ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1679 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33561 - 33580 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33561 | แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2555 - 2564) | สธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) โดยสาระสำคัญของแผน ประกอบด้วย เป้าประสงค์ วัตถุประสงค์ เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ กลวิธี และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งนี้ กำหนดเป้าประสงค์ไว้ว่า “ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ สังคมและสิ่งแวดล้อมปลอดภัย บนพื้นฐานของการจัดการสารเคมีที่มีประสิทธิภาพ มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ” โดยวางยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีไว้ ๓ ยุทธศาสตร์ และ ๙ กลวิธี ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาฐานข้อมูล กลไก และเครื่องมือในการจัดการสารเคมีอย่างเป็นระบบครบวงจร กำหนดไว้ ๓ กลวิธี คือ พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง พัฒนากลไกและเครื่องมือในการจัดการสารเคมีอย่างเป็นระบบครบวงจร และสร้างกลไกเพื่อขับเคลื่อนการจัดการสารเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาศักยภาพและบทบาทในการบริหารจัดการสารเคมีของทุกภาคส่วน กำหนดไว้ ๓ กลวิธี คือ พัฒนาองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมี พัฒนาศักยภาพการตอบสนองและการเตรียมความพร้อมต่อพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศ และส่งเสริมบทบาทและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ลดความเสี่ยงอันตรายจากสารเคมี กำหนดไว้ ๓ กลวิธี คือ ป้องกันอันตรายจากสารเคมี เฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบผลกระทบจากสารเคมี และรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินและการรักษาเยียวยาและฟื้นฟู ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนฯ พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมี ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีแผนการดำเนินงานต่อเนื่องระยะยาวและแผนงบประมาณเน้นในการจัดทำยุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีอย่างชัดเจน และควรมีการดำเนินงานเชิงนโยบายและเชิงรากหญ้าเพื่อทำกิจกรรมในเชิงปฏิบัติในทุกภาคส่วน รวมทั้งเห็นควรกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนฯ ให้ชัดเจนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งพิจารณาเพิ่มแนวทางในการจัดการสารเคมีในภาคสาธารณสุข อาทิ การจัดการสารเคมีอันตรายตกค้างในอาหาร ยา เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคมีความรู้ความเข้าใจถึงวิธีใช้ที่ถูกต้อง ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนายุทธศาสตร์การจัดการสารเคมีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนตัวชี้วัด และหน่วยงานรับผิดชอบตัวชี้วัดในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับชาติถึงระดับท้องถิ่น เพื่อให้สามารถนำแผนฯ ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
33562 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของไตรมาสแรก | ทก | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานโครงการศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (Government Contact Center : GCC 1111) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของไตรมาสแรก มีข้อมูลที่ประชาชนโทรสอบถาม เช่น การจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๘๓ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ มาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โครงการขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อเข้าโครงการประกันรายได้ อัตราค่าแรงขั้นต่ำ โครงการบัตรลดหนี้ วินัยดี มีวงเงินมาตรการความช่วยเหลือเบื้องต้นของรัฐแก่ผู้ประสบอุทกภัย เกณฑ์กลางอ้างอิงและอัตราชดเชยข้าวเปลือกและพืชผลทางการเกษตร ราคาทองคำ เป็นต้น นอกจากนี้ GCC 1111 ได้ให้บริการสอบถามข้อมูลการร้องทุกข์ การโทรติดตาม ผลการได้รับความช่วยเหลือของผู้ประสบอุทกภัย การโทรสอบถามการร้องขอความช่วยเหลือผ่าน SMS 4567891 โดยจัดสรรหมายเลขพร้อมอุปกรณ์เพื่อรองรับการโอนสายจาก GCC 1111 สำหรับใช้โทรติดต่อในภารกิจ รวมทั้งได้ทำการเชื่อมโยงระบบ Call Center (สายด่วน 1111) พร้อมจัดพนักงานรับสายเข้าร่วมดำเนินงานให้บริการ ณ ศูนย์ประสานการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ทำเนียบรัฐบาล
|
|||||||||||||||||||||||||||
33563 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษกรณีไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ. ตามมาตรา 9 พ.ศ. .... | นร | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษกรณีไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ. ตามมาตรา ๙ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการดำเนินการทางวินัย และการสั่งลงโทษปลัดกระทรวง อธิบดี หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติที่ไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ. โดยในกรณีที่ ก.พ. มีมติว่ากระทรวง กรม หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติการโดยขัดหรือแย้งกับแนวทางตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ โดยในกรณีที่กระทรวง กรม หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวไม่ดำเนินการตามมติ ก.พ. ภายในเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่าปลัดกระทรวง อธิบดี หรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติดังกล่าวแล้วแต่กรณี กระทำผิดวินัย โดยให้ ก.