ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 216 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 4301 - 4320 จากข้อมูลทั้งหมด 124166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4301 | สรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยสถาบัน IMD ปี 2566 | นร.11 สศช | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ (International
Institute for Management Development : IMD) ปี ๒๕๖๖
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามประเด็นการขับเคลื่อนที่ควรให้ความสำคัญในระยะต่อไป
โดยสถาบัน IMD ได้จัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของ ๖๔ เขตเศรษฐกิจ
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรักษาและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยใช้เกณฑ์ตัวชี้วัดในการจัดลำดับฯ รวมทั้งสิ้น ๓๓๖ ตัวชี้วัด แบ่งเป็น ๔ กลุ่ม
ประกอบด้วย (๑) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (๒) ประสิทธิภาพภาครัฐ (๓)
ประสิทธิภาพภาคธุรกิจ และ (๔) โครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี ๒๕๖๖ ไทยอยู่อันดับที่ ๓๐
ดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕ ที่อยู่อันดับที่ ๓๓ การจัดอันดับฯ ย่อยทุกด้านดีขึ้นจากปี ๒๕๖๕
เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น และมีประเด็นที่ให้ความสำคัญ
เช่น เสถียรภาพทางการเมือง การคอร์รัปชัน กฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวยให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจ
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรางการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม กระทรวงคมนาคม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและวัตกรรม สำนักงาน
ก.พ.ร. และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น
ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกลุ่มตัวชี้วัดที่มีอันตรายค่อนข้างต่ำ
อาทิ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
และด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญและยั่งยืน
ควรให้ความสำคัญกับกลุ่มปัจจัยย่อยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
ที่มีอันดับตกลงมาจากอันดับที่ ๓๘ มาอยู่ที่อันดับ ๓๙ ซึ่งเป็นผลมาจากด้านค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเกิดการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ควรเร่งปรับปรุงและพัฒนางานตามภารกิจตามตัวชี้วัดการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อให้การบริหารงานและการให้บริการมีประสิทธิภาพ และมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล
สามารถเทียบเคียงนานาประเทศได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4302 | แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ยธ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ
ระยะที่ ๒ ดังกล่าวต่อไป โดยแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เป็นการนำพื้นฐานของหลักการ UN Guiding
Principles on Business and Human Rights (UNGPs) ของคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ประกอบด้วยหลักการพื้นฐาน ๓ เสาหลัก ได้แก่ การคุ้มครอง การเคารพ และการเยียวยา
มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ แผนปฏิบัติการด้านแรงงาน
แผนปฏิบัติการด้านชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แผนปฏิบัติการด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และแผนปฏิบัติการด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ
ที่เกิดจากกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทำขึ้น
เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชน
รวมถึงป้องกัน บรรเทา แก้ไข และเยียวยาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยภาคธุรกิจ
ซึ่งเป็นการดำเนินการบนพื้นฐานของความสมัครใจ โดยไม่ได้มีพันธกรณีหรือกฎหมายระหว่างประเทศบังคับให้ต้องปฏิบัติ
โดยแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) มีหลักการพื้นฐาน ๓ เสาหลัก
และมีสาระสำคัญประกอบด้วย ๔ ด้าน เช่นเดียวกับแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๑ (พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๕) แต่มีโครงการ/กิจกรรมที่เป็นตัวชี้วัดภายใต้แผนแตกต่างกัน
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อเสนอแนะ
และข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ได้แก่ (๑)
เป้าหมายและตัวชี้วัดโครงการ/กิจกรรม หากสามารถกำหนดค่าเป้าหมายทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
และแนวทางในการติดตามความกาวหน้าแบบทุกช่วงเวลา
จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนงานตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
ได้ (๒) การประเมินผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
หากสามารถประเมินผลเป็นรายปี จะช่วยให้สามารถกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ส่งผลต่อการขับเคลื่อนโครงการอย่างเป็นรูปธรรม (๓)
การกำหนดตัวชี้วัดควรมีการพิจารณาเพิ่มตัวชี้วัดด้านชุมชน ที่ดิน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
และด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ และ (๔) แผนปฏิบัติการฯ ระยะที่ ๒
(พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) ไม่ถือว่าเป็นแผนระดับที่ ๓
ที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ/พิจารณาก่อนการประกาศใช้
เนื่องจากไม่มีกฎหมายกำหนด และมิใช่พันธกรณีหรืออนุสัญญาระหว่างประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
4303 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. .... | นร.09 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
พ.ศ. .... ของกระทรวงมหาดไทย ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดลักษณะและระบบความปลอดภัยของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับประเภทของอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน โดยกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรมต้องดำเนินการตามที่กำหนดในส่วนที่เกี่ยวกับโครงสร้างโรงแรม
