ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1671 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33401 - 33420 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33401 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขายทอดตลาด พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อให้การขายทอดตลาดทรัพย์สินเป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33402 | ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยสถาบันวิทยาลัยชุมชน เพื่อรองรับการจัดตั้ง การบริหารงานและการดำเนินงานทางวิชาการของวิทยาลัยชุมชนไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อเป็นการขยายโอกาสและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา รวมทั้งให้การฝึกอบรมด้านวิชาการและด้านวิชาชีพ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33403 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2554 | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธาน กนร. เสนอ โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความคืบหน้าการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการกำกับและพัฒนานโยบายรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำความเห็นของ กนร. เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตามร่างกฎหมายฉบับนี้ ควรมีอำนาจอย่างเหมาะสมในการกำกับดูแลและแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ ไปประกอบการพิจารณาในการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวต่อไป ๑.๒ รับทราบการติดตามความคืบหน้าการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินขององค์การตลาด องค์การคลังสินค้า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การสะพานปลา และบริษัท อู่กรุงเทพ จำกัด ๑.๓ เห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาผลขาดทุนของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) โดยพิจารณาแนวทางการจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานของ มอท. ที่เหมาะสม ทั้งนี้ ให้นำนัยของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘๔ (๑) พิจารณาประกอบด้วย และให้นำเสนอ กนร. พิจารณาภายใน ๓ เดือน ๑.๔ เห็นชอบผลการศึกษาของฝ่ายเลขานุการฯ ในเรื่องอัตราส่วนลด (Discount Rate) ในการคำนวณมูลค่าผลตอบแทนปัจจุบัน (Present Value) ของโครงการในอัตราร้อยละ ๑๐ ว่าเป็นอัตราที่ยอมรับได้ และความสามารถในการรับตู้สินค้า (Capacity) ของท่าเรือแหลมฉบังว่ายังคงมีปริมาณส่วนเกิน (Excess Capacity) แม้จะมีการขยายระยะเวลาก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (D1 D2 และ D3) จากเดิมที่จะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๕ ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดังนี้ ๑.๕.๑ เห็นชอบแผนพลิกฟื้นของ กคช. โดยให้คงธุรกรรมโครงการบ้านเอื้ออาทรไว้กับ กคช. และเห็นชอบในหลักการสำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ โดยให้ กคช. เสนอหลักเกณฑ์รายละเอียดและกรอบการลงทุนตามขั้นตอน รวมทั้งระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๕.๒ เห็นชอบมาตรการอุดหนุนหรือชดเชยเพิ่มเติมจากรัฐ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ยังคงไว้ที่ กคช. โดยขยายวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมจากเดิม ๗๘๐ ล้านบาท เป็น ๒,๒๔๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้ออาคารคืนจากสถาบันการเงินและนำกลับมาขายใหม่ในกรณีผู้ซื้อที่ขาดการชำระติดต่อกัน ๓ เดือน และการอุดหนุนเงินชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นสำหรับหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ยังไม่สามารถขายได้ และที่ยังไม่เคยได้รับการอุดหนุนตามจำนวนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง จำนวน ๒๙๗ ล้านบาท และการอุดหนุนชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับสินทรัพย์รอการพัฒนาในลักษณะเงินยืมไม่เกิน ๒ ปี เพื่อให้ กคช. นำทรัพย์สินดังกล่าวมาจำหนายให้เกิดรายได้โดยเร็ว ๑.๕.๓ สำหรับการขอเสนอขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือยกขายทั้งโครงการโดยสามารถขายในราคาที่ต่ำกว่า ๓๙๐,๐๐๐ บาท แต่ต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินโดยบริษัทกลาง ๒. สำหรับเรื่องการดำเนินการของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูปองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33404 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยุติการดำเนินงานตามปฏิทินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33405 | แนวทางการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีภายหลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลใช้บังคับ | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการหารือแนวทางการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีภายหลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลใช้บังคับแล้วว่า คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐในฝ่ายบริหารจะสามารถดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ ได้เพียงใด เพื่อให้ทราบแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดยนายกรัฐมนตรีจะหารือในเรื่องดังกล่าวกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ๒. ให้รัฐมนตรีทุกท่านระมัดระวังในการดำเนินเรื่องดังต่อไปนี้ ในระหว่างที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลใช้บังคับ ดังนี้ ๒.