ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 214 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 4261 - 4280 จากข้อมูลทั้งหมด 124166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4261 | การสิ้นสุดหน้าที่ของ นาย เอช. เอช. เอ็ม เรยกร๊อค กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครอัมสเตอร์ดัม ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และการปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครอัมสเตอร์ดัม ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ เป็นการชั่วคราว | กต. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. การสิ้นสุดหน้าที่ของ นาย เอช. เอช. เอ็ม เรยกร๊อค
(Mr. H. H. M. Ruijgrok) กงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครอัมสเตอร์ดัม
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ตั้งแต่วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖ เนื่องจากถึงแก่กรรม ๒. การปิดสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครอัมสเตอร์ดัม
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครอัมสเตอร์ดัม
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์คนใหม่
|
||||||||||||||||||||||||
4262 | รัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียเสนอขอแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย ณ จังหวัดภูเก็ต (นายเอกอร์ วี. อีวานอฟ) | กต. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายเอกอร์ วี. อีวานอฟ (Mr. Egor V. Ivanov) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหพันธรัฐรัสเซีย
ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต ชุมพร กระบี่ นครศรีธรรมราช
นราธิวาส ปัตตานี พังงา พัทลุง ระนอง สตูล สงขลา ตรัง และยะลา สืบแทน นายวลาดีมีร์
วี. ซอสนอฟ (Mr. Viadimir V. Sosnov)
ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
4263 | การรายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan: DPL) | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
(Development Policy Loan : DPL) และการปิดบัญชีโครงการเงินกู้ DPL โดยโครงการเงินกู้
DPL มีจำนวน ๑๒๐ โครงการ วงเงินรวม ๔๒,๖๖๗.๔๒ ล้านบาท
แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่ (๑) โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
๒๕๕๕ จำนวน ๗๐ โครงการ วงเงิน ๑๗,๖๘๔.๙๙ ล้านบาท มีการเบิกจ่าย ๑๖,๘๒๐.๘๑ ล้านบาท
และ (๒) โครงการเงินกู้ DPL นอกแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
๒๕๕๕ จำนวน ๕๐ โครงการ วงเงิน ๒๔,๙๘๒.๔๓ ล้านบาท
แบ่งเป็นโครงการที่เบิกจ่ายเงินกู้แล้วเสร็จ จำนวน ๔๕ โครงการ วงเงินการเบิกจ่าย
๒๑,๕๕๔.๓๖ ล้านบาท และโครงการที่ยุติโครงการ จำนวน ๕ โครงการ เนื่องจากคุณสมบัติของโครงการต่าง
ๆ ที่ได้ระบุไว้ในคำของบประมาณ มีคุณสมบัติที่ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ทั้งนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แจ้งว่า ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินกู้ DPL เป็นศูนย์
โดยไม่มีความจำเป็นต้องเบิกจ่ายเงินกู้โครงการเงินกู้ DPL แล้ว
สบน. จึงขอให้กรมบัญชีกลางปิดบัญชี
“เงินฝากเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน”
ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ปิดบัญชีดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
4264 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2566 | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่
๒ ปี ๒๕๖๖ ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การประเมินภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๖ โดยเศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๒.๗ ในปี
๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ จากแรงส่งภาคบริการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกลุ่มยุโรป
ขณะที่เศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มขยายตัวภายหลังจากเปิดประเทศ
และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องโดยขยายตัวที่ร้อยละ ๓.๖ และ ๓.๘ ในปี
๒๕๖๖ และ ๒๕๖๗ ตามลำดับ การบริโภคของภาคเอกชน ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๔.๔
และมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย ปี ๒๕๖๖ มีแนวโน้มหดตัวลงเล็กน้อย
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕ และร้อยละ ๒.๔ ในปี ๒๕๖๖ และ
๒๕๖๗ ตามลำดับ ๒.
ภาวะการเงินโดยรวมผ่อนคลายลดลงจากต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๔.๔๐ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยไตรมาสก่อน ๓.
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๖ กนง.
มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นร้อยละ ๒ ต่อปี
โดยเห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
และประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน
ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
|
||||||||||||||||||||||||
4265 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์) | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์
ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ต่ออีกหนึ่งวาระ เนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี
เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
4266 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กรณีการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณชุมชนตลาดชลประทานปากเกร็ด | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
กรณีการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณชุมชนตลาดชลประทานปากเกร็ด
ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยแล้ว มีผลสรุปในภาพรวมว่า
กรมธนารักษ์ โดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นนทบุรี และบริษัท บ้านขวัญนนท์ จำกัด
ได้กำหนดแนวทางการให้สิทธิแก่ผู้ค้าขายรายเดิมให้ได้รับสิทธิอย่างเหมาะสมตามสมควรแก่กรณีแล้ว
และได้บรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยด้วยแล้ว
รวมทั้งได้แก้ไขปัญหาระหว่างการก่อสร้างอาคารเพื่อลดผลกระทบระหว่างผู้ค้าขายกับผู้มีส่วนได้เสียเรียบร้อยแล้ว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4267 | รายงานผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน และงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานฐานะทางการเงินและงบการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕-๒๕๖๕ กองทุนฯ
ได้บริหารเงินที่ได้รับจากการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ วงเงินรวม ๑,๑๑๕,๖๘๘.๑๖ ล้านบาท และได้รับผลตอบแทนเพื่อให้กระทรวงการคลังนำไปสมทบการชำระหนี้
จำนวน ๖,๗๑๘.๗๗ ล้านบาท และได้รายงานผลการดำเนินงาน
ฐานะทางการเงิน และงบการเงินต่อกรมบัญชีกลางทุกปี ๒.
ผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ กองทุนฯ ได้บริหารเงิน จำนวน ๕๘,๔๖๖.๘๐
ล้านบาท และได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน รวม ๔๕.๔๐ ล้านบาท นอกจากนี้ กองทุน ฯ
มีผลประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี ๒๕๖๕ อยู่ที่ ๔.๙๖๗๕ คะแนน
จากคะแนนเต็ม ๕ คะแนน ๓.
ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า
รายงานการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
และผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกัน
โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
4268 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ประจำปี 2566 (Ministers Responsible for Trade Meeting 2023) | พณ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๖ (Ministers Responsible for Trade Meeting
2023) ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน
สหรัฐอเมริกา โดยมีรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์)
เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. ที่ประชุมฯ
ยืนยันให้การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี
เร่งรัดการปฏิบัติตามผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก (World
Trade Organization : WTO) ครั้งที่ ๑๒ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๖๕
และสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการประชุมครั้งต่อไป โดยผู้อำนวยการใหญ่
WTO คาดหวังให้ประเด็นการค้าและการพัฒนาเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ดังกล่าว ๒.
ที่ประชุมฯ มีการนำเสนอนโยบายทางการค้าหรือมาตรการภายในที่สนับสนุนความยั่งยืนและส่งเสริมความครอบคลุม
เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium Enterprises : MSMEs) ของสตรีและกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่
ทั้งนี้ ไทยสนับสนุนให้สานต่อการขับเคลื่อนเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ
เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว [Bangkok Goals on
Bio-Circular-Green Economy (BCG Economy)] ๓.
ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาได้หารือร่วมกับผู้ประกอบการ SMEs เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีหรือบริการทางดิจิทัลในสาขาการชำระเงิน
แพลตฟอร์มทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการดำเนินการด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนให้
SMEs สามารถเข้าสู่เศรษฐกิจโลกได้มากขึ้น ๔. เขตเศรษฐกิจเห็นพ้องกันในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าการลงทุน
แต่เนื่องจากเหตุทางการเมืองระหว่างประเทศ (สงครามสหพันธรัฐรัสเซีย-ยูเครน) ที่ประชุมฯ
จึงไม่สามารถมีฉันทามติรับรองแถลงการณ์ร่วมฯ ได้ จึงปรากฏเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ
และมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมในบางประเด็นซึ่งไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่
๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
|
||||||||||||||||||||||||
4269 | รายงานงบการเงินของกองทุนพัฒนายางพารา สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565 ของการยางแห่งประเทศไทย | กษ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานงบการเงินของกองทุนพัฒนายางพารา
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ ของการยางแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะทางการเงิน และงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้ว
เห็นว่างบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
4270 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลรุ่น LB236A | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล
รุ่น LB236A สรุปได้ ดังนี้ (๑) พันธบัตรรัฐบาล
รุ่น LB236A ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟู
และพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๖ มิถุนายน
๒๕๖๖ จำนวน ๙๘,๑๖๓ ล้านบาท
ซึ่งกระทรวงการคลังได้กู้เงินล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาลดังกล่าวแล้ว
จำนวน ๖๓,๓๔๐ ล้านบาท ส่วนการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล
รุ่น LB236A
ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่สอง
ส่วนที่เหลือกระทรวงการคลังได้กู้เงินระยะยาวโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวนรวม
๓๔,๘๒๓ ล้านบาท และ (๒) กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง
เกี่ยวกับผลการกู้เงิน เพื่อปรับโครงสร้างหนี้โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
(พระราชกำหนดช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ระยะที่ ๒) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
4271 | รายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ | นร.10 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ โดยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน
ก.พ. ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขในระหว่างเดือนธันวาคม
๒๕๖๕ ถึงปัจจุบัน รวม ๓ ครั้ง มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑)
ประเด็นปัญหาการบริหารทรัพยากรบุคคลของกระทรวงสาธารณสุขที่สำคัญ เช่น
การขาดแคลนอัตรากำลัง การปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทน
และการปรับปรุงสวัสดิการให้แก่บุคลากร (๒)
เห็นควรตั้งคณะทำงานร่วมของทั้งสองหน่วยงานในการกำหนดกรอบประเด็นปัญหาในภาพรวมและประเด็นที่จะต้องดำเนินการแก้ไขเร่งด่วน
และ (๓) แนวทางการแก้ปัญหา กำหนดเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน เช่น
การกำหนดตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษในราชการส่วนภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น และระยะยาว
เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตนักศึกษาในสายงานบุคลากรทางการแพทย์
การปรับปรุงพัฒนาระบบสวัสดิการ และค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ตามที่สำนักงาน
ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
4272 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 | กค. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี
งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ ประกอบด้วย (๑)
รายงานผลการดำเนินงานปีบัญชี ๒๕๖๕ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๖๔ ได้แก่
งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนและกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (๒) ทิศทางและแผนยุทธศาสตร์
ปี ๒๕๖๖-๒๕๗๐ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ จำนวน ๗ ด้าน เช่น ผลักดันการขยายธุรกิจ New S-curve และธุรกิจบริการเพื่อสร้างมูลค้าใหม่
(Soft Power and Growth Driver)
ยกระดับธุรกิจไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว (End to End Net Zero Economy Escalator)
และสร้างศักยภาพและความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว
อันเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4273 | รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจำปี 2562-2564 | อว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
ประจำปี ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
การดำเนินการตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ เช่น
การจัดทำกฎหมายลำดับรองประกอบการบังคับใช้ การจัดทำระบบการให้บริการแบบออนไลน์
และการประกาศนโยบายการกำกับดูแลและส่งเสริมการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ๒.
ผลการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๔ โดยในปี ๒๕๖๔ มีการดำเนินการที่สำคัญ เช่น (๑) สถานที่ดำเนินการต่อสัตว์ฯ
มีจำนวนรวมทั้งสิ้น ๒๙๙ แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยมากที่สุด (๒)
สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ มีการใช้สัตว์ฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น ๖๖.๕ ล้านตัว
โดยสัตว์ประเภทสัตว์ทดลองที่นิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ หนูเมาส์ หนูแรท และหนูตะเภา
(๓) ผู้ใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ มีการยื่นขอรับใบอนุญาตใช้สัตว์ฯ ตั้งแต่ปี
๒๕๕๘-๒๕๖๔ ทั้งสิ้น ๙,๕๐๑ คน (๔) ผู้ผลิตสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์
มีการยื่นขอรับใบอนุญาตผลิตสัตว์ฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ทั้งสิ้น
๑๖๗ คน (๕) การดำเนินการนำเข้า ส่งออก นำผ่านราชอาณาจักรฯ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๔
มีการแจ้งนำเข้าซึ่งสัตว์ฯ รวม ๙๐ ครั้ง และแจ้งส่งออกซึ่งสัตว์ฯ รวม ๒๓๖ ครั้ง
และ (๖) การขายสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสิ้น ๘๔,๓๘๓ ตัว ๓.
การพัฒนางานการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ในระยะต่อไป เช่น
การพัฒนาคุณภาพสัตว์ทดลองทั้งชนิดและปริมาณให้หลากหลายตามความตองการของผู้ใช้
และการพัฒนาสถานที่ดำเนินการต่อสัตว์ฯ ให้ได้มาตรฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
4274 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน - มิถุนายน 2566 | นร.12 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา
๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ ในช่วงระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน
๒๕๖๖ ซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๕
โดยมาตรา ๑๖๕ กำหนดให้ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันพิจารณาเพื่อดำเนินการให้หน่วยงานดังกล่าวรับผิดชอบในการป้องกันและปราบปราม
การสืบสวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายนั้น ๆ
ทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่จะได้ตกลงกัน
โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการบูรณาการในการปฏิบัติหน้าที่ และการแบ่งเบาภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือน ๒. ประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
(นายวิษณุ เครืองาม) ได้เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่
๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ ได้ข้อยุติร่วมกันในการกำหนดความรับผิดชอบ
โดยให้ตัดโอนภารกิจด้านการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวน (ก่อนการจับกุม)
และการจับกุมให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนภารกิจด้านการสอบสวน
ตำรวจยังคงรับผิดชอบเช่นเดิม ซึ่งการตัดโอนภารกิจดังกล่าวกระทำได้ตามกรอบกฎหมาย ๘
ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งให้อำนาจพนักงาน เจ้าหน้าที่
เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ส่วนกฎหมายอีก
๕ ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่มีอำนาจในการปราบปรามและจับกุม
จึงยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
4275 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวโน้มการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโลจิสติกส์ไทย
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
สรุปผลได้ ดังนี้ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในส่วนของการให้หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการพัฒนาในประเด็นแนวโน้มที่มีการดำเนินการแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์นั้น
ได้มีการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มมีความหลากหลายและมีมาตรฐานต่างกัน เช่น
การพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ให้มีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
การเร่งรัดการพัฒนาระบบการค้าดิจิทัลแพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Digital
Trade Platform : NDTP) และขยายผล ASEAN Single Window (ASW)
ให้สามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่นนอกอาเซียน
มีการพัฒนาระบบข้อมูลดิจิทัลด้านโลจิสติกส์ โดยพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ (Big
Data) การขนส่งและโลจิสติกส์ เช่น
จัดทำระบบฐานข้อมูลการค้าธุรกิจบริการโลจิสติกส์ในรูปแบบ Dashboard รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจการค้า และสถิติการค้าธุรกิจโลจิสติกส์
และขยายการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศ เช่น พัฒนาการจัดการและการบริการโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าทางอากาศด้วยระบบดิจิทัล
ในส่วนของการให้ภาครัฐเร่งพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่มีความรวดเร็วนั้น
ได้มีการนำระบบการขนส่งอัจฉริยะ (ITS) มาใช้เพิ่มมากขึ้น
เช่น ติดตั้งระบบ Lane Management System ในเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ขยายผลการติดตั้ง
GPS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการใช้รถ/ใช้ถนนของรถโดยสารและรถบรรทุก
และได้มีการยกระดับการพัฒนาท่าเรือดิจิทัลให้เป็น e-Port Community System
(PCS) เพื่อการบริหารจัดการอำนวยความสะดวกในภาพรวม
ซึ่งการท่าเรือแห่งประเทศไทยได้ดำเนินโครงการจ้างเหมาเพื่อพัฒนาระบบดังกล่าวแล้ว
ในส่วนของการให้ภาครัฐสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านการขนส่งด้วยวิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น
ได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอน การปฏิบัติภายในหน่วยงานเพื่อให้การดำเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแพลตฟอร์มของระบบต่าง
ๆ ได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น จัดทำ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐)
เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย
และในส่วนของการพัฒนาทุนมนุษย์ด้านโลจิสติกส์ ได้มีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ Logistics
Startup ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น
โดยภาครัฐมีมาตรการสร้างการเติบโตและกระตุ้นธุรกิจด้าน Digital Logistics
Startup ของประเทศ เช่น จัดกิจกรรมเพื่อดำเนินการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยและต่างประเทศ
และมีการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโลจิสติกส์เพิ่มขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมต่าง
ๆ ให้แก่บุคลากร เช่น เผยแพร่ ถ่ายทอดความรู้
ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า
พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4276 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา สรุปผลการพิจารณาได้ว่า (๑)
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องแผนการลงทุนให้กับข้าราชการทราบผ่านทางช่องทางต่าง
ๆ เช่น โทรศัพท์ โทรสาร ใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์
แอปพลิเคชัน และเฟสบุ๊คแล้ว (๒)
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การนำเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการไปใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
อาจไม่คุ้มค่าและเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากเงินออม และ (๓)
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้นำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการที่อยู่ในบัญชีเงินสำรองไปลงทุนในหลักทรัพย์
โดยพิจารณาให้เกิดประโยชน์แก่เงินสำรองมากที่สุด เพื่อให้รัฐสามารถประหยัดงบประมาณในการนำส่งเงินสำรองมาให้กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการบริหาร
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4277 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง มาตรการสนับสนุนสายการบินของไทยภายใต้นโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง มาตรการสนับสนุนสายการบินของไทยภายใต้นโยบายการเปิดน่านฟ้าเสรี
ของคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และสรุปผลการดำเนินงานได้ว่า ระยะสั้น
