ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 6211 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 124213 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
481 | รัฐบาลสาธารณรัฐกาบองเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกาบองประจำประเทศไทย (นายล็องดรี อึมบูมบา) | กต. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายล็องดรี อึมบูมบา (Mr. Landry Mboumba) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐกาบองประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี สืบแทน นายกาโลส วิกเตอร์ บงกู (Mr.Carlos
Victor Boungou) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
482 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางฐิติพร จิระสวัสดิ์) | กต. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางฐิติพร จิระสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน (ผู้อำนวยการสูง) สถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ
สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครรราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา
สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
483 | การพิจารณาจัดทำงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
ดังนี้ ๑. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว วงเงิน ๓.๗๘ ล้านล้านบาท แล้ว
และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ๒. การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่าย เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และจะได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามขั้นตอนต่อไป ๓. การพิจารณางบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามคำขอของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ที่ขอใช้จ่ายงบประมาณซึ่งผ่านการพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ
ถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
จึงขอกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาจัดทำงบประมาณ และโครงการที่เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณด้วยความละเอียด
รอบคอบ เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนจากสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกรอบและขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๔๔ ที่บัญญัติให้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้
แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ได้แก่ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ซึ่งในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ
การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ
มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
484 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (พลเอก เพชรรัตน์ ลิ้มประเสริฐ) | กษ. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง พลเอก เพชรรัตน์ ลิ้มประเสริฐ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร)
เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร
แทนผู้แทนสถาบันเกษตรกรซึ่งเป็นกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
และผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
485 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (นายไชยยง รัตนอังกูร) | สบร. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายไชยยง รัตนอังกูร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
486 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (1. นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ฯลฯ จำนวน 7 คน) | ทส. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ
จำนวน ๗ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ ๒. นายจิตรพรต พัฒนสิน ด้านกฎหมาย ๓. นายธรรมศักดิ์ ยีมิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์ ด้านอุทยานแห่งชาติ (ผู้แทนภาคเอกชน) ๕. นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ ด้านกฎหมาย (ผู้แทนภาคเอกชน) ๖. นายพงศ์ศักดิ์ วัฒนสินธุ์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ (ผู้แทนภาคเอกชน) ๗. นางสาวพิมพ์ภาวดี พหลโยธิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้แทนภาคเอกชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
487 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA) | พณ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า
[Product Specific Rules of Origin
(PSRs)] ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี (TCFTA) ฉบับ HS 2022 และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก ๔.๒ (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TCFTA และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยข้างต้น
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๘ ซึ่งการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs
ภายใต้ความตกลง TCFTA ประกอบด้วยพิกัดศุลกากรทั้งหมด
จำนวน ๕,๖๑๒ รายการ จากพิกัดศุลกากรเดิม (HS 2012) ที่มีอยู่จำนวน ๕,๒๐๕ รายการ โดยแบ่งออกเป็น ๓
กรณี ได้แก่ ๑) สินค้าที่พิกัดศุลกากรและกฎ PSRs ไม่เปลี่ยนแปลง
จำนวน ๔,๙๙๒ รายการ ๒) สินค้าที่พิกัดศุลกากรไม่เปลี่ยนแปลง
แต่กฎ PSRs เปลี่ยนแปลง จำนวน ๑ รายการ และ ๓)
สินค้าที่เปลี่ยนพิกัดศุลกากร และกฎ PSRs ใหม่ จำนวน ๖๑๙
รายการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี ฉบับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ปี ๒๐๒๒ และหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
ให้แพร่หลายในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบและใช้ในการอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
488 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต | ปช. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
489 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | มท. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมการปกครองดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ วงเงินทั้งสิ้น ๑๒๓,๕๓๘,๕๓๐
บาท โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรให้ความสำคัญในลำดับต้นกับการแก้ไขปัญหาเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักร
และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Global Alliance to End
Statelessness |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
490 | (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน | สภช. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง)
ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรเร่งตรวจสอบแหล่งที่มาของสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนในทุเรียน
ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง หรือสารกำจัดศัตรูพืช และตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สารเคมีการเกษตรเหล่านี้ในพื้นที่ที่ตรวจพบสารแคดเมียมสูงเกินค่ามาตรฐานเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนแก้ไขปัญหาด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้ข้อเสนอดังกล่าว
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในโอกาสแรกก่อน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
491 | แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | สคทช | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One
Map) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (แผนที่ One Map)
และมอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า
และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น
เช่น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนที่ดิจิทัล
และนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมาย
รวมถึงลดระยะเวลาการดำเนินงานในอนาคตด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเนื่องจากแผนที่ท้ายถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้เป็นการแสดงแนวเขตที่ดินที่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องนั้น
ๆ ว่า แนวเขตที่ดินที่จะดำเนินการตั้งอยู่บริเวณใด โดยแสดงจุดยึดโยงต่าง ๆ
เพื่อให้ทราบที่ตั้งของแนวเขตที่ดินที่ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้แนวเขตที่ดินตามแผนที่ท้ายสอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ
อาจส่งผลกระทบต่อท้องที่ที่กำหนดไว้ในแผนที่ท้ายกฎหมาย
รวมทั้งอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยึดโยงที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้เดิมตามสภาพของข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น
หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองด้วย
เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นในภายหลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
492 | แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรา 64 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และการตรวจลงตราอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามระบบ MOU | รง. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่องนี้คืนไปได้
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
493 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทน
ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ
ประเภทของประโยชน์ทดแทน
ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล
ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. ๒๕๖๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เกี่ยวกับหลักเกณฑ์
ระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย
กรณีทุพพลภาพ กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ เพื่อให้ผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐
มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรแก้ไขเป็นเฉลี่ยจ่ายให้แก่คู่สมรส
เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งกำหนดให้บุคคลเพศหลากหลายสามารถหมั้นและสมรสกันได้
อันทำให้มีสิทธิ หน้าที่และสถานะทางครอบครัวเท่าเทียมกับคู่สมรสที่เป็นชายและหญิง
และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวที่ก่อตั้งขึ้นระหว่างบุคคลไม่ว่าจะมีเพศใด
ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม
ควรพิจารณาทบทวนการขยายช่วงอายุของบุตรของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐
ที่ได้รับสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร ให้สอดคล้องกับช่วงอายุของบุตรของผู้ประกันตนตามมาตรา
๓๓ และมาตรา ๓๙ ที่ยังกำหนดอายุบุตรไว้ไม่เกิน ๖ ปีบริบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการดำเนินนโยบาย
และการปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในอนาคต
ควรคำนึงถึงความสมดุลของภาระค่าใช้จ่าย สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น
และการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บเงินสมทบ
รวมทั้งการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเหมาะสม
เพื่อให้กองทุนประกันสังคมมีเสถียรภาพในระยาว ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรพิจารณาถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังด้วย
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
494 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีประจำศาลยุติธรรม) | ศย. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มี “เจ้าพนักงานคดี” เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีและการดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมาย
และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เจ้าพนักงานคดีเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม
และแก้ไขเพิ่มเติมคุณวุฒิและการประกอบวิชาชีพของผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ
รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
495 | แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง | นร.12 | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการและกรอบระยะเวลาของแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
รวมทั้งวิธีการและกลไกการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๖ (ด้านดิจิทัล สาธารณสุข
ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการน้ำ) ในคราวประชุม ครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๘ ๒.
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
ในกรอบวงเงิน ๘๙๗.๘ ล้านบาท ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๘/๔๗๕ ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
ต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามแผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าของงานบริการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ด่วนที่สุด
ที่ สกมช ๐๑๐๐/๓๑๙๓ ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘) รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน) [หนังสือสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ด่วนที่สุด ที่
สพร ๒๕๖๘/๑๑๙๙ ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘]
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
เห็นควรให้ปฏิบัติตามประมวลแนวปฏิบัติและกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
สำหรับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ
เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของบริการที่สำคัญของหน่วยงาน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
496 | การจัดพื้นที่สูบบุหรี่ภายในท่าอากาศยาน | นร. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โดยที่ท่าอากาศยานต่าง
ๆ ของไทยมีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยว
ผู้โดยสารที่เดินทางต่อเนื่อง (transit/transfer) และผู้โดยสารทั่วไป
ซึ่งมีทั้งกลุ่มผู้โดยสารที่สูบบุหรี่และที่ไม่สูบบุหรี่ ดังนั้น
การจัดสถานที่ให้เป็นเขตปลอดบุหรี่และเขตสูบบุหรี่เป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีระบบระบายควันและอากาศภายในท่าอากาศยานที่เหมาะสมและมีมาตรฐานจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เพื่อคุ้มครองสุขภาพของกลุ่มผู้โดยสารที่ไม่สูบบุหรี่
ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานของท่าอากาศยาน
รวมทั้งยังเป็นการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย
และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับสากลด้วย จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน) บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กระทรวงสาธารณสุข
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในการพิจารณาจัดสถานที่ภายในท่าอากาศยานต่าง
ๆ ในความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานให้เป็นเขตสูบบุหรี่เป็นการเฉพาะ
ตามความจำเป็นและเหมาะสมของแต่ละท่าอากาศยาน
โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านและไม่ขัดต่อกฎหมาย ระเบียบ
และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการดำเนินการแก้ไขกฎหมาย
ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานเกี่ยวกับการกำหนดสถานที่ภายในท่าอากาศยานให้เป็นเขตสูบบุหรี่ในข้อ
๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
497 | สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในพื้นที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี | นร. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม
๖๕๖๘ นั้น กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพบก
และกระทรวงการต่างประเทศได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเป็นเอกภาพ
และขอยืนยันว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาอธิปไตยของประเทศไทยอย่างเต็มที่
โดยจะดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ภายใต้กรอบกฎหมายและข้อตกลงกับฝ่ายกัมพูชา
(MoU43) อย่างสันติ
และได้เร่งรัดให้มีการเจรจาร่วมกันผ่านกลไกคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมไทย - กัมพูชา (Joint
Boundary Commission : JBC) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
โดยเร็ว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมขึ้นในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๘
นี้ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุดและหลีกเลี่ยงการเกิดความสูญเสียหรือความเสียหายที่ไม่จำเป็น
ในการนี้ จึงขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าวเป็นระยะ
ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยให้ประสานงานและบูรณาการข้อมูลข่าวสารกับกระทรวงกลาโหม
เหล่าทัพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับเหล่าทัพและหน่วยงานความมั่นคงต่าง
ๆ เร่งดำเนินการติดตามและควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ (Fake News) เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นผ่านสื่อและช่องทางการสื่อสารต่าง
ๆ อย่างเข้มงวด รวมทั้งขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ และภาคส่วนต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องให้นำเสนอข่าวอย่างเหมาะสมและรอบคอบ
เพื่อไม่ให้เกิดการปลุกเร้าความขัดแย้งให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ๓. ขอส่งกำลังใจไปยังกำลังพลของกองทัพไทย
โดยเฉพาะทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า และขอให้ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศด้วยความอดทน
อดกลั้น เพื่อความสงบสุขของประชาชนไทยทั้งประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
498 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. .... | ยธ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานตามร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
ให้กระทรวงยุติธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรเพื่อรองรับภารกิจเกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญาไว้แล้ว
และ/หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีเพื่อมาดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป สำนักงานศาลยุติธรรม เห็นว่าร่างกฎกระทรวงนี้จะมีการปรับเพิ่มอัตราในการช่วยเหลือเยียวยาขึ้นมามากขึ้น
แต่เนื่องจากอัตราที่ปรับเพิ่มขึ้นมีที่มาจากการศึกษาอัตราการช่วยเหลือเยียวยาของ
๘ หน่วยงาน
โดยมิได้ปรากฏว่ามีการศึกษาวิจัยทางเศรษฐศาสตร์หรือการศึกษาจากมุมมองของผู้เสียหายและจำเลยว่าอัตราการช่วยเหลือเยียวยาเท่าใดจึงถือได้ว่าเหมาะสมกับค่าครองชีพที่แท้จริงในปัจจุบันหรือไม่
ควรมีการศึกษาวิจัยจากมุมมองดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แม้ภายหลังร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับแล้วย่อมจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการใช้ประเมินผลสัมฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เช่นกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
499 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายธัญญวัฒน์ พากเพียร) | กษ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายธัญญวัฒน์
พากเพียร เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอัครา
พรหมเผ่า) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๘ ) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
500 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๕ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒.
คณะกรรมการอำนวยการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ๓. คณะกรรมการ PISA และพัฒนาคุณภาพการศึกษาแห่งชาติ เดิมชื่อ คณะกรรมการ PISA แห่งชาติ ๔.
คณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) ๖. คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ
เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๗. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๘.
คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๙. คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๐. คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๑. คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๑๒. คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๓.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๔.
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๕. คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ให้มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ
๑ อำเภอ ๑ ทุน ที่ได้รับการขยายเวลาการดำเนินโครงการไว้แล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
รุ่นที่ ๔ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖๙) เท่านั้น
|