๑ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีรูปภาพของรัฐมนตรีปรากฏอยู่ ไม่ว่าจะเป็นป้ายโฆษณา หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ โทรทัศน์ ควรจะปลดป้ายหรือยกเลิกโฆษณาประชาสัมพันธ์ดังกล่าวทั้งหมด เว้นแต่การโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ใช้เงินของพรรคการเมืองที่ตนสังกัด ๒.๒ การใช้รถประจำตำแหน่งและเจ้าหน้าที่ของทางราชการที่มิได้ใช้ในการปฏิบัติภารกิจและหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรี ๒.๓ การให้สัมภาษณ์รายการวิทยุและโทรทัศน์ และการรับเชิญไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ ในรายการที่ทางหน่วยงานราชการซื้อเวลาไว้หรือจัดขึ้น ยกเว้นรายการที่สถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ที่มิใช่กิจการของรัฐจัดขึ้นเอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33406 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันศุกร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญทั่วไป) และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๓ ปีที่ ๔ ครั้งที่ ๒๕ (สมัยสามัญทั่วไป) เป็นพิเศษ วันพุธที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒๖ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ และครั้งที่ ๒๗ (สมัยสามัญทั่วไป) วันศุกร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33407 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันศุกร์ที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33408 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง (นายมงคล สุระสัจจะ และ พล.ต.ท. จักรทิพย์ ชัยจินดา) | มท | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมงคล สุระสัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง เป็น ประธานกรรมการการไฟฟ้านครหลวงแทน นายมานิต วัฒนเสน ซึ่งลาออก และ พล.ต.ท. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็น กรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง แทน นางเบญจา หลุยเจริญ ซึ่งลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33409 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเหมาซ่อม พร้อมดอกเบี้ย ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงิน วงเงิน ๕,๔๑๐.๘๙๑ ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมพร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้ การกู้เงินวงเงินดังกล่าวให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้และปรับเงินกู้ตามยอดหนี้ที่ ขสมก. ต้องชำระจริง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าประมาณการรายได้จากการดำเนินงานของ ขสมก. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากปีงบประมาณที่ผ่านมา ในขณะที่ประมาณการขาดทุนสุทธิของ ขสมก. มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ ขสมก. ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะที่การกู้เงินดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น จึงเห็นควรปรับปรุงการบริหารจัดการด้านการเงินโดยการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น และรับเงินอุดหนุนส่วนต่างตามนโยบายควบคุมราคา รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น เพื่อให้ ขสมก. มีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ควรเร่งดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดให้ได้ตามเป้าหมาย เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้องค์กรสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืนร่วมกับการบริหารจัดการด้านงบประมาณโดยมุ่งเน้นตามความจำเป็นและประหยัด เพื่อให้การใช้จ่ายเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33410 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... | สธ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งสถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นองค์การมหาชน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน ส่งเสริม ขับเคลื่อน ผลักดัน และบริหารจัดการด้านการวิจัยพัฒนา การผลิต การประกันและควบคุมคุณภาพวัคซีน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติว่า หากสามารถปรับองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ให้สอดคล้องกับรูปแบบของการจัดตั้งองค์การมหาชนได้ เห็นควรให้จัดทำเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชน แล้วดำเนินการต่อไปได้ หรือหากกระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าควรคงองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ตามร่างพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแหล่งรายได้ของกองทุนวัคซีนแห่งชาติที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติสถาบันวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... ในส่วนของรายรับที่เกิดจากการดำเนินงานของกองทุนฯ ยังไม่แสดงถึงแหล่งที่มาของรายรับที่ชัดเจน จึงเห็นควรเสนอเรื่องการจัดตั้งกองทุนฯ ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนพิจารณาเพื่อประกอบความเห็นของคณะรัฐมนตรีต่อไป รวมทั้งเห็นควรเพิ่มแหล่งที่มาของกองทุนฯ ในหมวด ๓ มาตรา ๒๔ โดยระบุให้กลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานของสถาบันฯ และกองทุนฯ มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนในอัตราที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33411 | คณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งของกระทรวงคมนาคม | คค | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งของกระทรวงคมนาคมคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จำนวน ๙ คณะ โดยขอปรับปรุงเฉพาะองค์ประกอบลำดับที่ ๒,๓ และ ๘ ของคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนค่าเครื่องจักรกล ของกรมทางหลวง สำหรับองค์ประกอบอื่นๆ และอำนาจหน้าที่คณะกรรมการทุกชุดคงเดิม และยกเลิกคณะกรรมการนโยบายการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบแห่งชาติ จำนวน ๑ คณะ เนื่องจากได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งกำหนดอำนาจหน้าที่และบทบาทของหน่วยงานกำกับดูแลการบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติ และเพื่อลดความซ้ำซ้อนการปฏิบัติงาน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33412 | การทบทวนการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ดังนี้ ๑.๑ ไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒) ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๑.๑ การยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ๑.๑.๒ การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing & Parking Fee) ๑.๑.๓ การประกันภัยคุ้มครองชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยกรณีเกิดจลาจล ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ๑.๑.๔ การลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ๑.๒ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง รายงานสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในปี ๒๕๕๒) ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๒.๑ การปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนาและดูงานในประเทศให้มากขึ้นแทนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และดูงานในต่างประเทศ ให้ขยายระยะเวลาดำเนินการออกไปอีก ๑ ปี จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒.๒ การให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายการจัดประชุม สัมมนา อบรม และการจัดการท่องเที่ยวเป็นรางวัลในประเทศแก่พนักงานมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ๒ เท่าของที่จ่ายจริง ซึ่งเป็นมาตรการเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓) ซึ่งกำหนดสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ อยู่แล้ว จึงให้มาตรการนี้สิ้นสุดในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ และให้กระทรวงการคลังประเมินผลการใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ให้เพิ่มมาตรการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว และให้หน่วยงานและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑.๓.๑ การปรับปรุงบริการการตรวจลงตรา ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ให้มีความสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศ และการเพิ่มช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราให้แก่คนพิการและคนชรา เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ ซึ่งให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ท่าอากาศยานให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๓.๒. ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสนามบินสุวรรณภูมิตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเห็นชอบดำเนินโครงการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างประเทศ (Transfer Passenger) ต่อไปได้ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการฯ ๒. ในส่วนของมาตรการอื่น ๆ ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ กรณียกเว้นการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและไต้หวันต้องยึดหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกัน โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนกรณีการให้การตรวจลงตราแบบ Visa on Arrival แก่ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่เหมาะสมต่อไป ๒.๒ การเปิดสถานกงสุล (ใหญ่) และสถานกงสุล (กิตติมศักดิ์) ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณา ๒.๓ การให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการสนับสนุนให้สถานประกอบการโรงแรมมีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งให้ผู้ประกอบการด้าน Service Apartment ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย ให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาดำเนินการ ๒.๔ การให้ภาครัฐไม่ควรจัดนำเที่ยวแข่งขันกับภาคเอกชน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้างต้นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ อาทิ ความเห็นของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับการไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๓ กรณีการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยานและที่เก็บอากาศยาน (Landing and Parking Fee) และมาตรการเพื่อส่งเสริมกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยปรับปรุงบริการตรวจลงตรา ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้มีความสะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และการเพิ่มช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราให้แก่คนพิการและคนชราเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33413 | หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลจะได้รับ เช่น ที่ทำกิน การศึกษา การรักษาพยาบาล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ๒. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องเป็นบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวและไม่ถือสัญชาติของประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ๒.๒ การจะได้รับการกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายจะต้องยื่นคำร้องขอมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนบุตรที่เกิดในประเทศไทยต้องยื่นขอสัญชาติไทย มิใช่เป็นการได้สัญชาติไทยโดยทันที ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งจะมีเงื่อนไขและกระบวนการคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างหรือเป็นสาเหตุจูงใจให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองใช้เป็นแบบอย่างในการขอสัญชาติ และป้องกันปัญหาสองสัญชาติ ทั้งนี้ หากบุคคลเป้าหมายมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงก็สามารถเพิกถอนสถานะได้ ๒.๓ ประเด็นสิทธิพิเศษ ในทางกฎหมายมิได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงที่จะให้สิทธิดังกล่าวแต่มุ่งหมายคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชนกลุ่มน้อยเป็นการทั่วไปไม่ว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม หากบุคคลเหล่านี้ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจนได้รับสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือได้รับสัญชาติไทยแล้ว ในหลักการย่อมมีความชอบธรรมที่จะได้รับสิทธิในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๔ ประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต้นทาง รวมถึงการเสนอเรื่องไปยังองค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญและพยายามดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในระดับหนึ่ง แต่ด้วยข้อจำกัดเนื่องจากสถานการณ์และปัญหาภายในของประเทศต้นทางไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเป็นประเด็นที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33414 | รายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขงเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 1 และการประชุมคณะทำงานภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม 5 ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขงเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ 7 | ทส | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขงเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๑ และการประชุมคณะทำงานภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศอนุภูมิภาคแม่โขงเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ณ จังหวัดกระบี่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้ร่วมหารือเพื่อกำหนดนโยบาย/แผนงาน/มาตรการในการแก้ไขปัญหาการเผาในที่โล่งและมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนในอนุภูมิภาคแม่โขง และได้กำหนดให้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ต้องลดจำนวนจุดความร้อน (Hotspot) สะสมในอนุภูมิภาคแม่โขง ลงเหลือไม่เกิน ๗๕,๐๐๐ จุด และลดลงเหลือไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ จุด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของความร่วมมือระดับทวิภาคีระหว่างไทย - ลาว และไทย - พม่า ตามที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพพม่า ได้ร้องขอให้ประเทศไทยสนับสนุนด้านการพัฒนาศักยภาพในการติดตามตรวจวัดคุณภาพอากาศ ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดการฝึกอบรมด้านการติดตามตรวจวัดคุณภาพอากาศให้แก่เจ้าหน้าที่ของประเทศสมาชิกอาเซียน และขอให้ประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบจัดการฝึกอบรม โดยอาจเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก European Commission ๔. ที่ประชุมได้หารือประเด็นการพัฒนาระบบการพยากรณ์ระดับความรุนแรงของไฟ (Fire Danger Rating System : FDRS) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินความสามารถในการเกิดและแพร่กระจายของไฟ โดยอาศัยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ ปริมาณเชื้อเพลิง และคุณสมบัติของดิน ให้มีความละเอียดและครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียนทั้งพื้นที่ป่าบกและป่าพรุ ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ประเทศสมาชิกจัดส่งข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาและข้อมูลป่าพรุให้กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศมาเลเซีย ๖. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของโครงการ ASEAN/IFAD-GEF Project on Rehabilitation and Sustainable Use of Peatland Forests in Southeast Asia ซึ่งได้มีการตีพิมพ์เอกสารและจัดทำวีดิทัศน์นำเสนอปัญหาการบุกรุกป่าพรุในภูมิภาคอาเซียนและแนวทางการจัดการแก้ไขปัญหา โดยขอให้ประเทศสมาชิกพิจารณาให้ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวีดิทัศน์ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมมากขึ้น และแจ้งต่อสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ภายในวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ๗. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของโครงการ ASEAN Peatland Forests Project (APFP) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการจัดการป่าพรุอย่างยั่งยืนในอาเซียน และเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟในพื้นที่ป่าพรุ ๘. ที่ประชุมรับทราบการอนุมัติงบประมาณ จำนวน ๑.๘ ล้านยูโร จาก European Commission สำหรับโครงการ “Thematic Programme for Environment and Sustainable Development of Natural Resources” โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี ซึ่งเงินสนับสนุนดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อขยายผลการดำเนินงานด้านการจัดการป่าพรุจากโครงการ APFP โดยเน้นประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขง ๙. ที่ประชุมเห็นชอบให้สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศฯ ครั้งที่ ๒ และการประชุมคณะทำงานภายใต้รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ๕ ประเทศฯ ครั้งที่ ๘ โดยมีกำหนดการเบื้องต้นในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33415 | ขอความเห็นชอบในการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดาเพื่อก่อสร้างโครงการห้วยโสมง (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเพิกถอนพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จำนวนเนื้อที่ ๑,๑๖๔.๓๖ ไร่ และอุทยานแห่งชาติปางสีดา จำนวนเนื้อที่ ๔๗๙.๕๖ ไร่ เพื่อการก่อสร้างโครงการห้วยโสมง (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ท้องที่ตำบลแก่งดินสอ อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเพิ่มมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมของพื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นมรดกโลก และเห็นควรบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำในโครงการร่วมกับการจัดการระดับลุ่มน้ำ ซึ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดการพื้นที่ต้นน้ำ ระบบชลประทานหลัก ระบบชลประทานรอง การจัดการน้ำในระดับท้องถิ่น การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ การให้บริการน้ำ และระบบสำรองน้ำ รวมถึงการวางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อให้การจัดการน้ำส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน รวมทั้งการจัดหาและบริหารแหล่งน้ำขนาดเล็กในระดับชุมชน ในพื้นที่รับประโยชน์ของโครงการห้วยโสมง โดยเฉพาะพื้นที่ชั้นนอก เพื่อเป็นแหล่งน้ำสำรอง กรณีสภาพอากาศแปรปรวน นอกจากนี้ เห็นควรปฏิบัติตามเงื่อนไขของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการลดระดับเก็บกักน้ำสูงสุด จากระดับ +๔๙.๔๐๐ ม.รทก. มาอยู่ที่ระดับ +๔๘.๐๐๐ ม.รทก. การดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๒ อย่างเคร่งครัด และการจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่โดยคำนึงถึงระบบนิเวศและคงความเป็นพื้นที่อุทยานให้มากที่สุดเพื่อให้เป็นโครงการพัฒนาตัวอย่างที่สามารถรักษาความเป็นธรรมชาติ ความเป็นมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33416 | รายงานผลการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้านและการเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้านและการเตรียมการเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัด สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้าน เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เลือกตั้งทั่วประเทศ ยกเว้นอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ) และเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๔ (เลือกตั้งเฉพาะอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ) มีผู้ได้รับเลือกเป็นผู้แทนเกษตรกรระดับหมู่บ้านจำนวน ๖๕,๖๖๙ คน จำแนกเป็นผู้แทนเกษตรกรฯ ที่ได้จากหน่วยเลือกตั้งที่มีผู้สมัครรายเดียวจำนวน ๔๘,๕๒๔ คน ผู้แทนเกษตรกรฯ จากการเลือกตั้งทั่วประเทศยกเว้นอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษจำนวน ๑๗,๐๑๓ คน และผู้แทนเกษตรกรฯ จากการเลือกตั้งเฉพาะในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๑๓๒ คน ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนรวมทั้งสิ้น ๕,๕๔๕,๒๕๕ คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งรวมจำนวน ๒,๘๗๘,๑๗๑ คน หรือร้อยละ ๕๑.๙๐ ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด โดยภาคที่มีจำนวนผู้ใช้สิทธิมากที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือ ร้อยละ ๕๖.๙๗ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ ๕๑.๗๔ ภาคกลาง ร้อยละ ๕๑.๔๗ และภาคใต้ร้อยละ ๔๔.๒๙ ในส่วนของบัตรเลือกตั้ง มีสัดส่วนของบัตรดี ร้อยละ ๙๖.๐๓ บัตรเสีย ร้อยละ ๓.๑๐ และบัตรที่งดออกเสียง ร้อยละ ๐.๘๗ ๒. การเตรียมการเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดในขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการอำนวยการเลือกตั้งสภาเกษตรกรในส่วนกลางได้มีมติในการประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เห็นชอบให้กำหนดขั้นตอนและระยะเวลาการเลือกตั้งระดับต่าง ๆ ตลอดจนการดำเนินการด้านงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33417 | รายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าในการยุบเลิกบริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สธท.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการชำระบัญชีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการผู้ชำระบัญชีและจำหน่ายกิจการของ สธท. ได้จัดทำงบดุล ณ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น ๓๔๐.๒๙ ล้านบาท มีหนี้สินทั้งสิ้น ๐.๐๕ ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น ๓๔๐.๒๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากทุนจดทะเบียน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ชำระแล้ว ๔๒๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังถือหุ้น ๙๙.๙๙ ล้านหุ้น และมีผู้ถือหุ้นอื่นคนละ ๑ หุ้น จำนวน ๒ คน ซึ่งคณะกรรมการฯ จะได้เสนองบดุลดังกล่าวให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบต่อไป ๒. คณะกรรมการฯ ได้ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานในการชำระบัญชี จากเดิมที่กำหนดแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๓ เป็นให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๓. คณะกรรมการฯ อนุมัติแนวทางการดำเนินการชำระหนี้คืนของเกษตรกรผู้ลักลอบขายโค ใน ๓ ลักษณะ ดังนี้ ๓.๑ การอนุมัติตัดจำหน่ายหนี้สูญแก่เกษตรกรที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะมีเหตุสุดวิสัยจำเป็น อาทิ เจ็บป่วยรุนแรง พิการจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ หรือมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่สามารถติดตามหนี้ได้จากผู้ค้ำประกัน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติตัดจำหน่ายหนี้สูญแก่เกษตรกรไปแล้วจำนวน ๓ คน ๓.๒ การอนุมัติให้เกษตรกรชำระหนี้ค่าโคได้เป็นกรณีพิเศษในอัตราร้อยละ ๒๐ แต่ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโคโดยมีเงื่อนไขคือ เกษตรกรจะต้องชำระหนี้ภายในเวลาที่คณะกรรมการฯ กำหนดให้แล้วแต่กรณี ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติการชำระหนี้ในลักษณะนี้ไปแล้วจำนวน ๑๖๙ คน ๓.๓ การอนุมัติให้เกษตรกรชำระหนี้ค่าโคไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโค ทั้งนี้เป็นกรณีทั่วไป ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้อนุมัติการชำระหนี้ในลักษณะนี้ไปแล้วกับเกษตรกรที่มีลักษณะนอกเหนือจากข้อ ๓.