ระบบป้องกันและระงับอัคคีภัย ระบบทางหนีไฟ ลักษณะภายในและภายนอกของอาคาร และการนำอาคารลักษณะพิเศษมาใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
4304 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ รวมทั้งกำหนดมาตรการคุ้มครอง
เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน
ให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ ๙,๕๓๔ ไร่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
4305 | รายละเอียดข้อมูลของรายงานการเงินที่มีการเปลี่ยนไปจากรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี 2565 | กสทช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ที่มีการเปลี่ยนไปจากรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๕ ซึ่งผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว
โดยสำนักงาน กสทช. ได้แก้ไขข้อมูลการเงินฯ สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม
๒๕๖๕ ที่มีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว
มีสาระสำคัญประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
4306 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ | พณ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations : ASEAN) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property
Organization : WIPO) ว่าด้วยการขยายความร่วมมือในสาขาเฉพาะ (Memorandum
of Understanding between the Association of Southeast Asian Nations and the
World Intellectual Property Organization on Expansion of Cooperation in
Specific Areas) และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
ในนามอาเซียน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างอาเซียนและ WIPO ในด้านทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องใหม่นอกเหนือจากที่ดำเนินการอยู่แล้วตามแผนปฏิบัติการด้านทรัพย์สินทางปัญญา
พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘ ที่อาเซียนดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยดำเนินการใน ๔ ประเด็น ได้แก่
(๑) การให้ความช่วยเหลือ SME และสตาร์ทอัพในการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาสนับสนุนการค้าภายในภูมิภาคอาเซียนและระหว่างภูมิภาค
(๒)
การยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจด้วยการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพ
(๓) การสนับสนุนการนำทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้มาใช้ค้ำประกันเงินกู้เพื่อต่อยอดธุรกิจ
และ (๔) การสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้
๔ ปี และไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันด้านงบประมาณ ตามที่กระทรวงพาณิชย์
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4307 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | กษ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการร่างปฏิญญารัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค
ในวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองซีแดตเทิล มลรัฐวอชิงตัน สหรัฐเอริกา
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้แนวนโยบายเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหารของเอเปคในระยะยาว
สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) ของไทย
และสานต่อผลลัพธ์ของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยปี ๒๕๖๕ โดยเฉพาะเป้าหมายกรุงเทพฯ
ว่าด้วยเศรษฐกิจบีซีจี ที่เน้นการใช้นวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ในขณะที่เอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ร่างเอกสารหลักการเพื่อการบรรลุความมันคงอาหารผ่านระบบการเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเปค
สอดคล้องกับการทำงานของเอเปคตามแผนงานความมั่นคงอาหารของเอเปค ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายกรุงเทพฯ
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในประเด็นที่เกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๘ หรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
4308 | ร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 จำนวน 5 ฉบับ | อว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๕๘ จำนวน ๕ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑
ร่างกฎกระทรวงกำหนดประเภทและชนิดของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและประเภทของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๑.๒
ร่างกฎกระทรวงกำหนดสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นสัตว์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสิ่งมีชีวิตอื่นที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ว่ามีประสาทรับรู้ถึงความเจ็บปวดเป็นสัตว์ ๑.๓
ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาตใช้หรือผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขอรับใบอนุญาต
คุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต
และการขอรับใบแทนใบอนุญาตใช้หรือผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๑.๔
ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการใช้และผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการใช้และผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๑.๕
ร่างกฎกระทรวงกำหนดงานที่ไม่เป็นงานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดงานที่ไม่เป็นงานทางวิทยาศาสตร์ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรพิจารณาร่างกฎกระทรวงให้มีความชัดเจน ไม่ขัดต่อกฎระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง
ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการลดอุปสรรคหรือช่องว่างในทางปฏิบัติ
โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดคำนิยาม “สัตว์ทดลอง” “สัตว์เลี้ยง” และ
“สัตว์จากธรรมชาติ”
ในร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและประเภทของสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ....
รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม
และสร้างความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อการนำสัตว์เลี้ยงและสัตว์จากธรรมชาติมาใช้เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งจะเป็นการลดปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนผู้เลี้ยงสัตว์
ผู้ประกอบการฟาร์มสัตว์ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลสัตว์จากธรรมชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4309 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 (กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาและเงินทุนหมุนเวียนเพื่อให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกู้ยืมเพื่อชำระหนี้สิน) | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาและเงินทุนหมุนเวียนเพื่อให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกู้ยืมเพื่อชำระหนี้สิน
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า รายงานการเงินของทั้ง ๒
หน่วยงานดังกล่าว
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
4310 | เอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน (Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Nitric Acid Climate Action Group : NACAG) (คาโปรแลคตัม) | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงาน
(Statement of Undertaking : SoU) ของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ
(Nitric Acid Climate Action Group : NACAG) (คาโปรแลคตัม) โดยให้รัฐมนตีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนลงนามในเอกสารดังกล่าว
และมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานภายใต้กลุ่ม NACAG ของไทยให้สอดคล้องกับเอกสาร SoU (คาโปรแลคตัม)
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำผลการลดก๊าซไนตรัสออกไซด์จากสถานประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม
NACAG ไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย NDC ของไทย
และไม่นำไปซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศตามความตกลงปารีส โดยเอกสาร SoU (คาโปรแลคตัม) มีสาระสำคัญใกล้เคียง SoU (กรดไนตริก) โดยปรับเปลี่ยนจากการผลิตกรดไนตริกเป็นคาโปรแลคตัม
และยืนยันว่าภายใน ๓ ปี หลังจากการลงนามใน SoU (คาโปรแลคตัม) สถานประกอบการผลิตคาโปรแลคตัมทั้งหมดในไทยจะติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซwไนตรัสออกไซด์จากวงจรการผลิต โดยกลุ่ม NACAG
จะให้การสนับสนุนเทคโนโลยีแก่ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารถ้อยแถลงเพื่อการดำเนินงานของกลุ่มดำเนินงานด้านกรดไนตริกเพื่อสภาพภูมิอากาศ
(คาโปรแลคตัม) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีต่อ
ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความประหยัด ความคุ้มค่า
ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับการบูรณษการของหน่วยงานหลักและหน่วยงานสนับสนุน
และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4311 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 (กองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาและเงินทุนหมุนเวียนเพื่อให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกู้ยืมเพื่อชำระหนี้สิน) | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาและเงินทุนหมุนเวียนเพื่อให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกู้ยืมเพื่อชำระหนี้สิน
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า รายงานการเงินของทั้ง ๒
หน่วยงานดังกล่าว
ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
4312 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาล | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กรมที่ดินชำระหนี้ให้กับบริษัท
สามารถคอมเทค จำกัด ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดให้ครบถ้วน ภายในกรองวงเงิน
๘๐๗,๖๓๘,๗๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗๘๒,๕๗๗,๖๐๐ บาท
โดยให้เบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และส่วนที่เหลือ ภายในกรอบวงเงิน ๒๕,๐๖๑,๑๐๐ บาท
ได้แก่ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จ
