ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 825 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 16481 - 16500 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16481 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสตูล พ.ศ. ....) | มท | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสตูล พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดสตูลและจังหวัดกระบี่ เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดควบคุมการอนุญาตก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16482 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 290 สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านห้วยตะคร้อ - บ้านบึงขามทะเลสอ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๙๐ สายถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนบ้านห้วยตะคร้อ-บ้านบึงขามทะเลสอ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16483 | ขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2 | กค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขอขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ จากเดิม สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ เป็น สิ้นสุดระยะเวลารับคำขอค้ำประกันวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ หรือจนกว่าจะเต็มวงเงิน แล้วแต่อย่างหนึ่งอย่างใดจะถึงก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลัง [บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)] ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยในส่วนของการชดเชยค่าประกันชดเชยรายปี ให้ บสย. ใช้เงินรายได้จากค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของโครงการก่อน หากไม่เพียงพอจึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การขยายระยะเวลารับคำขอค้ำประกันสินเชื่อโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ ๒ เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยได้มากขึ้นและปิดโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งมีกลไกในการติดตามผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นรูปธรรม ให้กระทรวงการคลัง โดย บสย. ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ เร่งประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของโครงการฯ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยมาเข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มมากขึ้น ๒.๒ จัดทำรายงานผลการดำเนินโครงการฯ และผลสัมฤทธิ์ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ เพื่อช่วยเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16484 | การขอรับจัดสรรทุนประเดิมสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล | ดศ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนงาน/โครงการของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและนวัตกรรมดิจิทัล ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้หลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลาง อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมดิจิทัลและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับทุนประเดิมในวาระเริ่มแรกที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว และเงินรายได้ของหน่วยงานที่รับโอนมาตามมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณียังไม่มีหนี้ผูกพันของสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งสามารถจัดสรรให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเบิกจ่ายแทนได้บางส่วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาความเหมาะสมของงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เช่น ควรจัดสรรทุนประเดิมให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเฉพาะปีที่ ๑ ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายเงินจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือขอรับจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) พิจารณาการจัดทำแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับแผนงาน/โครงการของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สำนักงบประมาณพิจารณาภาพรวมการจัดสรรงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างเหมาะสม คุ้มค่า ลดความซ้ำซ้อน และมุ่งผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16485 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลทับช้าง และตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรเพิ่มโรงงานประเภท ๑๐๑ ปรับคุณภาพของเสียรวม โรงงานประเภท ๑๐๕ โรงงานคัดแยก ฝังกลบสิ่งปฏิกูล โรงงานประเภท ๑๐๖ โรงงานนำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม และโรงงานประเภท ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ชีวภาพ และขยะชุมชน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นกำกับดูแล และควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16486 | รายงานการเยือนสาธารณรัฐมัลดีฟส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเยือนสาธารณรัฐมัลดิฟส์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ เพื่อหารือความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกีฬา รวมทั้งการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) นโยบายขยายการท่องเที่ยว มัลดีฟส์จะส่งเสริมให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงไทย โดยมัลดีฟส์ต้องการร่วมมือกับไทยในด้านต่าง ๆ เช่น การขอตารางการบินให้สายการบินจากจีนได้แวะจอดในไทยก่อนมามัลดีฟส์ การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น และ (๒) นโยบายด้านการกีฬา มัลดีฟส์ได้เพิ่มคุณภาพชีวิตของคนมัลดีฟส์ในเมืองทุกเกาะ เช่น การสนับสนุนให้ผู้ชายเล่นฟุตซอล ผู้หญิงเล่นวอลเล่ย์บอล และต้องการร่วมมือกับไทยในการแลกเปลี่ยนการฝึกซ้อม อุปกรณ์กีฬา ผู้ฝึกสอน และเรียนรู้กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16487 | การปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ | กค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยมีกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการ จำนวน ๒๒ กิจการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ ๑ กิจการที่สมควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-out) จำนวน ๔ กิจการ และกลุ่มที่ ๒ กิจการที่รัฐส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุน (Opt-in) จำนวน ๑๘ กิจการ ๑.๒ รับทราบรายการโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (Project Pipeline) จำนวน ๕๕ โครงการ โดยมีประมาณการมูลค่าการลงทุนรวม ๑.๖๒ ล้านล้านบาท ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการนโยบายฯ กำกับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและกระทรวงเจ้าสังกัดติดตามการดำเนินโครงการในกิจการภายใต้ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ อย่างใกล้ชิด และควรกำหนดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วน รวมทั้งจัดลำดับการดำเนินกิจการต่าง ๆ โดยพิจารณาขีดความสามารถในการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาความเหมาะสมในการปรับเพิ่มกิจการที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงานไว้ในร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของเอกชนในการลงทุนด้านพลังงานของประเทศ ทั้งนี้ หากคณะกรรมการนโยบายฯ พิจารณาแล้วเห็นควรปรับเพิ่มกิจการดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการปรับปรุงร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๔. ให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานของโครงการเร่งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน เพื่อเสนอโครงการภายใต้กิจการที่จะให้เอกชนร่วมลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ รวมทั้งแจ้งความคืบหน้าของโครงการที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของเงินลงทุนให้คณะกรรมการนโยบายฯ ทราบต่อไป ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายฯ ดำเนินการให้มีการยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เรื่อง แผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้บังคับแผนยุทธศาสตร์ฯ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีความชัดเจนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16488 | รายงานผลการดำเนินการจัดระเบียบและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตคนขอทาน | พม | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดระเบียบและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตคนขอทาน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. คัดกรองผู้ทำการขอทานเพื่อเข้ารับการฟื้นฟูในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑๑ แห่ง และเข้าร่วมโครงการธัญบุรีโมเดล เพื่อปรับทัศนคติ สร้างงาน สร้างอาชีพ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น ๑,๖๐๕ ราย อยู่ในกระบวนการฟื้นฟู ๙๓๑ ราย ผ่านการพัฒนาศักยภาพ ๖๗๔ ราย โดยผู้ที่ผ่านการประเมินศักยภาพเข้าทำงานในสถานประกอบการ ๒๙ ราย เข้าศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อฝึกอาชีพด้านอื่น ๆ ตามความถนัด ๙๔ ราย เข้าสู่โครงการบ้านน้อยในนิคมเพื่อฝึกทักษะการใช้ชีวิตเตรียมกลับคืนสู่สังคม ๒๘๔ ราย และสามารถกลับสู่ครอบครัวได้ ๒๖๗ ราย ๒. ดำเนินการแยกผู้แสดงความสามารถออกจากผู้ทำการขอทาน โดยได้ออกบัตรประจำตัวผู้แสดงความสามารถ จำนวน ๒,๐๘๒ คน ๓. เปิดให้บริการบ้านมิตรไมตรี ๔ มุมเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ ๑๐ จังหวัดเศรษฐกิจ พร้อมรณรงค์ “ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน” และสร้างเครือข่ายอาสาสมัคร เป็นกลไกหลักในการค้นหา ติดตามเฝ้าระวัง และแจ้งข้อมูล ๔. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทาน โดยมีแผนการดำเนินงาน (๑) พัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (๒) ฝึกอบรมพัฒนาผู้แสดงความสามารถเพื่อยกระดับสู่การเป็นศิลปินมืออาชีพ (๓) จัดทำร่างยุทธศาสตร์ควบคุมการขอทาน (๔) ยกระดับโครงการธัญบุรีโมเดล สร้างความร่วมมือประชารัฐผ่านกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) และ (๕) พัฒนาสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชายธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ ด้านการแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่ง คนขอทาน ระดับประเทศและภูมิภาคอาเซียน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16489 | รายงานผลการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 | กค | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงสนามกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ สรุปได้ว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแจ้งความประสงค์ขอส่งมอบกิจการสนามกอล์ฟบางพระให้กรมธนารักษ์ แต่หากกรมธนารักษ์ประสงค์จะให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบริหารจัดการต่อไป ขอให้พิจารณายกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ซึ่งกรมธนารักษ์ไม่สามารถให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระโดยยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ตามที่เสนอได้ และเพื่อให้การดำเนินการบริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นไปด้วยความต่อเนื่องในระหว่างที่กรมธนารักษ์ดำเนินการหาเอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ จึงได้ทำความตกลงกับบริษัท ธนารักษ์ พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกรมธนารักษ์เป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นการชั่วคราวไม่เกินระยะเวลา ๒ ปี (นับตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๒) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) เร่งรัดการดำเนินการหาเอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เป็นผู้บริหารจัดการสนามกอล์ฟบางพระเป็นการชั่วคราว (ภายใน ๒ ปีนับตั้งแต่วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐) ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และประธานกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐที่เห็นว่า ในการเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการสนามกอล์ฟบางพระ ให้กรมธนารักษ์คำนึงถึงผลประโยชน์ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นวัตถุประสงค์เดิมที่มอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ และในการดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุแปลงดังกล่าว ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความจำเป็นและเหมาะสม การแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้ และจัดหาประโยชน์เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16490 | ร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | ปช | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทาง วิธีการ และกลไกส่งเสริมสนับสนุน และรับรองการรวมตัวกันของประชาชน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ และมาตรการคุ้มครองและสิทธิประโยชน์แก่ผู้ชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๖๓ และมาตรา ๒๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และต้องเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสองร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ครบกำหนดวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐) ตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการทุจริตขึ้นในสำนักงาน ป.ป.ท. และการจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอเรื่อง การจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมือต่อต้านการทุจริตขึ้นในสำนักงาน ป.ป.ท. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และมอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. สร้างความรับรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพื่อให้การบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เกิดประสิทธิภาพต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงาน ป.ป.ท. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16491 | ขออนุมัติจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2559 โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดชลบุรี (ห้วยกะปิ) | พม | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ ๑ ปี ๒๕๕๙ โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จังหวัดชลบุรี (ห้วยกะปิ) รวม ๑,๑๐๔ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๖๔๗.๓๑๔ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ ๔๔๔.๙๔๘ ล้านบาท เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๑๕๘.๓๔๒๓ ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ๔๔.๐๒๓๗ ล้านบาท โดยเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินโครงการฯ เห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการฯ ให้ กคช. ตามสัดส่วนของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกับวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นของโครงการฯ ตามวงเงินของแผนการใช้จ่ายในแต่ละปี และ กคช. ควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๖๑ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้ กคช. เริ่มดำเนินโครงการฯ ได้เมื่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้ว ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ให้ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานด้วย รวมทั้งให้มีการประเมินผลการดำเนินโครงการฯ เป็นระยะ ๆ เพื่อให้สามารถปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ให้เหมาะสมต่อไป ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะดำเนินการในอนาคต กคช. ควรพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ของการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน (Public Private Partnerships : PPP) เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินลงทุน รวมทั้งการกำกับการก่อสร้างและค่าใช้จ่าย การควบคุมการขายโครงการฯ ในระยะเวลาที่กำหนด การปรับแผนกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพ และการคัดเลือกคุณสมบัติของลูกค้าให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16492 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๗ มกราคม ๒๕๖๐) เรื่อง การรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี และสมาคมการค้าที่เกี่ยวข้องได้หารือแนวทางการจัดทำระเบียบการใช้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าและตราสัญลักษณ์กลางสำหรับประทับรับรอง ซึ่งระเบียบดังกล่าวระบุให้สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ เป็นหน่วยงานกลาง โดยผู้ผลิตจะต้องขอจดทะเบียนตราผู้ผลิตและผู้จำหน่ายตามที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ กำหนด และการประทับตราชุดตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานจะประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน ๓ ตราประทับ คือ ตราสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติฯ ตรารับรองชนิดและความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า และตราผู้ผลิตหรือผู้จำหน่าย โดยจะประทับตราลงบนตำแหน่งบริเวณเนื้อโลหะของเครื่องประดับโลหะมีค่าชนิดนั้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16493 | ขออนุมัติจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี | พม | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี รวม ๖๐๖ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๕๗๓.๘๒๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ ๔๕๓.๖๒๓ ล้านบาท เงินอุดหนุนจากรัฐ ๖๙.๒๘๐ ล้านบาท และเงินรายได้ ๕๐.๙๒๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยในส่วนของเงินอุดหนุนโครงการฯ เห็นควรจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการฯ ให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ตามสัดส่วนของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกับวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้นของโครงการฯ ตามวงเงินของแผนการใช้จ่ายในแต่ละปี และหาก กคช. มีความจำเป็นจะต้องใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีมาดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับการจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้ รวมทั้งการจัดหาสินเชื่อให้กับข้าราชการที่ต้องการซื้อที่พักอาศัยตามโครงการฯ ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กคช. พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการฯ ให้รอบคอบเพื่อให้ข้าราชการกลุ่มเป้าหมายได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างแท้จริงและป้องกันการขายสิทธิ์ต่อหรือการเก็งกำไรของผู้ที่ต้องการแสวงประโยชน์ โดยควรพิจารณากำหนดรายได้ขั้นสูงของข้าราชการผู้มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (กลุ่ม ง. เช่าซื้อ) ให้ชัดเจน รวมทั้งให้คำนึงถึงความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงและเหมาะสม เช่น สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางคมนาคม ตลอดจนความคุ้มค่าในการดำเนินการ และการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ ในการกำหนดพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ที่อาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งให้กำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำกับดูแลให้ กคช. ดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนและกรอบระยะเวลาที่กำหนด โดยให้จัดลำดับความสำคัญและดำเนินโครงการฯ ในส่วนที่มีความพร้อมและมีความต้องการที่ชัดเจนก่อน สำหรับการดำเนินการในส่วนที่เหลือให้ดำเนินการได้ เมื่อมีความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชัดเจนแล้ว โดยดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ด้วย ๔. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ กคช. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรให้ กคช. สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและพัฒนารูปแบบสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยของพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากอาคารคงเหลือและภาระทางการเงิน และจัดทำแผนบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ อาทิ การควบคุมระยะเวลาการก่อสร้างและการขายโครงการ รวมทั้งการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานและควบคุมคุณภาพของที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด และรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ กคช. หารือกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจในรายละเอียดของสินเชื่อภายใต้โครงการฯ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม นอกจากนี้ กคช. ควรกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อ/เช่าซื้อ และแนวทางการกำกับที่ชัดเจนเพื่อให้โครงการฯ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง รวมถึงจัดทำแนวทางการบริหารจัดการโครงการฯ ที่มีประสิทธิภาพและป้องกันการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้ซื้อ/เช่าซื้อในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16494 | เอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong - Lancang Cooperation) | พณ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงเอกสารขอบเขตอำนาจหน้าที่สำหรับคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Terms of Reference for the Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation under Mekong-Lancang Cooperation) ในการประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนฯ ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการปรับปรุงเอกสารขอบเขตฯ ดังกล่าว ได้มีการเปลี่ยนชื่อคณะทำงานเป็น Joint Working Group on Cross Border Economic Cooperation (JWG-TEC) และเพิ่มหน้าที่ของคณะทำงานในการตรวจสอบและการดำเนินการตามผลลัพธ์และข้อตกลงความร่วมมือต่าง ๆ ที่ได้มีการรับรองในที่ประชุม และนำเสนอผลลัพธ์ต่อที่ประชุม รวมทั้งปรับปรุงหน้าที่ในการหารือข้อเสนอโครงการต่าง ๆ ให้ครอบคลุมสาขาวิชาต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้เพิ่มการกำหนดให้จีนเป็นประธานร่วมกับประเทศเจ้าภาพในการประชุมคณะทำงานทุกครั้ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16495 | ขอความเห็นชอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้บริษัท ไทยแลนด์ ดิวตี้ ฟรี ช็อปส์ จำกัด ออกจากบัญชี | กก | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้บริษัท ไทยแลนด์ ดิวตี้ ฟรี ช็อปส์ จำกัด (บจก. TDFS) จำนวน ๑๖๖,๒๙๐,๐๐๑.๘๘ บาท ออกจากบัญชีงบการเงิน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุ ปัญหา อุปสรรค รวมทั้งผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายของรัฐที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควรมีกระบวนการตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้น ความรับผิดชอบ หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทางราชการ และควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายจัดตั้ง ในประเด็นการจำหน่ายทรัพย์สินและหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ และกำหนดเป็นข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งกำหนดมาตรการให้ชัดเจนและทันกับสถานการณ์ในการติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดหนี้สิน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในระยะยาวไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16496 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติขึ้นเป็นหน่วยงานภายในของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราว และอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่และอำนาจในการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ให้สอดคล้องกับแผนที่นำทาง (Roadmap) รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานในระบบวิจัยและนวัตกรรมในรูปแบบกลุ่ม (Cluster) ทั้งด้านแผนงานโครงการ และงบประมาณ เพื่อเร่งขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระบบวิจัยและนวัตกรรม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร การกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนของการเป็นสำนักงานชั่วคราว และการกำหนดมาตรการ แรงจูงใจ สิทธิประโยชน์ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อบังคับที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมของประเทศเข้าไว้ด้วยกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงานการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ควรมีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ในระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16497 | โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | นร04 | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง โครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) จากเดิม ให้กองราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น ให้โอนโครงการฯ ไปอยู่ในกำกับดูแลของกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16498 | ขอความเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศจัดการศึกษาในประเทศไทย | ศธ | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน [Carnegie Mellon University (CMU)] เข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังในรูปแบบสถาบันร่วม (Joint Institute) ภายใต้ชื่อมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL University) โดย CMU มีกำหนดการรับสมัครนักศึกษา ระหว่างวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๐-๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดการศึกษาดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความพร้อมและไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายจ่ายลงทุนของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16499 | การใช้อำนาจตามมาตรา 4 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. 2551 ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... การยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณจังหวัดและงบประมาณกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2554 และการจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด | นร10 | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๐ ซี่งกำหนดเรื่องที่จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดยังไม่สมควรจะปฏิบัติ ปฏิบัติ หรือปฏิบัติอย่างมีเงื่อนไขตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการ (๑) ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นกำหนดให้มีคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค มีอำนาจหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายและวางระบบในการบริหารงานภาค กำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการในการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด และแผนพัฒนาภาค ซึ่งแผนพัฒนาภาคต้องสอดคล้องกับแผนระดับชาติและนโยบายรัฐบาล และ (๒) ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จัดตั้งกลุ่มจังหวัดและกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการบริหารงบประมาณจังหวัดและงบประมาณกลุ่มจังหวัด (ฉบับที่ ๒) ลงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการยกร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อยกเลิกร่างประกาศในเรื่องนี้ แล้วส่งให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16500 | ร่างถ้อยแถลงโซล (Seoul Statement) ในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านป่าไม้ ครั้งที่ 4 | ทส | 24/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงโซล (Seoul Statement) มีสาระสำคัญในการให้ความสำคัญของป่าไม้ที่ส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความสำคัญของการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนและความพยายามที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืนในภูมิภาค โดยจะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านป่าไม้ ครั้งที่ ๔ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านป่าไม้ ครั้งที่ ๔ เป็นผู้พิจารณาให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....