ภายใน ๑-๒ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
เห็นควรให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนสิทธิการบินและเส้นทางบินที่สำคัญ
โดยเฉพาะเส้นทางบินที่ประเทศไทยยังคงมีข้อเสียเปรียบ
รวมทั้งเส้นทางบินที่สายการบินต้นทุนต่ำ (Low
Cost Carrier : LCC) เปิดให้บริการในปัจจุบัน
เนื่องจากสายการบินต้นทุนต่ำมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีการแข่งขันในตลาดสูง
และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาพัฒนาขีดความสามารถเพื่อรองรับการเติบโตของปริมาณการจราจรทางอากาศทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ซึ่งจะส่งผลให้การขนส่งทางอากาศของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
ระยะกลาง ภายใน ๓-๕ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
พัฒนาศักยภาพการบริการการจราจรทางอากาศของประเทศให้มีประสิทธิภาพรองรับปริมาณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
ซึ่งได้ดำเนินการตามแผนแม่บทห้วงอากาศและการเดินอากาศแห่งชาติแล้ว
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาทบทวนแนวทางในการเจรจาจัดทำความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระดับทวิภาคี
โดยเฉพาะการบินพิสัยไกลที่ประเทศไทยมีความสามารถทางการแข่งขันอ่อนกว่าประเทศคู่สัญญา
รวมถึงเจรจาเส้นทางบินใหม่
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภค เป็นต้น และระยะยาว
ภายใน ๖-๑๐ ปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดำเนินการ เช่น
ติดตามและประเมินผลกระทบเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ทางการตลาดและปัจจัยอื่น ๆ
เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของตลาดและเชื่อมโยงไปยังภาคธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อกำหนดเป้าหมายการพัฒนาในระยะยาว
และได้จัดทำนโยบายเพื่อให้มีกฎหมายที่สามารถสร้างผลลัพธ์สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างคล่องตัวและทันท่วงทีด้านการบินให้มีความชัดเจน
เพื่อลดต้นทุนในการกำกับดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรมการบินให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
เป็นต้น รวมทั้งมีข้อเสนอแนะอื่น ๆ ควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น ต้นทุนของผู้ประกอบการ การติดต่อทางธุรกิจ
และการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
และกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมให้การสนับสนุนเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการบินภายใต้การเปิดน่านฟ้าเสรี
และเป็น Hub ของการซ่อมบำรุงและผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4278 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ความเสียหายจากข้อผูกพันสัญญาในการดำเนินโครงการของรัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ความเสียหายจากข้อผูกพันสัญญาในการดำเนินโครงการของรัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงาน
พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่า
ประเด็นตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ บางประการ เช่น
การกำหนดมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการร่วมลงทุน การป้องกันการทุจริต เป็นต้น
พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้กำหนดรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวไว้ชัดเจนแล้ว ส่วนประเด็นอื่น ๆ
เกี่ยวกับกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับไปพิจารณาต่อไป
สำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการนั้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่
ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาศึกษาก่อนแก้ไขกฎหมายดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4279 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลได้
ดังนี้ แนวทางการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ภายใต้ “๑ โครงการ ๑ QR Code” เพื่อเปิดโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้เครือข่ายภาคประชาสังคมหรือประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเฝ้าระวัง
สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตนนั้น
ปัจจุบันกรมบัญชีกลางมีระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government
Procurement : e-GP) อยู่แล้ว
โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำ QR
Code เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อมูลโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
วงเงินงบประมาณ ราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดาวน์โหลด QR Code นำไปใส่ไว้ในป้ายโครงการก่อสร้าง และผู้สนใจทั่วไปสามารถสแกน QR
Code เพื่อดูรายละเอียดโครงการได้
และกรมบัญชีกลางจะพัฒนาเว็บเพจรวบรวมช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความมั่นใจ รวมทั้งจะพัฒนาช่องทางการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการปรับปรุงระบบ e-GP เพื่อรองรับแนวทางในการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยสามารถแบ่งระยะเวลาการดำเนินการได้เป็น ๒ ระยะ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาผู้พัฒนาระบบงาน (ระยะที่ ๒
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) อย่างไรก็ตาม
กรมบัญชีกลางได้ประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างว่าต้องจัดทำ
QR Code ไว้ที่ป้ายโครงการแล้ว
และได้รับแจ้งว่าการกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการติดตั้งแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการในปัจจุบันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๒ มกราคม ๒๕๕๑) ดังนั้น หากต้องการให้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำ QR Code ไปแสดงในป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้าง จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติกำหนดแนวทางในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
4280 | รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการ (จำนวน 5 ราย) | นร 05 | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการ
จำนวน ๕ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพีรพันธ์
คอทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒.
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายเถลิงศักดิ์
เพ็ชรสุวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม ๓.
กระทรวงแรงงาน นายสมาสภ์
ปัทมะสุคนธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ๔. สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ นายศุภฤกษ์ ภู่พงศ์ศักดิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ยุทธศาสตร์ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ๕. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ
ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก |