ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 215 จากทั้งหมด 6209 หน้า แสดงรายการที่ 4281 - 4300 จากข้อมูลทั้งหมด 124166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
4281 | รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ประจำปี 2563 และปี 2564 | พม. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงในครอบครัวตามมาตรา
๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี
๒๕๖๓ และปี ๒๕๖๔ โดยเป็นการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว
จำนวนคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์
และจำนวนการละเมิดคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ของพนักงานเจ้าหน้าที่และศาล
และจำนวนการยอมความ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4282 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
และกำหนดระยะเวลาให้สภาท้องถิ่นพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น สำหรับหลักการห้ามมิให้สภาท้องถิ่นแก้ไขสาระสำคัญของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชน
หรือหากต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะต้องกระทำโดยกระบวนการเข้าชื่อของประชาชนนั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อห้ามการแก้ไขสาระสำคัญของข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชนไว้
และพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๕
บัญญัติให้การพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ต้องตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณา
โดยให้สภาท้องถิ่นแต่งตั้งผู้แทนของผู้เข้าชื่อร่วมเป็นกรรมการวิสามัญด้วย
ประกอบกับการตราข้อบัญญัติท้องถิ่นกระทำโดยสภาท้องถิ่นซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
ย่อมคำนึงถึงความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดมาตรฐานไว้ นอกจากนี้ การเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติเป็นไปเพื่อการแก้ไขและพัฒนาท้องถิ่น
การให้รางวัลในรูปแบบการเชิดชูเกียรติแก่บุคคล ย่อมเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น
ได้มีการจัดทำโครงการระบบฐานข้อมูล Smart
Law ซึ่งจะมีระบบสืบค้นกฎหมาย ระเบียบ ข้อหารือ
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องผ่าน Web application และ Mobile
application และมีศูนย์รวมข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น (คลังข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น)
เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนสืบค้นตัวอย่างข้อบัญญัติท้องถิ่นได้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4283 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา สรุปได้ ดังนี้ การป้องกันมิให้พยานใช้มาตรการคุ้มครองพยานเป็นเครื่องมือปกป้องตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมาย
กระทรวงยุติธรรมจะได้กำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบให้มีการพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษต่อไป
บทนิยามคำว่า “พยาน” ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ครอบคลุมจำเลยในคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลมีความสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ
และพันธกรณีระหว่างประเทศในเรื่องความเสมอภาคและการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดนั้นแล้ว
และกระทรวงยุติธรรมจะได้รับข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินการมาตรการพิเศษในการเปลี่ยนชื่อตัว
ชื่อสกุล และหลักฐานทางทะเบียน
รวมทั้งการดำเนินการเพื่อกลับสู่ฐานะเดิมตามคำขอของพยานไปประกอบการพิจารณาจัดทำระเบียบเพื่อใช้ในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4284 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2565 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) | ส.ส.ท | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี
๒๕๖๕ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)
โดยมีผลการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ (๑) ภาพรวมผลงาน ประจำปี ๒๕๖๕ เช่น
นำเสนอข่าวบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ครบถ้วน รอบด้าน
เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตอิสระผลิตรายการใหม่ด้านการเรียนรู้ (๒)
แผนบริหารกิจการและแผนงบประมาณ ประจำปี ๒๕๖๖ (๓) ผังรายการในปี ๒๕๖๕ และแผนการจัดทำรายการ
ประจำปี ๒๕๖๖ (๔) งบแสดงฐานะการเงินและงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ (๕) รายงานการตรวจสอบภายใน (๖)
รายงานของคณะกรรมการประเมินผล (๗) การรับฟังความคิดเห็นจากสภาผู้ชมและผู้ฟังรายการ
และ (๘) ความคิดเห็นของผู้ชมและผู้ฟังที่มีต่อรายการของไทยพีบีเอส ตามที่ ส.ส.ท.
เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4285 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑. การกำหนดระดับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะออกตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายที่บัญญัติความผิดทางพินัยใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
(ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖) สำหรับการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้นั้น
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๑๘/๒๕๖๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ ๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ แล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อเผยแพร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐต่อไป ๒.
การเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ระบุเลขมาตราที่จะต้องมีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยไว้ด้วย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดทำบัญชีรายชื่อกฎหมายตามบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
พร้อมทั้งระบุมาตราที่จะมีการเปลี่ยนโทษอาญาเป็นการปรับเป็นพินัยเผยแพร่ในระบบเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตลอดจนได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
ให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เพจ facebook ไลน์
ตลอดจนส่งไปยังอีเมลของหน่วยงานต่าง ๆ
เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไปในวงกว้างสำหรับการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น ๓.
การปรับปรุงบทบัญญัติที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและมีโทษจำคุกและปรับที่สามารถเปรียบเทียบได้ให้เป็นความผิดทางพินัย
ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อปรับปรุงลักษณะของความผิดและอัตราโทษให้เหมาะสมต่อไป ๔.
การปฏิรูประบบการกำหนดโทษในระบบกฎหมายไทย
การศึกษาระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและผู้ด้อยฐานะ
เห็นว่าการนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day fine) ในต่างประเทศจะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา
เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ของประชาชน
ประกอบกับประเทศไทยยังไม่มีระบบการจัดเก็บรายได้ของประชาชน
และหานำระบบดังกล่าวมาใช้จะต้องเปลี่ยนระบบในการกำหนดโทษปรับทางอาญาใหม่
จากการกำหนดจำนวนค่าปรับ เป็นการกำหนดเป็นวันปรับ และระบบกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ดุลพินิจแก่ศาลในการพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลประกอบการกำหนดโทษได้อยู่แล้ว
จึงยังไม่เห็นความจำเป็นต้องนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) มาใช้ในประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||
4286 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบูรณาการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การบูรณการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ
ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
และมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรใหม่เพื่อกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและเป็นไปตามความต้องการของท้องถิ่น
เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพใหม่ ๆ
โดยการวิเคราะห์อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
การจัดการทางธุรกิจที่จะนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ
และได้มีการอนุมัติหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช ๒๕๖๓
(เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๕) ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร
ซึ่งมีการออกแบบหลักสูตรที่เน้นจากการเป็นผู้ใช้สู่การเป็นนวัตกร
ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อเป็นผู้ผลิต ผู้ให้บริการเชิงธุรกิจ
รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร เช่น สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร
สาขาวิชาช่างกลเกษตร สาขาวิชาพืชศาสตร์ สาขาวิชาสัตวศาสตร์
และสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ซึ่งเป็นหลักสูตรภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงสอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
(NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งนี้
หลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจการค้า
และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการประกอบกิจการของตน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4287 | งดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2566 | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า
ในวันอังคารที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๖ เป็นวันอาสาฬหบูชา และวันพุธที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
เป็นวันเข้าพรรษา นายกรัฐมนตรีจึงมีบัญชาให้งดการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑
สิงหาคม ๒๕๖๖
|
|||||||||||||||||||||
4288 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. .... ของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. .... ของรัฐสภา ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยได้เห็นชอบในหลักการว่า
ในระหว่างที่ยังไม่มีการตราพระราชกฤษฎีกาโอนหน้าที่และอำนาจให้หน่วยงานหรือเจ้าพนักงานอื่นใดที่มีอำนาจในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบเป็นหน่วยงานหรือเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบในการจับกุมปราบปรามผู้กระทำความผิดอาญาที่เกิดขึ้นโดยตรง
การให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาให้บุคลากรที่ทำหน้าที่ด้านวิชาการ
วิจัยและนวัตกรรม ครูผู้สอน ครูฝึก
หรือบุคลากรที่มีหน้าที่ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอื่น ๆ
มีตำแหน่งทางวิชาการหรือวิทยฐานะ
รวมทั้งได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมและครอบคลุมและการรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา
๖๐ (๑) นั้น จะต้องดำเนินการอย่างเสมอภาคและเป็นระบบ
และจะต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นสำคัญ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4289 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2566 (เพิ่มเติม) | นร.05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบกำหนดให้วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษอีก
๑ วัน ในปี ๒๕๖๖ ๒.
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น
หรือราชการสำคัญในวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร
โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน
|
|||||||||||||||||||||
4290 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านประกอบ
จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลทับช้าง และตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการพัฒนาเมืองเพื่อรองรับการเป็นด่านถาวรที่มีมาตรฐานสากลและพัฒนาชุมชนชายแดนให้เป็นชุมชนน่าอยู่
ส่งเสริมและพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดินในชุมชนให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และสอดคล้องกับบทบาทชุมชนชายแดนบ้านประกอบ
รวมทั้งการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรแก้ไขเพิ่มเติม และให้มีข้อกำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ และความเห็นชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึง กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
เช่น มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์
โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ควรพิจารณาทบทวนหรือกำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีท้ายประกาศกระทรวงมหาดไทย
ในประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๒๔ โรงงานถักผ้า ผ้าลูกไม้
หรือเครื่องนุ่งห่มด้วยด้ายหรือเส้นใย หรือฟอกย้อมสี เป็นต้น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนด
เพื่อให้การใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ละประเภทสอดคล้องกับเจตนารมณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
4291 | การแก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา 169 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 | ลต. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการแก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนการดำเนินการตามมาตรา ๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในการประชุมครั้งที่ ๔๘/๒๕๖๖ เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๖
โดยมีมติให้แก้ไขปรับปรุงแนวทางปฏิบัติและขั้นตอนดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ๒. เห็นชอบให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร)
ในส่วนของข้อ ๒.๒.๒.๔ (๒)
เกี่ยวกับการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามมาตรา
๑๖๙ (๓) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จากเดิมว่า “เมื่อมีกรณีที่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเหตุผลและความจำเป็นในการขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ
ที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” เป็น
“เมื่อมีกรณีที่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเหตุผลและความจำเป็นในการขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ
ที่มีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป” และให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4292 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ณ สิ้นไตรมาสที่ 3) | นร.07 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (ณ สิ้นไตรมาสที่ ๓) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
โดยภาพรวมผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณภาพรวมของประเทศ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น
จำนวน ๓,๑๘๕,๐๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท มีผลการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒,๔๓๔,๑๒๕.๙๓๔๒ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๗๖.๔๒ ผลการใช้จ่าย (ก่อหนี้) จำนวน ๒,๕๙๒,๙๒๓.๑๘๔๙ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๔๑ สูงกว่าเป้าหมายการเบิกจ่าย ร้อยละ ๑.๔๒
แต่ต่ำกว่าเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณ ร้อยละ ๐.๓๓
(ภาพรวมเป้าหมายการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณกำหนดไว้ ร้อยละ ๗๕.๐๐ และ ๘๑.๗๔
ตามลำดับ) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4293 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร
จังหวัดสุโขทัย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลศรีนคร และตำบลคลองมะพลับ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนศรีนครให้เป็นเมืองน่าอยู่
การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน
การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อมในบริเวณพื้นที่ภายในเขตผังเมืองรวมชุมชนศรีนคร
จังหวัดสุโขทัย
ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดินต้องไม่ขัดต่อการจัดสรรที่ดินภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
พ.ศ. ๒๕๑๑ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ หรือระเบียบ
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
ควรคำนึงถึงกฎ
ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การพิจารณาการอนุญาตกิจการต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
4294 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ เนื้อที่ประมาณ
๑๙,๙๓๗
ไร่ ซึ่งประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า และสัตว์ป่านานาชนิด
ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์
และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
4295 | ข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน | ปช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
โดยจากการศึกษาพบว่า
ปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐ
เช่น (๑) ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ
อนุญาต นำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการให้บริการประชาชน และ (๒)
ควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกหน่วยงานกำหนดแนวทางและจัดทำคู่มือในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุมัติ
อนุญาต เพื่อมีมาตรฐานในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ร. ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
4296 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... | มท. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนหนองวัวซอ
จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลหนองวัวซอ และตำบลหมากหญ้า อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนหนองวัวซอให้เป็นชุมชนเกษตรกรรม
การค้า การบริการทางสังคมส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชน
อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ศาสนสถานที่มีคุณค่าทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม
และประวัติศาสตร์ รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ควรคำนึงถึงกฎ ระเบียบ
ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย เช่น มาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ
มาตรการการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่อนุรักษ์ โดยเฉพาะพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
ควรพิจารณากำหนดระยะห่างระหว่างสถานประกอบกิจการกับที่ดินของผู้อื่นหรือริมเขตทางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่าตามที่กฎหมายกำหนด
เพื่อให้ระบบระบายอากาศ แสง เสียง ระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย
ไม่ก่อให้เกิดมลพิษแก่ผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
เพื่อรักษาพื้นที่ทางเกษตรกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนในชุมชน
โดยจะส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
และชุมชนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
4297 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.5/2563 คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.1/2566 ระหว่างนางสาววินินท์อร ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม 26 คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา | นร 05 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ในคดีหมายเลขดำที่ ฟผ.๕/๒๕๖๓ คดีหมายเลขแดงที่ ฟผ.๑/๒๕๖๖ ระหว่างนางสาววินินท์อร
ปรีชาพินิจกุล กับพวกรวม ๒๖ คน ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรีกับพวกรวม ๔ คน
ผู้ถูกฟ้องคดี (คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒)
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4298 | รายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล | ตช. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการกำหนดมาตรการในการควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยมีการกำหนดมาตรการเพื่อบูรณาการในการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง
(Peer-to-Peer) ภายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต
และผู้ประกอบธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามแนวชายแดน
ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนออกไปยังต่างประเทศ
โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ รับผิดชอบ เช่น
ตั้งคณะทำงานศึกษาเรื่องแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างกันโดยตรง (Peer-to-Peer)
เป็นผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา ๑๖
มีหน้าที่ต้องรายงานธุรกรรมที่ต้องสงสัยต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
หากพบว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด
และให้ดำเนินการประกาศพื้นที่เสี่ยงเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำธุรกรรมการโอนไปยังต่างประเทศจากพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่เสี่ยง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
4299 | กรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.12 | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบแนวทางการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัด
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยกรอบแนวทางการประเมินของส่วนราชการ
กำหนดให้กระทรวงมีบทบาทหลักเป็นผู้รับผิดชอบในการพิจารณากำหนดตัวชี้วัดและติดตามการประเมินผลการปฏิบัติงานของกระทรวงและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง
สำหรับกรอบและแนวทางการประเมินของจังหวัดมุ่งเน้นการบูรณาการการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายระดับชาติและนโยบายสำคัญของรัฐบาลเช่นเดียวกับส่วนราชการ
โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพิจารณาความเหมาะสม ตัวชี้วัด น้ำหนัก
และค่าเป้าหมาย รวมทั้งติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของจังหวัดผ่านกลไกคณะกรรมการกำกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ในหัวข้อองค์ประกอบการประเมิน รอบระยะเวลาการประเมิน และกลไกการประเมิน
สำหรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา
๑๖๙ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เป็นการดำเนินการในลักษณะงานปกติตามที่กฎหมายกำหนดไว้
ไม่ได้เป็นการกำหนดนโยบายขึ้นใหม่
จึงไม่เป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
และให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนากยรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ
และสำนักงาน ก.พ. และข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการศึกษาและทำความเข้าใจในบริบทของแต่ละส่วนราชการเพื่อนำมากำหนดเป็นตัวชี้วัดร่วมกันจะมีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ให้ ก.พ.ร. กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทาง และกรอบเวลาในรอบการประเมินครั้งที่ ๑ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้คะแนนการประเมินสามารถสะท้อนผลการดำเนินงานของหน่วยงานได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน
และเกี่ยวกับขั้นตอนการประเมินการดำเนินงานของส่วนราชการและจังหวัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพฯ
ซึ่งกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗
และโดยที่ผลการประเมินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินการปฏิบัติราชการผู้บริหารของส่วนราชการ
ดังนั้น หากมีการเร่งรัดกระบวนการประเมินดังกล่าว
จะทำให้การดำเนินการมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินผลการปฏิบัติการผู้บริหารของส่วนราชการ
และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๒ มากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
4300 | การจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 | พม. | 25/07/2566 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามกฎหมายจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐประจำปี
๒๕๖๑-๒๕๖๕ และให้หน่วยงานของรัฐซึ่งมีผู้ปฏิบัติงานตั้งแต่ ๑๐๐ คนขึ้นไป
เร่งรัดดำเนินการจ้างงานคนพิการตามที่กฎหมายกำหนดให้ครบถ้วนภายในปี ๒๕๖๖
และรายงานผลการจ้างงานคนพิการประจำปีต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น ดำเนินการสรรหาและคัดเลือกคนพิการเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
และขึ้นบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือก โดยแยกลักษณะความพิการคุณวุฒิการศึกษา องค์ความรู้
และภารกิจงานของส่วนราชการ เพื่อให้ส่วนราชการอื่นสามารถดำเนินการนำบัญชีผู้ผ่านการคัดเลือกดังกล่าว
มาดำเนินการคัดเลือกจากบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกในตำแหน่งอื่น
เพื่อบรรจุและแต่งตั้งคนพิการเข้ารับราชการให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติของตำแหน่งต่อไป
ควรมีมาตรการอื่นที่เหมาะสมกับหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นทางเลือก
นอกเหนือจากการดำเนินการตามมาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๕ ควรผลักดันให้เป็นการจ้างงานตามมาตรา
๓๓ มากยิ่งขึ้น
เพื่อให้คนพิการได้รับสวัสดิการความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพด้วย ควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้มีการปฏิบัติอยางเคร่งครัด
ควรสนับสนุนให้มีการศึกษาถึงปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้หน่วยงานของรัฐบางแห่งสามารถจ้างงานคนพิการได้ตามอัตราส่วนที่กฎหมายกำหนด
และนำมาประกอบการขับเคลื่อนการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐให้บรรลุเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ควรประมวลปัญหาอุปสรรค ข้อจำกัด
และข้อเสนอแนะในการจ้างงานคนพิการของหน่วยงานที่ผ่านมา
เพื่อวางแนวทางแก้ไขและสนับสนุนให้หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป
และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลคนพิการที่ควรครอบคลุมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการศึกษา
สาขาและทักษะความสามารถของคนพิการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |