ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 6211 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 124206 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
401 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล ชาบับ (Al-Shabaab) | กต. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Security Council :
UNSC) ที่ ๒๗๗๖ฯ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
เพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ (Al - Shabaab) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
ซึ่งมีเนื้อหาโดยรวม
ข้อมติดังกล่าวต่ออายุมาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล ชาบับ ตามข้อมติฯ ที่ ๒๗๑๓ (ค.ศ.
๒๐๒๓) จนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๘
โดยพันธกรณีต่อรัฐสมาชิกสหประชาชาติยังคงเดิมในเรื่อง (๑) มาตรการห้ามค้าอาวุธต่อกลุ่มอัล ชาบับ (๒)
การห้ามนำเข้าและส่งออกถ่านไม้จากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย (๓) มาตรการห้ามนำเข้าและส่งออกส่วนประกอบของระเบิดแสวงเครื่อง
และ (๔)
การอนุญาตให้รัฐสมาชิกดำเนินมาตรการสกัดกั้นทางทะเลเพื่อบังคับใช้มาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล
ชาบับ ที่เกี่ยวข้อง ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๒
หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ
เพื่อประโยชน์ในการรายงานสหประชาชาติต่อไป ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นควรให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษ
รวมทั้งประเมินสถานการณ์และการดำเนินการของกลุ่มอัล ชาบับ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๗๗๖ฯ
ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
402 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
403 | (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ลคสช. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง)
แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ -
๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒
(พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชนคนไทยในทุกระดับ
โดยร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตดังกล่าว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ขับคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย
สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
ตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าการพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
ควรเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะทรัพยากรด้านข้อมูลให้อยู่บนระบบคลาวด์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าควรส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
และควรให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการดูแลงานด้านสุขภาพจิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการฐานข้อมูลสุขภาพจิตระดับชาติที่ครอบคลุมผลการดำเนินงานและปัจจัยที่กระทบต่อสุขภาพจิตของคนไทย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
404 | ผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 5 | ทส. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๓๐ ตุลาคม - ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
และเห็นชอบข้อเสนอการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทของประเทศไทย ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ประกอบด้วย ๑) สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการและแผนการดำเนินงาน
และ ๒) แนวทางการดำเนินงานก่อนมอบตราสารรับรองการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวก เอ และ บี ของประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ คือ เครื่องสำอาง
อะมัลกัม ที่ใช้ทางทันตกรรม
และการผลิตโพลียูรีเทนที่ใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยมอบหมายให้หน่วยงาน คือ
กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกรมอนามัย) กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่ระบุในแผนการดำเนินงานต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าหากกรมควบคุมมลพิษยืนยันได้ว่าการดำเนินการไม่จำเป็นต้องมีการออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา
อีกทั้งไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กรณีก็จะไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่เป็นกรณีที่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการส่งมอบตราสาร กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ากรณีการเตรียมการเพื่อรองรับการแก้ไขภาคผนวก
เอ ส่วนที่ ๑ ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท กรณีแบตเตอรี่กระดุม สะพานไฟ สวิตซ์และรีเลย์
รวมถึงหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดต่าง ๆ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินการและจัดทำแผนการดำเนินการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีให้ความร่วมมือตามกรอบอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
405 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานจ้างที่ปรึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดน บ้านฮวก - กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ของกรมทางหลวง | คค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน งบรายจ่ายอื่น กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน
จากเดิมรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข ๑๑๓๖
แยกทางหลวงหมายเลข ๑๑ (ลำพูน) - บรรจบ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ (เหมืองง่า)
จังหวัดลำพูน วงเงิน ๙.๕๐๐๐ ล้านบาท
เป็นรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก
- กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา วงเงิน ๙.๓๗๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๖.๖๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน ๒.๗๒๓๕ ล้านบาท
กรมทางหลวงจะปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ส่วนการขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ -
๒๕๖๙ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินงานในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
จะต้องดำเนินการตามระเบียบและประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
406 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษระยะที่ 1 | พน. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานถอนเรื่องนี้คืนไปได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
407 | การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
(ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๗๕๐
ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าธนาคารออมสิน
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
ควรพิจารณาให้การอนุมัติสินเชื่อการสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
และการสุ่มสอบทานลูกหนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการทบทวนความจำเป็นและกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขหรือต่ออายุโครงการในระยะต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ (โครงการฯ) เป็นไปอย่างเหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาวินัยทางการเงินของผู้กู้
รวมทั้งป้องกันการเกิด Moral
Hazard ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑
พิจารณาให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เป็นลำดับแรกก่อน
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง
และสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ
เพิ่มมากขึ้น ๓.๒
กำกับดูแลให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำแผนการชำระคืนให้มีความสอดคล้อง
เหมาะสม กับช่วงระยะเวลาโครงการฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ
สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ๓.๓
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปิดโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
ในปี ๒๕๗๐ โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดทำเป็นโครงการใหม่
โดยให้นำผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ พร้อมทั้งปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการใหม่ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
408 | การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์) | นร.11 สศช | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายณฐพงศ์ วรรณรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
409 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวัธนชัย ทองประเสริฐ) | นร.06 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวัธนชัย
ทองประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว
(นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ให้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มิถุนายน
๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
410 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ฯลฯ จำนวน 12 คน) | พณ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๔. นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์ ๕. นายเพชร เจียรนัยศิลาวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๖. นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๗. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๘. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม (ภาคเอกขน) ๙. นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๑๐. นายเกรียงศักดิ์ ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๑๑. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(ภาคเอกชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
411 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน
(กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖) อนุมัติให้ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๑ - ๓
เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี ๒๕๖๗ ๒)
ภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัว
แต่แตกต่างกัน (ระหว่างภาคเศรษฐกิจ) มากขึ้น อัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วงครึ่งหลังของปี
๒๕๖๗ ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย กนง. คาดการณ์ว่าปี ๒๕๖๘ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ
๒.๙ และอัตราเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของเป้าหมาย
ส่วนระบบการเงินโดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ มีเสถียรภาพแต่ยังเปราะบางในบางจุด
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากร้อยละ ๒.๕
เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗ ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
412 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2567) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๖๗)
ของธนาคารแห่งประเทศไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑) ภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังปี ๒๕๖๗
เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ ๒.๐ ในช่วงครึ่งแรก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ
๐.๘๐ เพิ่มขึ้น จากร้อยละ ๐.๐๐ ในช่วงครึ่งแรก
เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าขึ้น ๒)
นโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ
๒.๕ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ในเดือนตุลาคม ๒๕๖๗
โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพ
เงินเฟ้อโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๗
ส่วนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินจะลดลงจากกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้
(Household Debt
Deleveraging) ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ๓) นโยบายสถาบันการเงิน คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน
(กนส.) คำนึงถึงปัจจัยรอบด้าน ความสมดุลระหว่างการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว
โดยออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง และผลักดันให้ภาคการเงินสนับสนุนการปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน
และ ๔) นโยบายระบบการชำระเงิน คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) วางแนวทางดูแลภายใต้หลักการ
Openness (เช่น โครงสร้างพื้นฐานระบบฯ ที่เปิดกว้าง
พัฒนาพร้อมเพย์ให้รองรับการโอนเงินจากต่างประเทศ บูรณาการข้อมูลธุรกรรมการชำระเงิน
กำกับดูแลพร้อมเพย์เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน) Inclusivity (เช่น
ส่งเสริมการใช้ Digital Payment ทุกภาคส่วน) และ Resiliency
(เช่น ระบบฯ มีความยืดหยุ่นรองรับความเสี่ยงใหม่
ดูแลความปลอดภัยจากภัยทุจริตทางการเงิน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
413 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
414 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ | ศร. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗
ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
415 | รายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2567 | กค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗
สรุปได้ดังนี้ ๑) เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงินของไทย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี
๒๕๖๘ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจขยายตัวแตกต่างกันมากขึ้น
โดยบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์) มีแนวโน้มดีขึ้น
และบางภาคเศรษฐกิจ (เช่น ยานยนต์ สินค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันจากจีน)
มีพัฒนาการแย่ลงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ
สินเชื่อโดยรวมปรับลดลง ๒) ภาวะการเงิน ในไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เฉลี่ยอยู่ที่ ๓๓.๙๖ แข็งค่าขึ้นจากไตรมาสก่อน
และ ๓) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๖๗ คณะกรรมการนโยบายการเงิน กนง. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่า
อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังควรสอดคล้องกับจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลาง (Broadly Neutral Stance) เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับศักยภาพเงินเฟ้อที่ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
และการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
416 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) | สกพอ. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์และแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
: เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ
กพอ. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘
มกราคม ๒๕๖๘ เพื่อ กพอ.
จะออกประกาศเปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแผนและผังการดำเนินงานที่กำหนด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญกับการกำกับ
ติดตามการดำเนินมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
และการพัฒนา/ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่เขต EECi ให้สามารถรองรับการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างคุ้มค่า
เกิดประโยชน์สูงสุด และมีผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
417 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พน. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมัน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การออกแบบถังขนส่งน้ำมัน
การทดสอบและตรวจสอบถังขนส่งน้ำมัน
วิธีการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการรับหรือจ่ายน้ำมัน
และเครื่องหมายที่แสดงไว้บนถังขนส่งน้ำมัน
เพื่อให้มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมัน และป้องกันไม่ให้เกิดอัคคีภัยหรืออันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รวมถึงเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการถังขนส่งน้ำมันในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้กระทรวงพลังงานพิจารณาความเหมาะสมสำหรับการยกเว้นให้ผู้ประกอบกิจการขนส่งน้ำมันโดยถังขนส่งน้ำมันที่อยู่ระหว่างยื่นคำขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติ
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
418 | รายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช 2568 | กต. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ
โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานให้ UN DESA ต่อไป และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายนำเสนอรายงานฯ
และตอบข้อซักถาม (ถ้ามี) ต่อที่ประชุม HLPF ประจำปี ๒๕๖๘
ซึ่งร่างรายงาน VNR ประจำปี ๒๕๖๘
มีสาระสำคัญครอบคลุมการดำเนินงานด้าน SDGs ของไทยทั้ง ๑๗
เป้าหมาย โดยเน้นประเด็นสำคัญ ๓ ด้าน ได้แก่ ๑)
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อสะท้อนความคืบหน้าการดำเนินการตาม SDGs ของไทยในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา (๒๕๕๘ - ๒๕๖๘) โดย สศช. และสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมปรับปรุงข้อมูลตัวชี้วัด
SDGs ให้เป็นปัจจุบัน
และประเมินความก้าวหน้าของประเทศไทยในภาพรวม ๒)
การนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีในการขับเคลื่อน SDGs ของไทย และ ๓)
การวิเคราะห์ความท้าทายและแนวทางการดำเนินการเพื่อเร่งรัดการบรรลุวาระการพัฒนา
ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยมีความท้าทายที่สำคัญ เช่น ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน
การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ
และการใช้เทคโนโลยีใหม่ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๘
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสื่อสารผลลัพธ์จากการนำเสนอรายงานฯ
ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
419 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 30 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๓๐
และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ (๑) ที่ประชุมได้พิจารณาความคืบหน้าการดำเนินโครงการความร่วมมือด้านการขนส่งตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งอาเซียน ปี ๒๕๕๙ - ๒๕๖๘
การทบทวนระยะสุดท้ายของแผนยุทธศาสตร์ฯ
และความคืบหน้าการจัดทำร่างแผนงานรายสาขาการขนส่งของอาเซียน ปี ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓ มุ่งเน้นให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน
ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางถนน และทางรถไฟ
ตลอดจนส่งเสริมและผลักดันการขนส่งที่ยั่งยืนในอาเซียน และ (๒)
ที่ประชุมได้พิจารณาผลการดำเนินความร่วมมือด้านการขนส่งกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน
เช่น ๑) นิวชีแลนด์ การเตรียมการสำหรับการลงนามร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างอาเซียนกับนิวซีแลนด์
ที่จะมีขึ้นในปี ๒๕๖๘ และ ๒) ญี่ปุ่น ความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานความเป็นหุ้นส่วนด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน
- ญี่ปุ่นปี ๒๕๖๖ - ๒๕๖๗ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในการขนส่งทางน้ำ เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
420 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. .... | อก. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง
ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
ทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักร ออกไปอีก เป็นระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑๐
มกราคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๗๓ (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ ๙
มกราคม ๒๕๖๘) โดยขยายมาตรการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต
เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตต่ำ
(Under Utilization) อันเป็นการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศและส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าคณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาอนุมัติหลักการของร่างประกาศดังกล่าวได้
และมีข้อสังเกตว่าการกำหนดให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฯ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และมีระยะเวลาบังคับใช้ ๕ ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ (ร่างข้อ
๔) ซึ่งมีผลทำให้ร่างประกาศฯ ใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นกรณีที่กำหนดวันใช้บังคับให้ต่อเนื่องจากประกาศเดิมที่สิ้นผลใช้บังคับไปแล้วย่อมไม่อาจกระทำได้
เนื่องจากจะทำให้ประกาศฉบับใหม่มีผลย้อนหลังเป็นโทษหรือเป็นผลร้ายแก่ผู้อยู่ในบังคับของประกาศที่จะต้องถูกกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของบุคคล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นควรพิจารณากำหนดข้อยกเว้นในการใช้มาตรการดังกล่าวในกรณีของการปรับปรุงกระบวนการผลิต
๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรคาดการณ์ความต้องการเหล็กดังกล่าวในระยะต่อไป
เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กเส้นดังกล่าวให้เหมาะสมควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|