พ. เปิดโอกาสให้ปลัดกระทรวง อธิบดี หรือผู้มีหน้าที่นั้นได้ชี้แจงถึงเหตุที่ปฏิบัติตามมติ ก.พ. ดังกล่าวภายในเวลาที่กำหนด ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33564 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2554 (เพิ่มเติม) | นร | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยคณะกรรมการ กรอ. มีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศจัดส่งข้อมูลการดำเนินการแลกเปลี่ยนสัตยาบันอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อจัดทำข้อมูลประกอบการเยือนสหภาพพม่าของรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ร่วมกันอีกครั้ง โดยให้มีการพิจารณารายละเอียดครอบคลุมถึงกรณีที่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์อาจทำให้เกิดภาระภาษีเพิ่มขึ้น ผลกระทบที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน และกรอบระยะเวลาในการปรับตัวของภาคเอกชนที่เหมาะสมและเป็นไปได้ด้วย ๓. รับทราบความคืบหน้าการกำหนดจำนวนที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงานและจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามที่ สศช. เสนอ โดยให้กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๒ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เร่งรัดดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลจำนวนคนพิการในวัยแรงงานที่จะประสงค์จะทำงาน เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน ๔. รับทราบความคืบหน้าแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม และมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ ๘๐ บาทต่อห้องพัก แล้วรายงานให้คณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
33565 | รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ 1/2554 (44) | กห | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ (๔๔) เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีเจ้ากรมกิจการชายแดนทหารและรองหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการกองทัพประชาชนลาว เป็นประธานร่วม ทั้งนี้ ผลการประชุมดังกล่าวเป็นไปตามร่างบันทึกการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไป ไทย - ลาว ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ (๔๔) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ แล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33566 | รายงานผลการจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี 2553 | พม | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลการจัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ในการป้องกัน แก้ไขปัญหา รวมทั้งลดความรุนแรงต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยกิจกรรมที่ได้ดำเนินการ อาทิ งานมหกรรมปีแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว กิจกรรมการเดินรณรงค์ ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ในโครงการ “คาราวานสตรีและครอบครัว” โครงการรณรงค์สร้างเครือข่ายยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงในประเทศไทย การติดเข็มกลัดริบบิ้นสีขาวเพื่อรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น ซึ่งผลที่ได้รับจากการจัดกิจกรรม สามารถสร้างภาคีเครือข่ายในการเข้าร่วมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัวได้มากขึ้น และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในประเทศ และสามารถสร้างกระแสของการ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว” ในสังคมได้อย่างแพร่หลายซึ่งจะนำไปสู่ความตระหนักในประเด็นปัญหาความรุนแรงดังกล่าวในสังคมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักรู้ถึงปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงสิทธิทางกฎหมาย ช่องทางและการแจ้งเหตุ ซึ่งสามารถรับมือกับความรุนแรงและเหตุการณ์ดังกล่าวได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33567 | รายงานประจำปี ตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | พม | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านความรุนแรงของประเทศไทย ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ (๒ ปี) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อมูลจากศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤตจากความรุนแรงหรือศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Center - OSCC) ใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ จะเป็นเด็กหญิงและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง และข้อสังเกตจากการศึกษาตัวเลขทางสถิติพบว่า จำนวนความรุนแรงที่รายงานเข้ามายังศูนย์พึ่งได้ใน พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒ มี ๒๖,๖๓๑ ราย และมี ๒๓,๕๑๑ ราย ในขณะที่มีคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมน้อยมาก สะท้อนให้เห็นว่าจำนวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นมีเป็นจำนวนมากที่มิได้เข้าสู่ระบบงานตามกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว ๒. ข้อมูลของมูลนิธิเพื่อนหญิง โดยฝ่ายศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี พบว่า ผู้ถูกกระทำที่เข้ามาขอรับความช่วยเหลือจากมูลนิธิจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมากที่สุด ทำให้เห็นว่ากลุ่มที่มีการศึกษาสูงก็ได้รับผลจากความรุนแรงในครอบครัวเช่นกัน รวมทั้งข้อมูลปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการกระทำด้วยความรุนแรง ได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์ การพนัน และการเสพยาเสพติด ๓. ศูนย์ประสานงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและเด็ก สถาบันครอบครัว ได้รวบรวมแบบรายงาน คร.๖ แบบบันทึกรายงานการดำเนินการคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวพบว่า เพศหญิงถูกกระทำความรุนแรงมากที่สุด โดยเพศชายเป็นผู้กระทำความรุนแรงมากที่สุด และผู้ถูกกระทำมักเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเป็นเด็ก ๔. ข้อมูลตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม โดยจำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่เข้าสู่กระบวนการของตำรวจ ส่วนใหญ่จะมีการร้องทุกข์ แต่มีการใช้คำสั่งกำหนดมาตรการ/วิธีการเพื่อการบรรเทาทุกข์ เพียง ๒๘ คดี ส่วนใน พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อมูลที่จัดเก็บได้ยังไม่สมบูรณ์ จำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่เข้ามาสู่กระบวนการตำรวจ ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงอายุระหว่าง ๑๘ ปีขึ้นไป โดยเป็นคดีการกระทำทางกาย ทางเพศ และทางจิตใจตามลำดับ ส่วนจำนวนคดีการกระทำความรุนแรงในครอบครัวใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่เข้ามาสู่กระบวนการของอัยการ ส่วนใหญ่จะสั่งฟ้องตามคำร้องทุกข์ มีการยุติการดำเนินคดีชั้นสอบสวนโดยเฉลี่ยปีละ ๒๐ คดีของคดีที่สั่งฟ้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
33568 | การขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2552 ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายด้วยสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่าง ๆ ที่มีกระแสไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) | มท | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่องการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๓ เรื่อง ทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ และมาตรการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ) เฉพาะการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบจำหน่ายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะต่างๆ ที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว (เกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังและหามาตรการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมทั้งควรดำเนินการติดตามการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงก่อน ระหว่างภายหลังการดำเนินการวางสายเคเบิลใต้น้ำอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยควรประสานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของเกาะมุกด์ เกาะสุกร และเกาะลิบง จังหวัดตรัง ในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินและแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อกำหนดทิศทางและควบคุมการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และธุรกิจ ท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังการพัฒนาโครงการฯ ในส่วนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคควรดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล ตลอดจนเพื่อให้การดำเนินโครงการอยู่บนฐานของการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไปพิจารณาด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33569 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ (ถนนกิ่งแก้ว) กับซอยกาญจนาภิเษก ๓๙ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33570 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหน้าเมือง ตำบลท่าไข่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ตำบลตาลเดี่ยว ตำบลตลิ่งชัน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และตำบลดอนหญ้านาง ตำบลภาชี อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหน้าเมือง ตำบลท่าไข่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ตำบลตาลเดี่ยว ตำบลตลิ่งชัน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และตำบลดอนหญ้านาง ตำบลภาชี อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหน้าเมือง ตำบลท่าไข่ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ตำบลตาลเดี่ยว ตำบลตลิ่งชัน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และตำบลดอนหญ้านาง ตำบลภาชี อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อก่อสร้างทางรถไฟทางคู่เลี่ยงเมือง ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า - แก่งคอย รวม 3 แห่ง ระยะทางประมาณ ๔.๘๕๐ กิโลเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ส่งเสริมให้มีการขนส่งทางรถไฟ เพื่อช่วยลดต้นทุนการขนส่งสินค้าและการโดยสาร และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
33571 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. .... | สผ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นว่า เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำระดับสูงของ องค์กรหนึ่งของอำนาจอธิปไตยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับการกำหนดตำแหน่งข้าราชการการเมืองของคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงเห็นสมควรกำหนดให้มีตำแหน่งข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองเพิ่มขึ้นตามร่างมาตรา ๘๙(๗/๑) (๗/๒) (๗/๓) (๑๕) (๑๖) (๑๗) (๑๘) (๑๙) (๒๐) และ (๒๑) รวมทั้งเห็นสมควรแก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สอดคล้องกับหลักการ และแจ้งให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ๒. ให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมการวิสามัญฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||
33572 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 1 มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน | สช | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๑ มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ตามมติการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการบริหารจัดการการฟุ้งกระจายของแร่ใยหินในวัสดุต่าง ๆ ที่หมดอายุการใช้งานในชุมชน และส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อผลิตผลงานผลิตภัณฑ์ทางเลือกทดแทนการใช้แร่ใยหินในประเทศไทย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลผลกระทบกับผู้ประกอบการ เพื่อกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยให้มีผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง (Third party) เข้าร่วมการหารือด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาร่วมกันถึงความเหมาะสมในส่วนของการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากแร่ใยหิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการความเป็นอันตรายของแร่ใยหินไครโซไทล์ แนวทางที่ ๒ ห้ามนำเข้าแร่ใยหินไครโซไทล์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์เฉพาะกรณี และห้ามผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์ ที่ใช้วัตถุดิบอื่นหรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนได้ โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย กฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า กฎหมายว่าด้วยโรงงานและกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปจัดทำแผนในการยกเลิกการนำเข้า ผลิต และจำหน่ายแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบทุกชนิด ทั้งนี้ ให้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการดำเนินการตามแผนด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังรับไปตรวจสอบว่า สาเหตุที่สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้นเนื่องมาจากต้นทุนหรือการเพิ่มอัตราภาษี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปศึกษาผลกระทบของแร่ใยหินที่มีต่อสุขภาพของผู้ใช้แรงงานที่ทำงานสัมผัสแร่ใยหินและผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินโดยให้จัดลำดับความสำคัญเพื่อจะได้กำหนดมาตรการในการป้องกันผู้ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||
33573 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 3 การควบคุมกลยุทธ์ การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สช | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๓ การควบคุมกลยุทธ์การตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามมติการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑ ควบคุมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๑.๒ พัฒนาและผลักดันร่างพระราชบัญญัติการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. .... ให้สำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยจัดให้มีกลไกดำเนินการและใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นหลักเกณฑ์พื้นฐานขั้นต่ำ และให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โดยพิจารณาทุนการดำเนินงานจากเงินภาษีการนำเข้าหรือรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผสมจากต่างประเทศในลักษณะเดียวกับกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ๑.๑.๓ พัฒนากลไกการปฏิบัติ ระบบการติดตามประเมินผลและระบบรายงานผลโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ ๑.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน สำนักนายกรัฐมนตรี กรมบัญชีกลาง และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องศึกษาเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการขยายสิทธิการลาคลอด และพิจารณาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการลาคลอด รวมถึงการได้รับค่าจ้างระหว่างลา ในกรณีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และให้จัดมาตรการหรือสวัสดิการในการส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่สตรีที่คลอดบุตรและอยู่ระหว่างการให้นมบุตรในสถานประกอบกิจการและสถานที่ทำงาน รวมทั้งพิจารณามาตรการการลดหย่อนภาษีและการประกาศเกียรติคุณให้แก่สถานประกอบกิจการที่เป็นแบบอย่างของการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่าการขยายสิทธิการลาคลอดให้เป็น ๑๘๐ วัน มีผลกระทบต่อกฎหมายหลายฉบับ และอาจมีผลกระทบโดยตรงต่อแรงงานสตรี ซึ่งอาจถูกกีดกันโดยเฉพาะภาคเอกชน เป็นการลดโอกาสในการทำงาน ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่จำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรที่จะกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว เพื่อให้การขยายสิทธิลาคลอดเกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33574 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 4 นโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ | สช | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๔ นโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ตามมติการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคเอกชน และภาคประชาชน สนับสนุนข้อมูลแก่คณะกรรมการสนับสนุนนโยบายสุขภาพเพื่อสนับสนุนการศึกษาในประเด็นผลกระทบทั้งด้านบวก และด้านลบจากการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ รวมทั้งความเป็นไปได้ในการใช้ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติและแนวทางให้ภาคเอกชนที่ดำเนินการนโยบายนี้คืนกำไรให้กับสังคมโดยยึดหลักความเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน ๑.๒ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาดำเนินการตามธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ข้อ ๕๑ โดยไม่พึงให้การสนับสนุนหรือสิทธิพิเศษทางภาษีและการลงทุนกับบริการสาธารณสุขที่มุ่งเน้นผลประโยชน์เชิงธุรกิจ ๑.๓ ให้โรงพยาบาลรัฐ รวมถึงโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ส่งเสริมการเข้าร่วมเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านขีดความสามารถทางวิชาการทางการแพทย์ โดยให้มีระบบการติดตามและประเมินผลกระทบที่จะเกิดกับระบบสาธารณสุขไทย และให้สร้างหลักประกันการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพของประชาชนไทย ๑.๔ ให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ สำนักอนามัยกรุงเทพมหานครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่มีศักยภาพในการจัดการข้อมูลและให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับคุณภาพการบริการรักษาพยาบาลและสาธารณสุข เพื่อป้องกันผลกระทบจากธุรกิจจากการแพทย์ และลดผลกระทบด้านลบจากการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการเฉพาะกิจของนายกรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่ไม่กระทบต่อบริการสุขภาพสำหรับประชาชน และพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดและพัฒนานโยบายดังกล่าวทั้งนโยบายระดับชาติและแผนปฏิบัติการเพื่อลดผลกระทบในทางลบต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับคนไทย ๑.๖ ให้คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติเป็นกลไกหลักร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคเอกชนดำเนินการ ดังนี้ ๑.๖.๑ ร่วมกับคณะกรรมการสนับสนุนการศึกษาและติดตามการเจรจาการค้าระหว่างประเทศที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและนโยบายสุขภาพ จัดทำแผนการผลิต การจัดการและมาตรการธำรงรักษาบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขให้เหมาะสมเพื่อทดแทนการสูญเสียบุคลากรจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากนโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ๑.๖.๒ สนับสนุนการพัฒนาระบบข้อมูล และอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น เพื่อการกำกับติดตามการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จากนโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ๑.๖.๓ กำหนดแนวทางให้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการใช้ทรัพยากรร่วมกันในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขโดยเฉพาะสาขาที่ขาดแคลน และสนับสนุนให้เกิดกลไกการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนด้านการบริหารงานบุคคลและการดำเนินงานในโรงพยาบาล เพื่อให้มีการนำไปปรับระบบบริการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งหามาตรการเพิ่มค่าตอบแทนของบุคลากรทางการแพทย์ในภาครัฐ เพื่อลดปัญหาการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์จากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชน และการกำหนดให้ภาคเอกชนผู้ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติชดเชยผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม อาทิ การจัดตั้งกองทุนผลิตแพทย์เพิ่มโดยใช้รายได้จากภาษีที่เก็บได้จากการประกอบการของสถานบริการสาธารณสุขในภาคเอกชน เป็นต้น และข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาที่ขาดแคลน อาจพิจารณาเปิดโอกาสให้แพทย์จากต่างประเทศเข้ามาทดแทนหรือสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยของภาคเอกชนที่มีความพร้อมในการเปิดสอนสาขาทางด้านการแพทย์เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
33575 | ขออนุมัติงบกลาง ประจำปีงบประมาณ 2554 เพื่อดำเนินการตามปฏิบัติการ "ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 รั้วป้องกัน ระยะที่ 3" ในห้วงเดือนเมษายน - กันยายน 2554 | ยธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการตามปฏิบัติการ “ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓” ในห้วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๔ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓ โครงการ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ โครงการสนับสนุนการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดในหน่วยงานพหุภาคี จำนวน ๗๕,๙๓๖,๐๐๐ บาท และการก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารเรือนนอนและสิ่งจำเป็นที่เกี่ยวเนื่องกับการควบคุมตัวผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน ๙,๔๗๗,๓๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๘๕,๔๑๓,๓๐๐ บาท ๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เพื่อเป็นค่าปฏิบัติงานด้านการข่าว จำนวน ๓๐,๓๑๐,๐๐๐ บาท ค่าวัสดุวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ จำนวน ๒,๐๙๒,๕๐๐ บาท และเครื่องมือและอุปกรณ์ประจำด่านตรวจ/จุดตรวจ จำนวน ๖,๘๐๑,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๓๙,๒๐๓,๕๐๐ บาท ๑.๓ โครงการอำนวยการประสานงานสกัดกั้นและแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกำลังพลชุดปฏิบัติการของศูนย์อำนวยการประสานงานสกัดกั้นและแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดนภาคเหนือ (ศอ.ปชน.) จำนวน ๑๖,๐๕๘,๙๐๐ บาท ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ส. บูรณาการแผนงาน/โครงการและงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินงบกลาง ตามปฏิบัติการ “ประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓” ให้สำนักงบประมาณทราบทุกเดือนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