โดยให้กรมที่ดินเร่งเจรจาต่อรองดอกเบี้ยให้ได้วงเงินต่ำสุด
เพื่อโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีเงินจัดสรรเหลือจ่าย
หรือรายการที่หมดความจำเป็น หรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อให้จ่ายให้กับผู้ฟ้องคดีโดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมที่ดิน) ดำเนินการต่อไปได้
เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๓) แล้ว
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรดำเนินการเบิกจ่ายโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดภาระดอกเบี้ยจากการชำระหนี้ล่าช้า
ไปประกอบการดำเนินการอย่างเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4313 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาการใช้บังคับในวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๗
เพื่อกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
โดยกรมเจ้าท่ามีประเด็นข้อสังเกต ตามข้อ ๑๓ ของร่างประกาศฯ ดังกล่าว
กำหนดว่า “ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ก่อนการดำเนินโครงการ
หรือประกอบกิจการ รวมทั้งขั้นตอนการขยายขนาดของโครงการ หรือกิจการ
ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรณี (ง) ท่าเทียบเรือทุกประเภทที่สามารถรับเรือขนาดตั้งแต่ ๑๐๐ ตันกรอส แต่ไม่ถึง
๕๐๐ ตันกรอส หรือมีความยาวหน้าท่าตั้งแต่ ๒๐ เมตร แต่ไม่ถึง ๑๐๐ เมตร
หรือมีพื้นที่ท่าเทียบเรือรวม ตั้งแต่ ๒๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร ยกเว้นโครงการ กิจการ
หรือการดำเนินการเพื่อความมั่นคงแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
และ (จ) ท่าเทียบเรือสำราญและกีฬาที่รองรับได้ตั้งแต่ ๕ ลำ แต่ไม่ถึง ๕๐ ลำ
หรือมีพื้นที่ ตั้งแต่ ๑๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐
ตารางเมตร” ซึ่งเป็นการกระทบต่อภารกิจของกรมเจ้าท่าในการปลูกสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริม
และพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำและการพาณิชยนาวี
จึงให้ยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
กรณีเป็นโครงการปลูกสร้างท่าเทียบเรือของส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
4314 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพุทธมณฑล
จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลคลองโยง ตำบลศาลายา
ตำบลมหาสวัสดิ์ อำเภอพุทธมณฑล และตำบลหอมเกร็ด ตำบลทรงคนอง ตำบลบางเตย
อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา
การศาสนา พาณิชยกรรมและการบริการ
การรองรับการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของประชากรและแรงงานส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนด้วยการพัฒนาการผลิตทางด้านเกษตรกรรมแบบผสมผสานการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
การชลประทานและการระบายน้ำ การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค การสาธารณูปการ
และการดำรงรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่นด้วย
การพิจารณาอนุญาตต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
ให้พิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทยในประเภทหรือชนิดของโรงงานลำดับที่
๒๒ (๒) การทอหรือการเตรียมเส้นด้ายยืนสำหรับการทอ และโรงงานลำดับที่ ๒๒ (๔)
โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการพิมพ์สิ่งทอ ให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง กำหนดจำนวน ขนาด
และประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ไม่ให้ตั้งหรือขยายในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ.
๒๕๕๐ และควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
4315 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง อำเภอชะอำ
จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง
อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เป็นพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีมาตรการแก้ไขและป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าในปัจจุบันประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง
กำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด ในเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ.
