ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1936 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 38701 - 38720 จากข้อมูลทั้งหมด 124242 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
38701 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้มีอำนาจออกบัตร
ประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตาม ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนิน การต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดให้ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กรรมการวินิจ ฉัยอุทธรณ์ และกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 2. กำหนดให้ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมเป็นผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวสำหรับเจ้าหน้า ที่ของรัฐ
|
|||||||||||||||||||||
38702 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. .... | ศธ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ
สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อ ไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาการศึกษา สาขา วิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ สาขาวิชา บริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชารัฐศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และอธิการบดี 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||
38703 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2549 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ แนวทางปฏิบัติในการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี 2. อนุมัติแนวทางปฏิบัติในการชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 2.1 กำหนดวิธีการชี้แจงไว้ 2 วิธี คือ การชี้แจงในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และการชี้แจงด้วยระบบ ประชุมทางไกล (Video Conference) 2.2 กำหนดเกี่ยวกับการรักษาความลับ เช่น ห้ามนำอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดเข้าไปในห้องประชุม คณะรัฐมนตรี หรือในห้องที่มีการชี้แจงด้วยระบบประชุมทางไกล ห้ามแพร่ภาพและเสียงการประชุมคณะรัฐมนตรี 2.3 กำหนดคุณสมบัติของผู้ชี้แจง โดยให้หัวหน้าหน่วยงานเป็นผู้ชี้แจง เว้นแต่กรณีจำเป็น ให้รองหัว หน้าหน่วยงานเป็นผู้ชี้แจงแทนได้ 2.4 กำหนดจำนวนผู้ชี้แจง ให้มีเท่าที่จำเป็น
|
|||||||||||||||||||||
38704 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงขึ้น (สำนักนายกรัฐมนตรี) (จำนวน 5 ราย 1. นายดิสทัต โหตระกิตย์ฯ) | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายดิสทัต โหตระกิตย์ นางสาวจารุวรรณ เฮงตระกูล นายวรรณชัย
บุญบำรุง นางภาณุมาศ สิทธิเวคิน และนางสาวณัฐภัทร ถวัลยโพธิ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการร่างกฎหมาย ประจำ (นิติกร 10 ชช.) กลุ่มร่างกฎหมายและให้ความเห็นทางกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551 ซึ่งไม่ก่อนวันที่สำนักงาน ก.พ. ได้รับคำขอประเมินพร้อมเอกสารประกอบ การประเมินครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
38705 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายวัฒนา วัฒนายากร) | สธ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายวัฒนา วัฒนายากร ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. (ด้านเวชกรรม
ป้องกัน) กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลยะลา สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดยะลา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ และให้ข้าราชการดัง กล่าวพ้นจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
38706 | คณะกรรมการต่างๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (จำนวน 4 คณะ) | กก | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ จำนวน 4 คณะ ตามที่กระทรวงการท่อง
เที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ 1. คณะกรรมการบริหารโครงการเงินสนับสนุนจากการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อการพัฒนากีฬา ของชาติ 2. คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 3. คณะกรรมการอำนวยการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ ครั้งที่ 1 4. คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 4
|
|||||||||||||||||||||
38707 | ขอเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมาธิการและคณะกรรมการต่างๆ เกี่ยวกับเขตแดนและเขตทางทะเล | กต | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) โดย 1.1 เปลี่ยนแปลงประธานคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) จาก รัฐมนตรีว่า การกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย 1.2 แต่งตั้งให้นายวศิน ธีรเวชญาน ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ เป็น รองประธานคณะกรรม การร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) 1.3 เปลี่ยนแปลงกรรมการลำดับที่ 2 จาก บุคคลที่กระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เป็น ปลัด กระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทน 1.4 แก้ไขกรรมการลำดับที่ 11 ผู้อำนวยการกองเขตแดน จาก ตำแหน่งกรรมการและผู้ช่วยเลขานุ การ เป็น กรรมการและเลขานุการ 2. เปลี่ยนแปลงผู้แทนในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) จาก ผู้แทนกองบัญชา การทหารสูงสุด เป็น เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร หรือผู้แทน
|
|||||||||||||||||||||
38708 | ขออนุมัติแบบรูปรายการและวงเงินค่าก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์แบบพิเศษ 5 ชั้น โรงเรียนบางบัว (เพ่งตั้งตรงจิตรวิทยาคาร) | ศธ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์แบบ
พิเศษ 5 ชั้น โรงเรียนบางบัว (เพ่งตั้งตรงจิตรวิทยาคาร) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ใน วงเงินทั้งสิ้น 40,042,300 บาท ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-พ.ศ. 2553 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 8,900,000 บาท และส่วนที่ขาดอีก จำนวน 31,142,300 บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป ตามความเห็น ของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
38709 | รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ประจำปี พ.ศ. 2550 | ปง | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานป้องกันและปราบ ปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) รายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ปปง. ประจำปี พ.ศ. 2550 สรุป ได้ดังนี้ 1.1 ในปี พ.ศ. 2550 ได้รับรายงานการทำธุรกรรมจากสถาบันการเงินทั้งสิ้น 950,701 ธุรกรรม จำแนกเป็นธุกรรมที่ใช้เงินสดมูลค่าตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป 457,844 ธุรกรรม ธุรกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินมูล ค่าตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป 462,317 ธุรกรรม และธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย 30,540 ธุรกรรม และดำเนิน การกับทรัพย์สินของผู้กระทำความผิด 67 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดได้ 134,388,555.38 บาท ส่วน ใหญ่เป็นความผิดมูลฐานในด้านยาเสพติด 1.2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543-สิ้นปี พ.ศ. 2550 ได้มีคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สิน 696 คดี มูลค่าทรัพย์ สินรวม 4,125,047,962.98 บาท และสำนักงาน ปปง. ได้บริหารจัดการและเก็บรักษาไว้ 3,201,737,749.14 บาท 1.3 ได้นำทรัพย์สินที่ศาลสั่งตกเป็นของแผ่นดินส่งกระทรวงการคลัง ช่วงเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2550 จำนวน 33 ครั้ง มูลค่า 7,378,101.96 บาท โดยสรุปการนำสะสมตั้งแต่ พ.ศ. 2544-สิ้นปี พ.ศ. 2550 จำนวน 280 ครั้ง มูลค่าทรัพย์สินทั้งสิ้น 258,075,402.66 บาท 2. เห็นชอบให้นำรายงานผลการปฏิบัติงานของสำนักงาน ปปง. ประจำปี พ.ศ. 2550 พร้อมด้วยข้อ สังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้กระทำผิด ควรมีการจัดตั้งศาลพิเศษแผนกคดี ฟอกเงินในลักษณะเดียวกับศาลพิเศษอื่น ๆ และสนับสนุนงบประมาณให้แก่สำนักงาน ปปง. เพื่อใช้ในการดำเนิน การสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมทั้งเพื่อดำเนินการ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกับต่างประเทศ นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและผลัก ดันการแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการฟอกเงินให้มีมาตรฐานสากล และมีความทัน สมัย ส่วนการพิจารณากำหนดอัตรากำลังของส่วนราชการ ควรเล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นในการเพิ่ม อัตรากำลัง เพื่อให้สำนักงาน ปปง. สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
38710 | การจัดงานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี | นร | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 151/2552 ลงวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552 เรื่อง แต่งตั้ง คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี 2. รับทราบการขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงิน สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 3. รับทราบการจัดงานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียม การจัดงาน ฯ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 ผลการประชุมหารือสรุปได้ว่า ให้ใช้ชื่องานว่า "งานฉลองพระชนมา ยุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี" และให้แต่งตั้งคณะกรรมการ อำนวยการจัดงาน ฯ มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและ เลขานุการ และให้มีตราสัญลักษณ์งานฉลองพระชนมายุ 84 พรรษา สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตน ราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ส่วนแนวทางการจัดงาน ประกอบด้วยงานพระราชพิธี รัฐพิธี ศาสนพิธี โครงการ และ กิจกรรมต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
38711 | รายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 304 | รง | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการประชุมคณะประศาสน์
การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 304 ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 5-27 มีนาคม 2552 โดยมีปลัดกระทรวงแรงงานเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม สำหรับสาระสำคัญของการ ประชุม ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุม ฯ ได้รับทราบและรับรองรายงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานที่ สำคัญคือ 1.1 การอภิปรายติดตามการแก้ไขปัญหาพม่าละเมิดอนุสัญญาฉบับที่ 29 ว่าด้วยแรงงานบังคับ ค.ศ. 1930 ที่ให้สัตยาบันไว้ โดยฝ่ายลูกจ้างและประเทศในยุโรปยังคงเห็นว่าไม่มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา และ ยังคงมีการบังคับใช้แรงงาน และขาดการลงโทษผู้บังคับใช้แรงงาน โดยที่ประชุม ฯ มีมติให้พม่าใช้มาตรการต่าง ๆ ตามที่ ILO แนะนำต่อไปและให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อขจัดการบังคับใช้แรงงานให้หมดสิ้นไป 1.2 รายงานของคณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมได้หยิบยกกรณีการละเมิดสิทธิสหภาพ แรงงานในหลายประเทศ อาทิ โคลัมเบีย เอธิโอเปีย เกาหลีใต้ และเวเนซุเอลา ขึ้นมาอภิปราย สำหรับประเทศ ไทยมีกรณีข้อพิพาทระหว่างนายจ้างบริษัทไทยซัมมิต ฯ จำกัด กับสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย เกี่ยวกับการปิดงาน และการรับกลับเข้าทำงานของคนงานที่นัดหยุดงาน ขณะนี้อยู่ในชั้นการดำเนินการพิจารณา ของศาลแรงงานภาค 2 จังหวัดระยอง ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ขอให้รัฐบาลไทยติดตามเพื่อให้นักสหภาพแรงงานที่ เกี่ยวข้องได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม 1.3 รายงานของคณะกรรมการว่าด้วยการจ้างงานและนโยบายสังคมที่ระบุถึงกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผล กระทบมากที่สุด ได้แก่ ผู้หญิง คนหนุ่มสาวที่จบการศึกษาใหม่ คนพิการ แรงงานย้ายถิ่น และแรงงานนอกระบบ ซึ่งรัฐจะต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษ โดย ILO ได้กำหนดเครื่องมือที่เรียกว่า "Global Job Pact" เพื่อช่วยให้มาตรการ กระตุ้นในการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพโดยการฟื้นฟูความเชื่อด้านการเงินปล่อยสินเชื่อให้วิสาห กิจขนาดย่อย ช่วยเหลือคนหางานให้มีงานทำหรือพัฒนาทักษะเพิ่มเติมโดยได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ และให้การ คุ้มครองทางสังคมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 2. ที่ประชุม ฯ เห็นชอบการแต่งตั้งศาสตราจารย์วิทิต มันตราภรณ์ จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย เป็นกรรมการในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการปฏิบัติตามอนุสัญญาและข้อเสนอแนะของ ILO มีวาระการ ดำรงตำแหน่งสามปี
|
|||||||||||||||||||||
38712 | รายงานผลการประชุม High-Level ASEM-CSR Conference "Shaping CSR-Opportunities for the Well-Being of the ASEM Workforce" (ระหว่างวันที่ 13 - 18 มีนาคม 2552) | รง | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ASEM เรื่อง
การสร้างความรับผิดชอบของภาคธุรกิจต่อสังคม-โอกาสเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของกำลังแรงงาน (High-Level ASEM -CSR Conference "Shaping CSR-Opportunities for the Well-Being of the ASEM Workforce" ระหว่างวันที่ 13- 18 มีนาคม 2552 ณ เมือง Potsdam สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยผลการประชุม ฯ ประกอบด้วย 1. การประชุมเต็มคณะเรื่อง "CSR จากมุมมองของหุ้นส่วนทางสังคมและรัฐบาล" เป็นการประชุมไตรภา คีที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องให้หุ้นส่วนทางสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในกรอบการเจรจา ASEM ด้านแรงงานและ การจ้างงาน และการดำเนินการด้าน CSR ซึ่งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมายโดยสมัครใจ และควรมีการหารือด้าน CSR ในทุกระดับเพื่อส่งเสริมให้มีการเติบโตและการจ้างงานในระยะยาว 2. การประชุมกลุ่มที่ 1 หัวข้อกฎระเบียบระหว่างประเทศและประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ในการส่ง เสริม CSR ที่ประชุมได้กล่าวถึงปัญหาที่บริษัทต่าง ๆ ไม่ดำเนินการตามมาตรฐาน CSR ระหว่างประเทศ และความ จำเป็นที่สถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กต้องดำเนินการด้าน CSR ให้มากขึ้น 3. การประชุมกลุ่มที่ 2 หัวข้อ CSR ใน Supply Chain รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทยได้กล่าว ถึงการดำเนินการด้าน CSR ใน Supply Chain ของไทย โดยยกตัวอย่างโครงการพระราชดำริ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ด้าน CSR ของบริษัทต่าง ๆ ของไทย บทบาทของกระทรวงแรงงานด้าน CSR ในการกำหนดมาตรฐานแรงงานไทย และกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้านแรงงานที่มุ่งเน้นให้นายจ้างและภาคประชาสังคมร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่ CSR ปัจจุบันมี สถานประกอบการหลายแห่งดำเนินการด้าน CSR ด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตามบริษัทขนาดเล็กอาจมีปัญหา ด้าน CSR เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านนี้น้อยกว่าบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติที่มีประสบการณ์ด้าน CSR ที่ยาวนานและได้พัฒนา CSR อย่างค่อยเป็นค่อยไป 4. การประชุมกลุ่มที่ 3 หัวข้อความได้เปรียบด้านทำเลและการแข่งขัน : ระบบการคุ้มครองทางการค้า ผลการประชุมสรุปได้ว่ากลยุทธ์ CSR ที่ดีจะก่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน มีความสำคัญต่อความเชื่อถือและ ชื่อเสียงของสถานประกอบการ อีกทั้งเป็นการลงทุนที่ยั่งยืนที่นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
|
|||||||||||||||||||||
38713 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และ ให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการ ต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ 1.1 เพิ่มกรรมการโดยตำแหน่งอีก 3 ตำแหน่ง คือ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ 1.2 กำหนดตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษา เพิ่มเป็นองค์ประกอบของคณะกรรมการ ฯ ตามจำนวนที่ ประธานกรรมการเห็นสมควร 2. กำหนดให้นำวาระการดำรงตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ตามระเบียบ ฯ ข้อ 5 และข้อ 6 มาใช้บังคับกับการดำรงตำแหน่งของกรรมการที่ปรึกษาในคณะกรรมการ ฯ โดยอนุโลม
|
|||||||||||||||||||||
38714 | ของบกลางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2551 (รวม 5 จังหวัด) | กษ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง ราย
การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี พ.ศ. 2551 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ ตาก ศรีสะเกษ และจังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 5 จังหวัด โดยจ่ายผ่านธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมประมง ในวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 29,790,484 บาท ประกอบด้วย 1. กรมส่งเสริมการเกษตร (ด้านพืช) วงเงิน 29,695,484 บาท 2. กรมประมง (ด้านประมง) วงเงิน 95,000 บาท
|
|||||||||||||||||||||
38715 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (จำนวน 12 คน 1. นายอำพล ไมตรีเวชฯ) | พณ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร จำนวน 12 คน ตาม
ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (16 มิถุนายน 2552) เป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายอำพล ไมตรีเวช ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเภสัชศาสตร์ 2. นายวีระศักดิ์ ว่องปรีชา ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาการออกแบบ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 3. นายกิตติ อมรรักษา ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิทยาศาสตร์ 4. นายวิชา ธิติประเสริฐ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาเกษตรศาสตร์ 5. นายสำเริง จักรใจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 6. นายอุดมเกียรติ นนทแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิภาคราชการ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 7. นายพลาวุธ เชาวนโยธิน ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 8. นายกิตติ ตั้งจิตรมณีศักดา ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์ 9. พันเอก เพทาย อัตเศรณีย์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 10. นายปกรณ์ อดุลพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิศวกรรมศาสตร์ 11. นายวิม มโนพิโมกษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาอุตสาหกรรม 12. พันตำรวจเอก สุรเชษฐ ชีรวินิจ ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์