33576 | ขออนุมัติใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี | ศธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โครงการสนับสนุนการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๑๕ ปี กิจกรรมสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนเอกชน ภายในวงเงิน ๑๗๕,๓๐๕,๘๑๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปีของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามจำนวนเด็กนักเรียนโรงเรียนเอกชน ณ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ จำนวน ๒,๑๙๕,๑๗๕ คน โดยให้กระทรวงศึกษาธิการขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33577 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (จำนวน 6 ราย 1. นายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ฯลฯ) | ศธ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้หมดวาระลง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ประธานกรรมการบริหาร คือ นายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ จำนวน ๒ รายชื่อ (เรียงตามตัวอักษร) ๒.๑ นางกรองทอง ไคริรี ๒.๒ นายศิริชัย กาญจนวาสี ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ จำนวน ๓ รายชื่อ (เรียงตามตัวอักษร) คือ ๓.๑ นางนงราม เศรษฐพานิช ๓.๒ นางอรุณี วิริยะจิตรา ๓.๓ นางอารีรัตน์ วัฒนสิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
33578 | สรุปผลการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค ในช่วงเดือนตุลาคม 2553 - ธันวาคม 2553 (ไตรมาสที่ 1) | นร | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) รายงานผลการดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ - ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษา จำนวน ๑๙,๑๖๙ ราย ๒. การแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนให้ผู้บริโภค จำนวน ๑,๕๑๐ ราย ๓. การตรวจสอบพฤติการณ์การประกอบธุรกิจ จำนวน ๓,๓๖๘ ราย ๔. การรับเรื่องเพื่อดำเนินคดีแทนผู้บริโภค จำนวน ๖๙ ราย ๕. การเปรียบเทียบความผิดผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค จำนวน ๒๖ ราย ๖. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๓๔,๖๘๐ ครั้ง ๗. การดำเนินการเกี่ยวกับสินค้าที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย จำนวน ๗ เรื่อง ๘. การจัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน ๑๑ ครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
33579 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (รองศาสตราจารย์พลศักดิ์ จิรไกรศิริ และนายสุกฤษฎิ์ อัครวงศ์วริศ) | คค | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งรองศาสตราจารย์ พลศักดิ์ จิรไกรศิริ และนายสุกฤษฎิ์ อัครวงศ์วริศ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนต่อไปอีกวาระหนึ่ง ตามความในมาตรา ๑๐/๒ แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
33580 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ 17 | พณ | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM retreat) ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานของคณะทำงานระดับสูงด้านการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน (HLTF - EI) เกี่ยวกับการดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี ๒๐๑๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการตั้งเป้าหมาย (High Impact Target) และความคืบหน้าของการศึกษาของ ERIA ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอวิธีการแบบใหม่ (New Scoring System) สำหรับการวัดผลดำเนินการตามข้อผูกพันของประเทศสมาชิกอาเซียนที่กำหนดไว้ใน AEC Blueprint และเน้นย้ำความสำคัญเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการตามแผนงาน AEC Blueprint ฝ่ายไทยได้เสนอในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) ให้ปรับเปลี่ยน (transform) บทบาทของ AFTA Unit เป็น AEC Coordinating Unit เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของการรวมกลุ่มภายในอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำแผนงานรายสาขา (Sectoral Work Programme for Narrowing the Development Gap) เพื่อลดช่องว่างและสนับสนุนการพัฒนาของกลุ่มประเทศ CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม โดยเบื้องต้นจะเน้น ๕ สาขาสำคัญ คือ สินค้าเกษตร การลงทุน การขนส่ง การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการใช้ประโยชน์และดำเนินการตามความตกลง FTA ของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ๒. เห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียนพิจารณาบทบาทและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับภาคเอกชน รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการประสานงานและหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) กับองค์กรหรือสภาธุรกิจต่าง ๆ ของอาเซียน ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยให้คณะทำงานด้านกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดของสินค้า (SC - AROO และ AP - WGROO) วิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับประเด็นปัญหาด้านกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดของสินค้าที่จะมีต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๓. เห็นชอบรายการเอกสารผลงานของ AEM ในช่วงปี ๒๕๕๔ ที่ครอบคลุมเรื่องสำคัญ อาทิ การประกาศความสำเร็จและความคืบหน้าด้านการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน และความคืบหน้าของ FTA ที่อาเซียนจัดทำกับประเทศคู่เจรจา ทั้งนี้ ในเรื่องการให้สัตยาบันความตกลงด้านการลงทุนของอาเซียน (ACIA) ซึ่งอินโดนีเซียและไทยยังต้องให้สัตยาบันนั้น ได้กำหนดเป้าหมายให้ทั้งสองประเทศดำเนินการโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ๔. ที่ประชุมฯ ได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ Trans Pacific Partnership (TPP) และมอบให้เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) และสำนักเลขาธิการอาเซียนพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ของการเริ่มขั้นตอนการเจรจาในส่วนของสินค้า
|
.....