ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 830 จากทั้งหมด 6211 หน้า แสดงรายการที่ 16581 - 16600 จากข้อมูลทั้งหมด 124213 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
16581 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) | ศธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาโซล (Seoul Declaration) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของไทยในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกับแต่ละประเทศสมาชิกอาเซม ซี่งการดำเนินการดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสและคุณภาพทางการศึกษา รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาด้านอาชีวศึกษา โดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการจะเป็นผู้ให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ รวมทั้งจะนำเสนอเอกสารในหัวข้อ “Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability” ต่อที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซม ครั้งที่ ๖ ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับด้านการส่งเสริมการเคลื่อนย้ายระหว่างเอเชียและยุโรป ในข้อ ๖ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเพิ่มการวิจัยและพัฒนาให้เป็นกลไกหนึ่งของการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัย และในด้านการส่งเสริมสมรรถนะเพื่อการว่าจ้าง (Employability) ด้วยการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ในข้อ ๙ ของร่างปฏิญญาฯ ควรพิจารณาเรื่องสะเต็มศึกษา (STEM Education) ทั้งในสายสามัญ อุดมศึกษาและอาชีวศึกษาเป็นประเด็นหนึ่งที่ควรส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือด้วย รวมทั้งควรพิจารณาการเสนอเรื่อง การส่งเสริมเยาวชนให้เป็นนวัตกร (Innovator) และการสร้างระบบนวัตกรรมเปิด (Open Innovation) ให้เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการนำเสนอในหัวข้อ Collaboration for the Next Decade-Improving Youth Employability เพื่อให้ประเทศสมาชิกได้เห็นความสำคัญของการสร้างเยาวชนให้มีศักยภาพที่จะเป็นนวัตกร มีความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลิตภัณฑ์ กระบวนการใหม่ ๆ ที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16582 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างวันที่ ๑-๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. การพบปะหารือกับ Sir. Mark Walport (Chief Executive Designate of UK Research and Innovation : UKRI) ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การร่วมมือกันในด้านการวิจัยและพัฒนาในสาขาที่ทั้งสองประเทศมีความเชี่ยวชาญ และ (๒) การผลักดันการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร ๒. การพบปะหารือกับ Ms. Frederique Vidal (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา การวิจัยและนวัตกรรมของฝรั่งเศส) ฝ่ายไทยได้แสดงความสนใจต่อโครงการการแลกเปลี่ยนนักเรียนและนักวิจัยระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายฝรั่งเศสได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intention : LOI) มีเนื้อหาเกี่ยวกับความตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อเสนอเรื่องความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งฝ่ายไทย โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จะพิจารณาและดำเนินการต่อไป ๓. การเข้าร่วมประชุมประจำปี STS forum ครั้งที่ ๑๔ [The 14th Meeting on Science and Technology in Society (STS) forum] นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้กล่าวถึงความเชื่อมั่นต่อการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมบรรยายและนำเสนอมุมมองในการประชุม “Concurrent Session : Bridging Science and Technology with Society and Politics” โดยกล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมและการเมือง และการให้วิสัยทัศน์ต่อนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของนักการเมือง เป็นต้น ๔. การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (S&T Minister’s Roundtable Meeting) โดยมีหัวข้อหลักการประชุม ได้แก่ “บทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งอนาคต-สังคม ที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง” [The Role of Science, Technology and Innovation (STI) for Future Society-Human-Centered Society to be Reallzed through Society 5.0] ๕. การพบปะหารือกับผู้บริหารของธนาคาร Sumitomo Mitsui Banking Corp. (SMBC) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะได้พบปะหารือกับบริษัทเอกชนด้านอาหารและยาขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น และได้เชิญชวนเข้ามาลงทุนในพื้นที่ Food Innopolis และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of innovation : EECi) ของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16583 | รายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ | วท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ขอขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยให้มีความรวดเร็วมากขึ้น และข้อเสนอเพื่อการกำหนดมาตรการหรือแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนผลงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทั้งระบบ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบ และการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการ ควรเร่งพัฒนา ส่งเสริม และลงทุนให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานในการวิเคราะห์ทดสอบให้ครอบคลุมความต้องการของภาคเอกชน และอยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบรับรองห้องปฏิบัติการตาม ISO/IEC ๑๗๐๒๕ ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ๒. ควรให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลเกี่ยวกับข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ปรับปรุงข้อกำหนดและกฎหมายให้ทันสมัย และเผยแพร่สื่อสารให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมถึงกำหนดมาตรการเพื่อผ่อนปรนหรือยืดหยุ่นกฎระเบียบบางประการ ในลักษณะ Regulatory Sandbox เพื่อเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ในช่วงระยะเริ่มต้นได้ เพื่อให้เกิดธุรกิจได้ก่อน ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด อาทิ กำหนดปริมาณการผลิต วงเงินรวมที่จำหน่าย หรือระยะเวลาการจำหน่าย เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำผลจากการใช้งานจริงมาพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เข้าสู่กฎระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามปกติต่อไป ๓. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดทำบัญชีนวัตกรรมไทย และการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทย ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ควรสื่อสารและประชาสัมพันธ์มาตรการบัญชีนวัตกรรมไทยให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อนำผลงานนวัตกรรมมาขอขึ้นทะเบียนให้เพิ่มมากขึ้น สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความต้องการภาครัฐ ตลอดจนการกำกับและตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ควรสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ส่วนราชการ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างผลิตภัณฑ์หรือบริการในบัญชีนวัตกรรมไทยให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๔. ควรให้มีการบรรจุรายการผลิตภัณฑ์ที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทยไว้ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือบัญชีรายการอุปกรณ์อวัยวะเทียมและข้อบ่งชี้ในการบำบัดรักษาโรค หรือบัญชีอื่น ๆ แล้วแต่ชนิดของรายการผลิตภัณฑ์ที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ เช่น กองทุนสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนประกันสังคม เพื่ออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ตามระยะเวลาและราคาที่ประกาศในบัญชีนวัตกรรมไทย โดยอาจมีการกำหนดรหัสพิเศษเพื่อง่ายต่อการจำแนก ทั้งนี้ ควรมีการเก็บข้อมูลปริมาณการใช้รายการผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อประเมินความต้องการใช้งาน และเป็นข้อมูลอ้างอิงในการพิจารณาบรรจุรายการผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในรายการที่กองทุนสุขภาพต่าง ๆ อนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายได้ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16584 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 3 โครงการ | กษ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน ๓ โครงการ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๔ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๖๖) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๑๐,๕๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุตรดิตถ์ จากระยะเวลาเดิม ๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๑) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๔) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน ๔,๘๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ จากระยะเวลาเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) เป็นระยะเวลา ๑๑ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมติไว้เดิม จำนวน ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ทั้ง ๓ โครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16585 | โครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | ดศ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจากการจัดเก็บข้อมูลของผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย จำนวน ๑๓.๔๓ ล้านคน สามารถนำข้อมูลมาประมวลผลได้ จำนวน ๑๐.๖๔ ล้านคน โดยพบว่า ๕ อันดับแรกที่ผู้มีรายได้น้อยต้องการให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ คือ (๑) ลดค่าสาธารณูปโภค ค่าไฟฟ้า ประปา (๒) ลดภาระค่าสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน (๓) ลดภาระค่ารักษาพยาบาล/ดูแลสุขภาพ (๔) เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา และ (๕) ลดภาระค่าอุปกรณ์การศึกษาลูกหลาน ทั้งนี้ จากผลการสำรวจดังกล่าว สำนักงานสถิติแห่งชาติมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เช่น ควรมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับให้แก่ประชาชน รวมทั้งรัฐควรกำหนดนโยบาย/มาตรการลดค่าครองชีพหรือลดค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และรัฐควรส่งเสริมการพัฒนาด้านอาชีพเพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดำรงชีพได้อย่างยั่งยืน เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16586 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 35 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ | พน | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง [35th ASEAN Ministers on Energy Meeting (35th AMEM) and its Associated Meetings] ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๕ (35th AMEM) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าตามแผนปฏิบัติการเอเชียว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ระยะที่ ๑ (ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๓) เช่น อาเซียนได้บรรลุเป้าหมายส่วนแบ่งการใช้พลังงานหมุนเวียน ร้อยละ ๑๓.๖ ของการใช้พลังงานรวมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ และประเทศสิงคโปร์ ไทย และมาเลเซียได้ดำเนินการจัดทำระบบสถานีก๊าซธรรมชาติเหลวแก่บุคคลที่ ๓ ได้สำเร็จ ตลอดจนได้มีการลงนามซื้อขายไฟฟ้า ระหว่างลาว ไทย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นธุรกรรมไฟฟ้าอนุภูมิภาคเป็นครั้งแรกในอาเซียน ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๑๔ (14th AMEM+3) ที่ประชุมฯ รับทราบความก้าวหน้าในด้านการทำงานของสายงานด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์และพลังงาน (EE&C) ๓. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ ที่ประชุมฯ เห็นด้วยที่จะมีการปรับปรุงความร่วมมือเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงานไปสู่การลดการใช้คาร์บอน พลังงานสะอาด พลังงานที่ปลอดภัย การมีพลังงาน และความยั่งยืนทางพลังงานของอาเซียนในอนาคต ผ่านปฏิบัติการเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียน ๔. การหารือทวิภาคี ไทยได้ทำการหารือทวิภาคีเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานกับคู่ทวิภาคีจำนวน ๗ ฝ่าย ได้แก่ ทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ (International Renewable Energy Agency : IRENA) สาธารณรัฐประชาชนจีน มาเลเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ญี่ปุ่น สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีการหารือที่สำคัญ เช่น ฝ่ายจีนเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ๓ ฝ่าย (จีน ลาว ไทย) เพื่อติดตามเรื่องแผนการซื้อขายไฟฟ้า ๓ ประเทศ มาเลเซียกำลังเตรียมจัดตั้งศูนย์พลังงานทดแทนในรัฐซาบาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนโดยบริษัทของไทย เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ในระดับรัฐต่อรัฐ และบริษัท Mitsui ของญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะลงทุนในโครงการสัมปทานในแหล่งเอราวัณของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16587 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 50/2560 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 59/2559 (ขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ) | สลธ.คสช. | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๐/๒๕๖๐ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๕๙/๒๕๕๙ (ขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ) ลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ให้นายนที ขลิบทอง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติต่อไป จนถึงวันที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16588 | แนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบ | กค | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ด้าน คือ (๑) การจัดทำแผนการส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติ (๒) การสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันหรือองค์กรการออมที่ไม่ใช่สถาบันการเงินในระบบ (๓) การเพิ่มผลิตภัณฑ์การออมและมาตรการลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย และ (๔) การเติมเต็มระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ ทั้งนี้ แนวทางการส่งเสริมการออมทั้งระบบจะส่งผลดี คือ ทำให้ประชาชนตระหนักรู้และเห็นถึงความสำคัญของการบริหารการเงิน รวมทั้งมีความสามารถในการบริหารจัดการเงินของตนเอง ทำให้สหกรณ์ สถาบัน และองค์กรการเงินในระดับชุมชนมีความแข็งแกร่ง ยั่งยืน และเป็นเสาหลักทางการเงินให้กับประชาชนในระดับฐานราก และทำให้ระบบการออมเพื่อการเกษียณอายุของประเทศไทยมีความครอบคลุมแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบได้อย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16589 | ขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) | มท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) ได้จนถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ และเบิกจ่ายเงินตามงวดงาน จำนวน ๕๑๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๙๗,๘๐๗,๑๐๐ บาท โดยแหล่งเงินจำแนกเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว จำนวน ๑๗๖,๐๓๙,๕๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๒๑,๗๖๗,๖๐๐ บาท ๒. อย่างไรก็ตาม จากรายงานแสดงการขยายระยะเวลาเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี โดยกรมบัญชีกลางพบว่ามีโครงการตามมาตรการดังกล่าวที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (รอบที่ ๑) อีกจำนวน ๒๒๕ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘๕,๙๒๔,๗๐๐ บาท แบ่งเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๖,๑๕๔,๙๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๑๙,๗๖๗,๘๐๐ บาท หาก อปท. ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้ขยายระยะเวลากันเงินไว้ ก็เห็นควรให้โครงการดังกล่าวพับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16590 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของผู้นำอาเซียน - แคนาดา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน - แคนาดา ในโอกาสครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - แคนาดา (ASEAN-Canada Joint Leaders' Statement on the Occasion of the Commemorative Summit to Mark the 40th Anniversary of ASEAN-Canada Dialogue Relations) | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของผู้นำอาเซียน-แคนาดา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-แคนาดา ในโอกาสครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-แคนาดา (ASEAN Canada Joint Leaders’ Statement on the Occasion of the Commemorative Summit to Mark the 40th Anniversary of ASEAN Canada Dialogue Relations) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับแคนาดาในช่วง ๔๐ ปีที่ผ่านมา ในด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งด้านประชาชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมาโดยตลอด โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และสนับสนุนสันติภาพ เสถียรภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในประชาคมโลก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองถ้อยแถลงร่วมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16591 | การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 13 | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๓ (13th ASEM Foreign Ministers’ Meeting : ASEM FMM13) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยร่างแถลงการณ์ฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ที่แสดงความมุ่งมั่นของสมาชิก ASEM ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิกให้ความสำคัญ อาทิ การพัฒนาอย่างยั่งยืน การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค และพลังงานทดแทน รวมทั้งประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่มีความสนใจร่วมกัน อาทิ ความร่วมมือทางทะเล การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การต่อต้านการก่อการร้าย และความมั่นคงทางไซเบอร์ ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16592 | ขอเสนออัตราค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการราชทัณฑ์และคณะอนุกรรมการ | ยธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการราชทัณฑ์ และคณะอนุกรรมการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการราชทัณฑ์ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง เฉพาะกรรมการที่มาประชุม ไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน ได้แก่ ประธาน ครั้งละ ๗,๕๐๐ บาท กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ครั้งละ ๖,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานกรรมการไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับประธานกรรมการ ๑.๒ ให้คณะอนุกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง เฉพาะอนุกรรมการที่มาประชุม ไม่เกิน ๑ ครั้งต่อเดือน ได้แก่ ประธาน ครั้งละ ๓,๗๕๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๓,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานอนุกรรมการไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ให้ผู้ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้รับเบี้ยประชุมในอัตราเดียวกับประธานอนุกรรมการ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกรมราชทัณฑ์ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16593 | การร่วมรับรองร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ 4 | รง | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาบัวโนสไอเรส (Buenos Aires Declaration) มีเนื้อหาเน้นความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อขจัดแรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงานผ่านหลักสิทธิมนุษยชน และการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การเก็บข้อมูลและสถิติที่มีประสิทธิภาพ การให้ความคุ้มครองที่เหมาะสมแก่เด็กกลุ่มต่าง ๆ การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม การกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพในการขจัดปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้แรงงานเด็ก รวมถึงการลดความเสี่ยงที่เด็กจะตกเป็นเหยื่อการใช้แรงงานด้วย ๑.๒ เห็นชอบที่ไทยจะรับรองร่างปฏิญญาฯ ในที่ประชุม Global Conference on the Sustained Eradication of Child Labour ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ กรุงบัวโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา โดยมีเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรส เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมและเป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16594 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลการประชุม ASEAN-EU Dialogue on Sustainable Development | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงข่าวของประธานร่วมของการประชุมระดับสูงครั้งแรกระหว่างอาเซียน-สหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน : สู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Draft Co-Chairs’ Press Statement of the Inaugural High-Level ASEAN-EU Dialogue on Sustainable Development : Towards Achieving the Sustainable Development Goals) มีสาระสำคัญคือ (๑) การเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ (๒) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (๓) การเปิดตัวโครงการความร่วมมือใหม่ระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป (๔) การใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มและโครงการต่าง ๆ ของอาเซียนในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน (๕) การขับเคลื่อนประเด็นคาบเกี่ยวที่จะช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้หลายเป้าหมาย (๖) การให้ความสำคัญกับบทบาทของภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ และ (๗) การติดตามผลจากการประชุมฯ โดยแสวงหาข้อริเริ่มความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรหยิบยกประเด็นร่วมภายใต้อาเซียนและสหภาพยุโรปที่มีลำดับความสำคัญสูงขึ้นมาพิจารณาถึงการขับเคลื่อนและใช้ประสบการณ์ร่วมกัน และแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศต่าง ๆ ทั้งในสหภาพยุโรปและอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16595 | บันทึกความเข้าใจด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนระหว่างสำนักงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสวัสดิภาพของมนุษย์แห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย | สธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบบันทึกความเข้าใจด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนระหว่างสำนักงานคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสวัสดิภาพของมนุษย์แห่งสหพันธรัฐรัสเซียและกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding in the Field of Protection of Sanitary and Epidemiological Wellbeing of the Population between the Federal Service for Surveillance on Consumer Rights Protection and Human Wellbeing of the Russian Federation and the Ministry of Public Health of The Kingdom of Thailand) มีสาระสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการปกป้องสุขอนามัยและระบาดวิทยาสุขภาวะของประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะร่วมมือกันในสาขางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การเตรียมการป้องกันโรค การให้ความช่วยเหลือทางวิธีการและการปฏิบัติ การเข้าร่วมประชุมและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในช่วงการประชุม First WHO Global Ministerial Conference on “Ending Tuberculosis in the Sustainable Development Era : A Multisectoral Response” ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ณ สหพันธรัฐรัสเซีย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16596 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบประมาณ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๔๑๓,๙๔๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๒๗ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๔.๙๕ (เป้าหมายภาพรวมร้อยละ ๙.๓๒) จำแนกเป็น ๑.๑ รายจ่ายประจำ จำนวน ๒,๒๔๐,๒๑๙ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๘๑,๗๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๐๔ สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๘๙ (เป้าหมายรายจ่ายประจำร้อยละ ๑๐.๑๕) ๑.๒ รายจ่ายลงทุน จำนวน ๖๕๙,๗๘๑ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑๓๖,๙๓๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๐.๗๕ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒,๒๐๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔.๘๘ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๑.๖๒ (เป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๖.๕๐) ๒. รายจ่ายลงทุนกรณีไม่รวมงบกลาง จำนวน ๕๗๗,๒๙๙ ล้านบาท มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑๓๖,๙๓๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๗๒ และเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๓๒,๒๐๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๘ ต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ ๐.๙๒ (เป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๖.๕๐)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16597 | มาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร07 | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น มีรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ภายใต้แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ หรือกรณีที่มีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณ หรือจากการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย เพื่อนำไปช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการ หรือสิ่งอันเป็นสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ ให้กลับคืนสู่สภาพปกติ หรือเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น โดยให้จัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน กำหนดเป้าหมาย และสถานที่ดำเนินการอย่างชัดเจน รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๒. กรณีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ที่มีรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี และไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้และเบิกจ่ายได้ ให้ดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ เป็นลำดับแรก โดยดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในโอกาสแรก ทั้งนี้ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เร่งดำเนินการใช้จ่ายและก่อหนี้ให้แล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และสำนักงบประมาณจะจัดให้มีระบบการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณและรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเป็นรายไตรมาส เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16598 | ผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน | วธ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) การกล่าวถ้อยแถลงระหว่างการประชุมว่าด้วยความร่วมมือทางวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง (๒) การรับรองข้อริเริ่มหนิงโปว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมล้านช้าง-แม่โขง (Ningbo Initiative on Lancang-Mekong Cultural Cooperation) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกด้านวัฒนธรรม การเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม สร้างรูปแบบการทำงานร่วมกันและเพิ่มพูนการแลกเปลี่ยนระดับบุคคลในทุกระดับให้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนา การรักษา การบริหารจัดการ การถ่ายทอดวัฒนธรรมและศิลปะในด้านต่าง ๆ และ (๓) การเข้าร่วมหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะร่วมกับคณะผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายจีน และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านวัฒนธรรมภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขงเพื่อขับเคลื่อนงานตามภารกิจที่รับผิดชอบภายใต้กรอบความร่วมมือและบูรณาการดำเนินงานร่วมกันต่อไป ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16599 | การขอเลื่อนฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายซูอัด ฟาตาลีเยฟ (Mr. Suad Fataliyev)] | กต | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเลื่อนฐานะ นายซูอัด ฟาตาลีเยฟ (Mr. Suad fataliyev) เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ ณ กรุงบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมสาธารณรัฐอาเซอร์ไบจาน ทั้งนี้ โดยคงสถานะของสถานที่ทำการกงสุล เป็น สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไว้เช่นเดิม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16600 | การแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2541 (ร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ....) | พณ | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๑ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรทบทวนข้อความในร่างข้อ ๙ ซึ่งมีความซ้ำซ้อนกับข้อความตามร่างข้อ ๖ และไม่มีความจำเป็นต้องนิยามคำว่า “สินค้า” ไว้ในร่างระเบียบนี้ รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานกองทุนขึ้นในกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอาจมีความซ้ำซ้อนกับการกำหนดภารกิจของสำนักงานแผนพัฒนาการส่งออกเกี่ยวกับงานเลขานุการของคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนไม่มีความจำเป็นต้องนำเรื่องรายรับของกองทุนฯ มากำหนดไว้ในร่างระเบียบนี้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม แผนงาน โครงการ ตามแผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประทศ (แผนปฏิบัติการประจำปี) ควรให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการค้าระหว่างประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....