๒๕๖๖
และมีการกำหนดเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดแยกเป็นรายจังหวัด
กรมเจ้าท่ามีประเด็นข้อสังเกต ตามข้อ ๑๕ ของร่างประกาศฯ ดังกล่าว กำหนดว่า
“ในขั้นขออนุมัติหรือขออนุญาตโครงการ ก่อนการดำเนินโครงการ หรือประกอบกิจการ
รวมทั้งขั้นตอนการขยายขนาดของโครงการ หรือกิจการ
ให้จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรณี (ง) ท่าเทียบเรือสาธารณะสำหรับเรือประมงหรือเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยว
ที่มีพื้นที่รวมของท่าเทียบเรือตั้งแต่ ๑๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร และ (จ) ท่าเทียบเรือสำราญกีฬาที่รองรับได้ตั้งแต่
๕ ลำ แต่ไม่ถึง ๕๐ ลำ หรือมีพื้นที่ ตั้งแต่ ๑๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร” ซึ่งเป็นการกระทบต่อภารกิจของกรมเจ้าท่าในการปลูกสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริม
และพัฒนาระบบการขนส่งทางน้ำและการพาณิชยนาวี
จึงให้ยกเว้นไม่ต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว
กรณีเป็นโครงการปลูกสร้างท่าเทียบเรือของส่วนราชการ ไปประกอบการพิจารณาต่อไปด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
4316 | แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ) | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง
การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ราย นายตติรัฐ รัตนเศรษฐ ซึ่งได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
4317 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
รวมทั้งปรับปรุงบัญชีรายชื่อโบราณสถานทีได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่จะเรียกเก็บค่าเข้าชมได้
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเข้าชมสำหรับโบราณสถานที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเฉพาะบุคคลสัญชาติอื่นตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณานำเงินรายได้จากการจัดเก็บค่าเข้าชมและค่าบริการอื่นดังกล่าวไปใช้เร่งรัดการพัฒนามาตรฐานและการอำนวยความสะดวกของโบราณสถานและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
อาทิ การอำนวยความปลอดภัย การรักษาความสะอาด การพัฒนาห้องน้ำสำหรับนักท่องเที่ยว
และการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
4318 | โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก | นร. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖
รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอว่า
แม้ว่าจังหวัดภูเก็ตจะไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นพื้นที่จัดงานเอ็กซ์โป วาระพิเศษ
(Specialised Expo) ในปี ๒๕๗๑ แล้ว
แต่โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก
ซึ่งฝ่ายไทยเสนอภายใต้การจัดงานเอ็กซ์โปฯ ดังกล่าว
เป็นโครงการที่ดีและมีศักยภาพสูง
สมควรที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่วข้องจะร่วมกันผลักดันและขับเคลื่อนการดำเนินโครงการดังกล่าวให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัดภูเก็ต
ทั้งในด้านการให้บริการสุขภาพ (Medical Service) และการบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ
(Wellness Service) รวมทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ
(Medical Hub) (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ระยะ ๑๐ ปี
ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เห็นชอบไว้แล้วด้วย
ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับเรื่อง
โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก
ไปหารือในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้แนวทางการดำเนินโครงการที่ชัดเจน
และเหมาะสมก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
4319 | รัฐบาลเครือรัฐออสเตรเลียขอขยายเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่เครือรัฐออสเตรเลีย ณ จังหวัดภูเก็ต | กต. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบขยายเขตกงสุลของสถานกงสุลใหญ่เครือรัฐออสเตรเลีย ณ
จังหวัดภูเก็ต จากเดิมมีเขตกงสุลครอบคลุม ๓ จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ และพังงา
เป็นมีเขตกงสุลครอบคลุมเพิ่มเติมอีก ๗ จังหวัด ได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง
ระนอง สตูล สุราษฎร์ธานี และตรัง จึงมีผลให้สถานกงสุลใหญ่ฯ มีเขตกงสุลครอบคลุม ๑๐ จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต ชุมพร
กระบี่ นครศรีธรรมราช พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สุราษฎร์ธานี และตรัง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
4320 | การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองคราคูฟ และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองคราคูฟ สาธารณรัฐโปแลนด์ (นายเวียสวัฟ เฮนริก ชิซนอฟสกี) | กต. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. การเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองคราคูฟ
สาธารณรัฐโปรแลนด์ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดมาวอพอลสกี จังหวัดไซลีเชีย
จังหวัดออปอลสกี และจังหวัดโลเวอร์ไซลีเชีย
|