร้างให้เกิดบรรยากาศการแข่งขันทางการค้าที่เสรี
และเป็นธรรม สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ภายใต้พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.
๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีห้ามใช้ประโยชน์ป่าชายเลน ในการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน บริเวณตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เพื่อขยายพื้นที่สำหรับการดำเนินการจัดการเรียนการสอนของสถาบันวิทยาลัยชุมชน วิทยาลัยชุมชนปัตตานี | อว. | 17/01/2566 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม
๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ในการขอใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลน
เนื้อที่จำนวน ๑.๐๘ ไร่ บริเวณตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
เพื่อขยายพื้นที่สำหรับการดำเนินการจัดการเรียนการสอนของสถาบันวิทยาลัยชุมชน
วิทยาลัยชุมชนปัตตานี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(สถาบันวิทยาลัยชุมชน วิทยาลัยชุมชนปัตตานี)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เช่น
ควรพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกิจกรรมการก่อสร้างอาคารและคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อพื้นที่โดยรอบ
โดยเฉพาะพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณข้างเคียง ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งการดำเนินการตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งฯ พ.ศ. ๒๕๕๖
ค่าใช้จ่ายในการปลูกและบำรุงรักษาป่าชายเลนทดแทนไม้น้อยกว่า ๒๐ เท่า ของพื้นที่ป่าชายเลนที่ใช้ประโยชน์
ตามระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งฯ พ.ศ. ๒๕๖๖
ให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม แล้วแต่กรณี วิทยาลัยชุมชนปัตตานีควรมีแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพนิเวศของป่าชายเลนที่อยู่โดยรอบร่วมกับนักศึกษาและชุมชนในบริเวณใกล้เคียงในระยะต่อไป
เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|