|
|||||||||||||||||||||
38716 | แต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายชูสิทธิ์ พานิชวิทิตกุล) | สธ | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายชูสิทธิ์ พานิชวิทิตกุล ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ 10 วช. (ด้านเวช
กรรม สาขาศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลสุรินทร์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ สำนักงาน ปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2551 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตาม ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
38717 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและ ผู้ยากจน สรุปได้ดังนี้ 1.1 ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 1.1.1 การบริหารจัดการกองทุนฟื้นฟู ฯ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนเกษตรกร มีวาระ การดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และจะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้ ในกรณีคณะกรรมการกองทุน ฟื้นฟู ฯ ดำรงตำแหน่งครบวาระแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ ชุดใหม่ ให้คณะกรรมการกอง ทุนฟื้นฟู ฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 1.1.2 ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟู ฯ กำกับดูแลให้เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้น ฟู ฯ ทำงานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟู ฯ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 1.1.3 การเร่งจัดการหนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ เร่งรัดดำเนินการบริหารใช้จ่ายเงิน กองทุนฟื้นฟู ฯ ที่เหลือสำหรับการจัดการหนี้ประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อการจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยจัดการหนี้ตามลำดับความสำคัญของหนี้ 1.1.4 การเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ให้คณะกรรม การบริหารกองทุนฟื้นฟู ฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟู ฯ ที่ได้ยื่นไว้และทบทวนแล้ว 1.2 ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน 1.2.1 การค้ำประกันการกู้ยืมเงิน กรณีการกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพให้ผู้กู้ยืม สามารถใช้การค้ำประกันการกู้ยืมเงินโดยบุคคล องค์กรนิติบุคคล ส.ป.ก. 4-01 หรือทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้ กับทางราชการ เช่น รถยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับการค้ำประกันการกู้ยืมเงินโดยบุคคล ควรกำหนดให้มีวงเงิน การค้ำประกันไม่เกิน 100,000 บาท 1.2.2 องค์กรบริหารเงินกู้อื่น นอกจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ควรจัด ให้มีองค์กรอื่น เช่น สหกรณ์ และธนาคารของรัฐ เป็นต้น ให้สามารถเข้าร่วมโครงการในการให้บริการบริหาร เงินกู้ 1.2.3 เพิ่มวงเงินให้กู้ยืมให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจน จากไม่เกินรายละ 500,000 บาท เป็น รายละไม่เกิน 2,500,000 บาท และลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี เป็นร้อยละ 1-4 ต่อปี 1.2.4 ควรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ยืมต้องเข้าโครงการฟื้นฟูและพัฒนาขององค์การ บริหารเงินกู้ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงการฟื้นฟูและพัฒนาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถหารายได้ใช้ หนี้เงินกู้ยืมและไม่เป็นหนี้อีกในอนาคต 1.2.5 การดำเนินงานของกองทุนหมุนเวียน ฯ ควรเน้นการจัดการหนี้นอกระบบ เพื่อไม่ให้ซ้ำ ซ้อนกับการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟู ฯ ที่จัดการหนี้ในระบบ 1.2.6 การจัดการหนี้ของกองทุนหมุนเวียน ฯ ควรกำหนดเกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของ หนี้เพื่อให้หนี้ที่เป็นภาระหนักและเร่งด่วนของเกษตรกรและผู้ยากจนได้รับการจัดการก่อน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ และ คณะกรรมการกองทุนหมุนเวียน ฯ
|
|||||||||||||||||||||
38718 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย สรุป ได้ดังนี้ 1.1 ด้านกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ รัฐอาจตรากฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคน พิการขึ้นโดยตรง หรืออาจปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ให้มีบทลงโทษ มีกลไกรักษาหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิ ภาพ โดยอาจคุ้มครองคนพิการโดยเฉพาะหรืออาจครอบคลุมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสโดยรวม 1.2 ด้านการให้การศึกษาแก่สาธารณชน รัฐต้องให้การศึกษาเพื่อให้สาธารณชน โดยเฉพาะพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลบุคคลในครอบครัวและผู้ให้บริการคนพิการมีจิตสำนึกและรู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมทั้งใช้ประโยชน์ จากสื่อโดยเฉพาะช่องทีวีไทย (ทีวีสาธารณะ) ในการให้การศึกษาแก่ประชาชน และจัดให้มีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อลดการเลือกปฏิบัติกับคนพิการ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของ องค์กรภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กและคนพิการทั้งในรูปแบบการจัดการศึกษา หรือ อื่น ๆ 1.3 ด้านการเสริมสร้างบทบาทของครอบครัว รัฐต้องให้ความสำคัญกับการค้นหาและการสร้างกล ไก และวิธีการที่ทำให้ครอบครัวแสดงบทบาทอย่างถูกต้องต่อบุตรหลานคนพิการ จัดทำทะเบียนครอบครัวที่มีเด็ก พิการเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสามารถเข้าช่วยเหลือ และส่งเสริมเยาวชนให้ได้รับการอบรมตั้งแต่เด็กใน การให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อแก่คนพิการ 1.4 ด้านการสร้างโอกาสทางอาชีพ รัฐควรสร้างโอกาสพิเศษทางอาชีพให้แก่คนพิการเพื่อสร้างผล ผลิตและมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และคำนึงถึงการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ สถานประกอบ การ และหน่วยงานภาคเอกชนให้มากขึ้น 1.5 ด้านการพัฒนาองค์กรคุ้มครองสิทธิ รัฐต้องกำหนดนโยบายในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับ องค์กรด้านคนพิการเพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จัดตั้งองค์กรด้านคนพิการที่ทำหน้า ที่พิทักษ์สิทธิให้กับคนพิการในรูปแบบขององค์กรพัฒนาเอกชนที่มีผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคนพิการ ตลอดจนส่งเสริม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจ มีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรด้านคนพิการ รวมทั้งสนับสนุนเรื่อง งบประมาณให้องค์กรคนพิการในท้องถิ่นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข อัยการสูงสุด สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิ การ สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศ ไทย
|
|||||||||||||||||||||
38719 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" สรุปได้ดังนี้ 1.1 ส่งเสริมการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่ดีโดยการยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการเหมือง แร่และกิจการต่อเนื่อง ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทั้งด้านการผลิตและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้ทุกเหมืองแร่มี แผนการควบคุม ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในท้องถิ่น 1.2 ให้มีหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารเคมีอันเกิดจากการทำเหมืองแร่ รวมทั้งมี ระบบการตรวจวัดการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำ ดิน และอากาศ และมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในภาวะ ที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีจากการทำเหมืองแร่ 1.3 ให้มีหน่วยงานกำหนดมาตรการกำกับและติดตามตรวจสอบให้เจ้าของเหมืองแร่ต้องจัดทำแผน การฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ร้างและดำเนินการตามแผนดังกล่าวเพื่อคืนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์และทรัพยากร ธรรมชาติ 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการทำเหมืองแร่ มีส่วนร่วมใน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และร่วมในกระบวนการประชาพิจารณ์ภายใต้การรับ รู้ข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์และเท่าเทียม 1.5 แก้ไขปรับปรุงอัตราค่าภาคหลวงแร่ให้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะการปรับอัตราค่าภาคหลวงแร่ทอง คำให้คุ้มค่ากับการให้ประทานบัตรแร่เพื่อเป็นรายได้ของประเทศ 1.6 สร้างกลไกควบคุมการผลิต การใช้ทรัพยากรแร่ที่สำคัญ โดยการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดำเนิน โครงการ เช่น ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม แร่ที่ใช้สำหรับทำปุ๋ย เป็นต้น เพื่อให้การเก็บค่าภาคหลวงแร่เข้าสู่ภาครัฐ ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการจัดสรรเงินรายได้ดังกล่าวเป็นกองทุนสำหรับการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ของชุมชนต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากโครงการทำเหมืองแร่ 1.7 ให้มีแผนแม่บทหลักการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศในระยะยาว โดยการกำหนดนโยบาย ทรัพยากรแร่เป็นวาระแห่งชาติเพื่อส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรแร่ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 1.8 ให้มีมาตรการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการการทำเหมืองแร่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ ให้เจ้าของได้ปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด 1.9 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตแร่ที่ทันสมัย และพัฒนาอุตสาหกรรมต่อ เนื่องจากแร่แบบครบวงจรในประเทศแทนการส่งสินแร่หรือแร่ดิบออกนอกประเทศ 1.10 มีการศึกษาประเมินยุทธศาสตร์ในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรณี รวมถึงแหล่งแร่ที่สำคัญ 1.11 ให้มีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assess ment : SEA) ก่อนกำหนดให้มีโครงการทำเหมืองแร่ และก่อนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวด ล้อม (EIA) เพื่อให้ทราบทิศทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และไม่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
38720 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การยกระดับคุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย" สรุปได้ดังนี้ 1.1 นโยบายเร่งด่วนที่ควรดำเนินการ อาทิ 1.1.1 ควรกำหนดให้การยกระดับคุณธรรม จริยธรรม เป็นนโยบายที่สำคัญและเป็นวาระแห่งชาติ 1.1.2 ควรปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยปรับปรุงคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย แห่งชาติ 1.1.3 ควรเร่งรัดการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550- 2554) ในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คุณธรรม 1.1.4 ควรเร่งรัดการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 11 เกี่ยวกับจริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 1.1.5 ควรยกย่องนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชนที่ประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรม จริย ธรรม ผู้ได้รับการยอมรับจากสังคมเพื่อให้เป็นตัวอย่างและแบบฉบับที่ดี 1.1.6 ควรเร่งรัดการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีรายได้ อย่างพอเพียงและเหมาะสมโดยมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรากฐานที่สำคัญ 1.1.7 ควรเร่งรัดการปฏิรูปสังคมเพื่อให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย มีความเป็นธรรม เป็นสังคมที่ อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันโดยมีศาสนาและการศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญ 1.2 นโยบายที่รัฐบาลควรดำเนินการในระยะยาว อาทิ 1.2.1 ควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการสร้างจิตสำนึกด้านคุณ ธรรมและจริยธรรมในการยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย 1.2.2 ควรสร้างรากฐานที่มั่นคงของสังคม รากฐานที่สำคัญคือ จิตใจที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต 1.2.3 ควรส่งเสริมค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยดำเนินการเป็นกระบวนการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ค่านิยมที่พึงประสงค์ ได้แก่ ค่านิยมพื้นฐาน 5 ประการ ของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1.2.4 ควรปฏิรูปการศึกษา และให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้เหมาะสมยิ่ง ขึ้น โดยให้ทุกภาคส่วนของสังคมที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเปลี่ยนปรัชญาการศึกษาที่ว่า "ความรู้คู่คุณ ธรรม" เป็น "ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม นำความรู้สู่การพัฒนา" 1.2.5 ควรกำหนดวิธีการและมาตรการที่จะให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือจรรยา บรรณที่กำหนด 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กรมการ ศาสนา ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) รวมทั้งสำนักบริหารและพัฒนาองค์ความ รู้ (องค์การมหาชน)
|
.....