ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1860 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 37181 - 37200 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
37181 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 สายกรุงเทพมหานคร - สะเดา (คลองพรวน) ตอนบ้านบางนอน - บ้านพรรั้ง พ.ศ. .... | คค | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยาย
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 สายกรุงเทพมหานคร-สะเดา (คลองพรวน) ตอนบ้านบางบอน-บ้านพรรั้ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 สายกรุงเทพมหา นคร-สะเดา (คลองพรวน) ตอนบ้านบางบอน-บ้านพรรั้ง ในท้องที่อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เพื่อให้เจ้า หน้าที่ หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหา ริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
37182 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่ตำบลบ้านกล้วย และตำบลยางซ้าย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริม
ทรัพย์ ในท้องที่ตำบลบ้านกล้วย และตำบลยางซ้าย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดย เร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 101 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1293 ในท้องที่ตำบลบ้านกล้วย และตำบลยางซ้าย อำเภอ เมืองสุโขทัย เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบ ร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
37183 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย- ลาว ครั้งที่ 17 | กห | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบ
เรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ครั้งที่ 17 (GBC-17) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 กันยายน 2552 ณ กรุง เทพมหานคร โดยสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความ มั่นคงบริเวณชายแดน ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่สิ้นสุดการบังคับใช้เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2551 มีผลบังคับใช้ต่อไปอีก 5 ปี กับเห็นชอบให้มีการประชุมคณะอนุ กรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยผลัดกันเป็นเจ้าภาพ ส่วน เรื่องการวางกำลังและการลาดตระเวนของกำลังติดอาวุธของทั้งสองฝ่าย ตามบริเวณชายแดนไทย-ลาวนั้น ที่ประชุม เห็นชอบให้ทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังระหว่างจังหวัดอุบลราชธานี กับแขวงจำปาสัก ฝ่ายละ 3 จุดตามเดิม และให้ ปฏิบัติตามมาตรา 1 ข้อ 3 ของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยไม่ให้กำลังทหาร และตำรวจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลาดตระเวนล่วงล้ำดินแดนทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเด็ด ขาด ยกเว้นกรณีการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติภัยตามลำแม่น้ำโขง ตามหลักมนุษยธรรม นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ ให้ปฏิบัติตามข้อ 9 ของบันทึกการประชุม GBC-16 อย่างเคร่งครัด โดยดำเนินการตรวจพื้นที่ชายแดนร่วมกันอย่าง น้อยปีละ 1 ครั้ง รวมทั้งปฏิบัติตามข้อ 16 ของบันทึกการประชุม GBC-16 และสนับสนุนให้ปฏิบัติตามข้อ 15 ของ บันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย-ลาว ครั้งที่ 1/2552 (40) เกี่ยวกับการส่งชาวม้งลาวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายกลับคืนประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
37184 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปลายมาศ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำ
และบำรุงรักษาลำปลายมาศ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตร และสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่าง กฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวาของฝายปะคำ จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง ถึงกิโลเมตรที่ 22.300 ในท้องที่ตำบลปะคำ อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นทางน้ำ ชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 2. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้ายของฝายปะคำ จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลโคกมะม่วง อำเภอปะคำ ถึงกิโลเมตรที่ 26.231 ในท้องที่ตำบลทรัพย์พระยา อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 3. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย 3 ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้ายของฝายปะคำ จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลหนองบัว ถึงกิโลเมตรที่ 2.360 ในท้องที่ตำบลหนองบัว อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 4. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองซอย 4 ขวา ของคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งซ้ายของฝายปะคำ จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลหนองบัว ถึงกิโลเมตรที่ 2.340 ในท้องที่ตำบลหนองบัว อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 5. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองแยกซอย 1 ซ้าย ของคลองซอย 4 ขวา ของคลองส่งน้ำสาย ใหญ่ฝั่งซ้ายของฝายปะคำ จากกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลหนองบัว ถึงกิโลเมตรที่ 3.650 ในท้องที่ ตำบลหนองบัว อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||
37185 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายกาซี อิมติอาซ โฮเซน (Mr. Kazi Imtiaz Hossain)] | กต | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายกาซี อิมติอาซ โฮเซน (Mr. Kazi Imtiaz Hossain) ให้ดำรง
ตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศประจำประเทศไทยคนใหม่ สืบแทนนายมุสตาฟา กะมาล (Mr. Mustafa Kamal) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงการ ต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
37186 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอขอเปลี่ยนแปลงผู้ประสานงาน
คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จากนายกิตติ ลิ้มชัยกิจ เป็นนายธีรภัทร สันติเมทนีดล รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
37187 | แต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา | กก | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขอเปลี่ยนแปลงผู้ประสานงาน
คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จากนายปรีดี โชติช่วง เป็นนายสมบัติ คุรุพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬา และนันทนาการ
|
||||||||||||||||||||||||
37188 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ดังนี้ 1.1 ควรตั้งกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยกรรมการดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติไม่ต่ำกว่าผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. 1.2 สำนักงาน ป.ป.ช. ควรจัดทำกฎ ระเบียบหรือหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการได้มาซึ่งพนักงานไต่สวน ตามมาตรา 82/2 ที่ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการยื่นคำร้องต่อศาลหรือฟ้องคดีแทนคณะ กรรมการ ป.ป.ช. โดยมีคุณสมบัติและประสบการณ์ที่เหมาะสม 1.3 มาตรา 31 ที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ในการแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวม หลักฐานต่าง ๆ ได้เอง (ระบบไต่สวน) โดยเจ้าพนักงานตำรวจมิได้ร่วมด้วย แต่ยังคงให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้ง พนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการหรือมอบหมายให้พนักงานไต่สวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ร่วมดำเนินการกับเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวน โดยนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใน ส่วนที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้โดยอนุโลม นั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ควรหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ปฏิบัติร่วมกันด้วย 1.4 ให้มีการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งสำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดาในรอบปีที่ผ่านมาในทุกรอบปีระหว่างดำรงตำแหน่ง 1.5 มาตรา 53 วรรคสองที่ให้สำนักงาน ป.ป.ช. จัดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าตรวจดูเหตุผลที่มีมติ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าวได้นั้น สำนักงาน ป.ป.ช. ควรกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าตรวจดูไว้ให้ชัดเจน โดย แบ่งประเภทบุคคลที่เข้าตรวจดู และควรให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ด้วย 1.6 ควรมีการจัดตั้ง "กองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริต" ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ 2. ให้กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณรับข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนป้องกันและปราบ ปรามการทุจริต ไปพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
37189 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 5/2552 | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผล
การประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้ง ที่ 5/2552 โดยที่ประชุมคณะกรรมการ ฯ ได้มีมติ ดังนี้ 1. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการประสานงานกับหน่วยงานใน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการในการกำกับและติดตามการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในสาขาการศึกษา และร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ ฯ ในการ จัดทำดัชนีชี้วัดสำหรับติดตามประเมินผลการลงทุนสาขาศึกษา และเสนอคณะกรรมการ ฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 2. ให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจัดส่งรายละเอียดโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ ภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2552 ให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามขั้นตอนเพื่อให้สามารถดำเนินโครง การได้ภายในปี พ.ศ. 2553 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการ ฯ 3. ให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ ฯ ปรับปรุงดัชนีชี้วัดความสำเร็จโครงการประกันรายได้เกษตร กรภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ในส่วนของรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของเกษตรกร จำนวนครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้น ทะเบียนพืชเศรษฐกิจแต่ละชนิด และพื้นที่เพาะปลูกผลิตพืชแต่ละชนิด 4. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการ ฯ เกี่ยวกับข้อมูลในการขอรับจัดสรรเงินจาก สำนักงบประมาณ และการจัดแสดงแผนที่อธิบายสถานที่ตั้งโครงการและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง ไปประกอบการ พิจารณาจัดทำระบบสารสนเทศในการติดตามและตรวจสอบการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ของ กระทรวงการคลัง 5. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง จัดทำปฏิทินการจัดสรรเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้ อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 เพื่อให้หน่วยงาน เจ้าของโครงการใช้เป็นกรอบเวลาในการดำเนินการและมีการพิจารณากำหนดแนวทางและขั้นตอนการดำเนิน การในกรณีที่มีการยกเลิกโครงการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
37190 | รายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครองประจำปี 2551 | ศป | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานศาลปกครองรายงานการปฏิบัติงานของศาลปกครองและสำนัก
งานศาลปกครองตามแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน 6 ยุทธศาสตร์ ประจำปี พ.ศ. 2551 ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 การยกระดับมาตรฐานงานคดีและการบังคับคดีปกครอง 1.1 สถิติคดีของศาลปกครอง โดยในส่วนของศาลปกครองชั้นต้นมีปริมาณคดีสู่การพิจารณา 4,254 คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ 3,873 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 381 คดี สำหรับศาลปกครองสูงสุดมีปริมาณคดีสู่ การพิจารณา 1,998 คดี พิจารณาคดีแล้วเสร็จ 1,538 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณา 460 คดี 1.2 การให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับคดีปกครอง 8,200 ราย 1.3 การบังคับคดีปกครอง มีคดีที่ต้องดำเนินการบังคับคดี 1,119 คดี บังคับคดีแล้วเสร็จ 361 คดี อยู่ระหว่างการบังคับคดี 758 คดี 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรมนุษย์และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร ได้มีการ อบรมสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากรในกลุ่มตุลาการศาลปกครอง และข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาองค์ความรู้และระบบการจัดการองค์ความรู้ที่มีประสิทธิภาพ ได้พัฒนา องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางปกครองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมทางปกครอง โดยสร้างเครือข่ายและ จัดกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ ความเข้าใจ และเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชน 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 การเผยแพร่แนวปฏิบัติราชการที่ดีเพื่อลดและป้องกันการเกิดข้อพิพาททางปกครอง ได้เผยแพร่แนวทางการปฏิบัติราชการที่ดีเพื่อลดและป้องกันการเกิดข้อพิพาททางปกครอง ส่งผลให้หน่วยงานทาง ปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีแนวทางการปฏิบัติราชการที่ดี รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวทาง การปฏิบัติราชการ 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กร มีระบบการบริหารจัดการองค์กร ที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
37191 | โครงการปี พ.ศ. 2553 ปีแห่งการรณรงค์เพื่อการป้องกันอัคคีภัยในเคหสถานและสถานประกอบการ | มท | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เสนอโครงการ
ปี พ.ศ. 2553 ปีแห่งการรณรงค์เพื่อการป้องกันอัคคีภัยในเคหสถานและสถานประกอบการ เพื่อเป็นการริเริ่มและ กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายจากอัคคีภัย และเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้เป็น รูปธรรม เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ฯ ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2553-ธันวาคม 2553 ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ดังนี้ 1. ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์และระบบเตือนภัย ต่าง ๆ เช่น อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ (Smoke Detector) สัญญาเตือนเพลิงไหม้ และถังดับเพลิงแบบมือถือ เป็นต้น ในบ้านเรือนและสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย 2. การจัดสัปดาห์รณรงค์การป้องกันอัคคีภัยของจังหวัดและกรุงเทพมหานครเพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย รวมทั้งความรู้เบื้องต้นในการ เตรียมการป้องกันและระงับอัคคีภัย 3. กิจกรรมการประกวดคำขวัญและสิ่งประดิษฐ์ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||
37192 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มี สาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ และตำบล ทุ่งโพธิ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีที่ร่างพระราช กฤษฎีกามีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน สมควรที่สำนักงานการปฏิรูปที่ ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้ เมื่อจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ ดิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
37193 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลราชกรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลราชกรูด อำเภอ
เมืองระนอง จังหวัดระนอง ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลราช กรูด อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
37194 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่อำเภอท่าปลา และอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ในท้องที่ตำบลนางพญา ตำบลน้ำหมัน ตำบลท่าปลา ตำบลจริม ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบลขุนฝาง ตำบลวังดิน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรม
ชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่อำเภอท่าปลา และอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัด อุตรดิตถ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองใน ท้องที่อำเภอท่าปลา และอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2528 โดยยกเลิกแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา และปรับปรุงแนวเขตนิคมสร้างตนเองตามพระราชกฤษฎีกา ฯ เสียใหม่ให้ถูกต้อง เพื่อจัดให้ราษฎรที่ได้รับผลกระทบ จากการสร้างเขื่อนสิริกิตติ์ให้ได้รับสิทธิโดยสมบูรณ์ตามกฎหมายที่ได้รับการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ป่าลำน้ำน่านฝั่งขวา ในท้องที่ตำบลนางพญา ตำบลน้ำหมัน ตำบลท่าปลา ตำบลจริม ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบลขุนฝาง ตำบลวังดิน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 862 (พ.ศ. 2522) ออก ตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติเสียใหม่ ในท้องที่ตำบล นางพญา ตำบลน้ำหมัน ตำบลท่าปลา ตำบลจริม ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา และตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบล ขุนฝาง ตำบลวังดิน อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายในแนวเขตที่เพิกถอนตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงนี้
|
||||||||||||||||||||||||
37195 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายโฆษิต ฉัตรไพบูรณ์ และนายมานพ เมฆประยูรทอง) | กต | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรง
ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่ กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ 1. นายโฆษิต ฉัตรไพบูรณ์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา 2. นายมานพ เมฆประยูรทอง ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูจา สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย
|
||||||||||||||||||||||||
37196 | การกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้พิจารณางบประมาณเงินอุดหนุนขององค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยปรับลดงบประมาณลงจำนวน 847.53 ล้านบาท และเห็นชอบการแปรญัตติเพิ่ม เติม จำนวน 4,042.72 ล้านบาท ทำให้เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่ อปท. เพิ่มขึ้นจำนวน 3,195.18 ล้านบาท มีผลให้ ยอดรวมเงินอุดหนุนของ อปท. เพิ่มขึ้นจากเดิม 136,700 ล้านบาท เป็นจำนวน 139,895.18 ล้านบาท ทำให้สัดส่วน รายได้ของ อปท. ต่อรายได้สุทธิของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25.02 เป็นร้อยละ 25.26 โดย อปท. จะมีประมาณ การรายได้ทั้งสิ้น 340,995.18 ล้านบาท |
||||||||||||||||||||||||
37197 | ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2552 | นร | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฐานะฝ่าย
เลขานุการคณะกรรมการประสานการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรายงานความก้าวหน้าการดำเนิน งานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2552 พบว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) ได้จัดทำสัญญาประกันรายได้ผู้ปลูกข้าว จำนวน 2.99 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากช่วงสัปดาห์ก่อนร้อยละ 12.07 หรือร้อยละ 88.25 ของจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้ และมีเกษตรกรมาขอใช้สิทธิการชดเชยแล้ว 1.06 ราย หรือร้อยละ 31.34 คิดเป็นวงเงินที่จ่ายชดเชย 11,219.4 ล้านบาท และได้ทำสัญญาประกันรายได้ให้แก่เกษตร กรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 98.44 และ 95.48 ของจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะ เบียนไว้ ตามลำดับ สำหรับกรณีการผ่อนผันให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหลังวันที่ 31 ตุลาคม 2552 และได้ทำประชา คมแล้วโดยยังมีข้าวเปลือกในวันที่ทำประชาคม ซึ่งทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้เร่งนำส่งข้อมูลการรับรองเกษตรกร ให้กับ ธ.ก.ส. จำนวน 30,145 ราย ยังคงเหลืออยู่ 8,992 ราย ซึ่งจะสามารถส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2552
|
||||||||||||||||||||||||
37198 | รายงานผลการพิจารณา เรื่อง "การพัฒนาพันธุ์ข้าวของประเทศสหรัฐอเมริกา" | กษ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการพิจารณา เรื่อง "การพัฒนาพันธุ์
ข้าวของประเทศสหรัฐอเมริกา" สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการตรวจสอบคุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างข้าวขาวดอกมะลิ 105 ของไทยกับพันธุ์ข้าว Jazzman ของสำนักงาน ดี.ซี. พบว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้จัดเป็นกลุ่มเดียวกัน การทำตลาดที่จะจัดเป็นกลุ่มเดียวกับข้าวหอมมะลิ ของไทยยังไม่สามารถเทียบได้ในเชิงคุณภาพและการทำตลาดจะเน้นเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งจะต้องใช้เวลา ค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อปริมาณการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่บ้าง เพราะโดยคุณสมบัติของข้าวหอมมะลิไทยจัดเป็นข้าวที่มีคุณภาพของแป้งข้าวที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งทางวิชาการ และโภชนาการจึงมีหลายประเทศที่พยายามพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้เทียบเท่ากับข้าวหอมมะลิของไทย 2. แนวทางป้องกันและแก้ไขผลกระทบ 2.1 ใช้กลยุทธ์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลผู้บริโภคทราบถึงข้อดีของข้าวหอมมะลิไทย 2.2 พัฒนาระบบมาตรฐานการผลิตข้าวหอมมะลิไทยให้ครบวงจรครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิตจนถึง มือผู้บริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ 2.3 เร่งใช้มาตรการ SPS (Sanitary and phytosanitary measures) ในการนำเข้าข้าว และการระบุ แหล่งกำเนิด (source of origin) เพื่อเป็นการเสริมสร้างมาตรฐานสินค้าข้าวของไทย 2.4 มีการจัดกลุ่มข้าวหอมเพิ่มเติมนอกเหนือจากพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 2.5 หามาตรการเพื่อให้มีการยอมรับข้าวหอมที่ปลูกนอกเขตข้าวหอมมะลิ (ข้าวหอมจังหวัด) หรือการ พัฒนาสินค้าข้าวหอมจังหวัดให้มีคุณภาพเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication good) ระดับ จังหวัดหรือระดับเขตได้ 2.6 ให้การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาข้าวหอมมะลิอย่างจริงจังและต่อเนื่องทั้งด้านงบประมาณ เครื่องมืออุปกรณ์ และบุคลากร
|
||||||||||||||||||||||||
37199 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2552 | กค | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. อนุมัติแล้ว จำนวน 21,897 โครงการ วงเงิน 199,960.60 ล้านบาท 2. การจัดสรร 2.1 รอการจัดสรร จำนวน 7,755 โครงการ วงเงิน 80,505.57 ล้านบาท 2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 14,142 โครงการ วงเงิน 119,059.70 ล้านบาท 3. การจัดซื้อจัดจ้าง 3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน 9,047 โครงการ วงเงิน 56,281.74 ล้าน บาท 3.2 ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 5,095 โครงการ วงเงิน 62,777.96 ล้านบาท 3.3 มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 5,095 โครงการ วงเงิน 62,645.07 ล้านบาท 4. การดำเนินการ 4.1 ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน 1,089 โครงการ วงเงิน 39,597.62 ล้านบาท 4.2 เบิกจ่ายบางส่วนแล้ว (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 3,852 โครงการ วงเงิน 7,588.49 ล้านบาท 4.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 154 โครงการ วงเงิน 15,458.96 ล้านบาท 4.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 4,006 โครงการ วงเงิน 23.047.45 ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
37200 | แก้ไขคู่มือการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว (รอบที่ 1) | พณ | 22/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)
เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2552 ซึ่งมอบหมายให้ปรับปรุงคู่มือการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนา ปี ปีการผลิต 2552/53 (รอบที่ 1) ในข้อ 8.1 กรณีผ่อนผันให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ที่มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ตรวจสอบว่าเกษตรกรที่ได้จำหน่ายข้าวเปลือกไปก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2552 และได้รับการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและทำประชาคมแล้ว หากเกษตรกรดังกล่าวไม่ได้ใช้สิทธิเข้าร่วม โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 ให้สามารถใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว นาปี ปีการผลิต 2552/53 ได้ โดยเกษตรกรที่ไม่ได้ใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังในที่นี้ให้หมาย ถึงเฉพาะการเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ในช่วงที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2552 และ 29 กันยายน 2552 ที่ให้ขยายระยะเวลารับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2552 ออกไปตั้งแต่ 1 กันยายน-15 ตุลาคม 2552 เท่านั้น
|
.....