๑ และ ๓.๒ ทั้งหมด ๔. ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับโคในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว ณ วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ จากจำนวนโคทั้งหมดในโครงการฯ จำนวน ๒๑,๖๘๔ ตัว จำแนกเป็น โคปกติซึ่งจำหน่ายเสร็จสิ้นแล้ว จำนวน ๙,๕๓๕ ตัว โคมีเหตุผิดปกติ อาทิ ตาย สูญหาย แคระแกน ฯลฯ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนเพื่อประกอบการดำเนินการทางบัญชี จำนวน ๔๓๙ ตัว และโคที่เกษรตรกรลักลอบขายและต้องชำระหนี้ ประกอบด้วย โคที่ชำระหนี้คืนตามหลักเกณฑ์และคณะกรรมการฯ อนุมัติตัดจำหน่ายหนี้ไปแล้ว จำนวน ๘,๗๒๓ ตัว และโคที่ยังค้างชำระ จำนวน ๒,๙๘๗ ตัว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33418 | รายงานการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 17 | ทส | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๗ ระหว่างวันที่ ๒๓ - ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ณ นครโฮจิมินท์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยที่ประชุมคณะมนตรีฯ ได้มีมติอนุมัตินโยบายและการดำเนินงานที่สำคัญ จำนวน ๕ เรื่อง สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. งบประมาณบริหารองค์กร พ.ศ. ๒๕๕๔ (Operation Expenses Budget : OEB) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ องค์กรมียอดรายรับ จำนวน ๓,๔๔๖,๒๖๑ ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๖ เมื่อเปรียบเทียบกับรายรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๓) และมียอดประมาณการรายจ่ายจำนวน ๓,๔๔๕,๗๔๒ ดอลลาร์สหรัฐ และยอดประมาณการคงเหลือจำนวน ๕๑๙ ดอลลาร์สหรัฐ โดยค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ประมาณการจากยอดรายจ่ายจากการดำเนินงานของการมีที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง จำนวน ๒ แห่ง คือ นครหลวงเวียงจันทน์ และกรุงพนมเปญ ๒. แผนกลยุทธ์ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ มุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรโดยนำหลักการ “การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ (Integrated Water Resource Management : IWRM) มาดำเนินการให้ครอบคลุมทุกมิติ ควบคู่กับวางแนวทางปฏิบัติงานหรือบทบาทหลักขององค์กร (Core Function) ที่ดีขึ้น และปรับปรุงองค์กรให้มีประสิทธิภาพรองรับการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะมีการถ่ายโอนภารกิจหลักแก่ประเทศภาคีสมาชิก รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของ MRC ภายในปี พ.ศ. ๒๕๗๓ (MRC Financial Autonomy) ๓. ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำบนพื้นฐานการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (IWRM - based Basin Development Strategy) เป็นการตั้งเป้าหมายว่าภายในระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำควรเป็นไปในทิศทางต่าง ๆ ได้แก่ การระบุโอกาสและผลที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาลุ่มน้ำ การขยายพื้นที่ชลประทานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร การเพิ่มพูนความยั่งยืนของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม การจัดเตรียมองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการลดความเสี่ยง และความไม่แน่นอนอันเกิดจากการพัฒนาลุ่มน้ำ เป็นต้น ๔. ระเบียบปฏิบัติเรื่องคุณภาพน้ำ (Procedure for Water Quality : PWQ) คณะมนตรีฯ ได้มีพิธีลงนามในระเบียบปฏิบัติฯ เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๔ พร้อมกับการประชุมกลุ่มผู้สนับสนุนคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๕ โดยในส่วนของประเทศไทยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ เห็นชอบต่อร่างระเบียบดังกล่าว เพื่อสร้างกรอบความร่วมมือในการรักษาคุณภาพน้ำที่ดี/ยอมรับได้ อันจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ำโขง ๕. กรอบการดำเนินงานความริเริ่มเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับตัวในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๖๘ จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาแนวทางในการปรับตัวต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และแบ่งกรอบระยะเวลาดำเนินการออกเป็น ๔ ระยะ รวม ๑๖ ปี ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดกรอบการดำเนินงานเพื่อการปรับตัว การจัดทำกลยุทธ์การปรับตัวของลุ่มน้ำโขง (Mekong Adaptation Strategy) และการบูรณาการกับนโยบายระดับชาติและระดับภูมิภาค การประเมินสถานการณ์ความอ่อนไหวในปัจจุบัน การประเมินความเสี่ยงของภูมิภาคในอนาคต การกำหนดแผนการปรับตัวของลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33419 | การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา | กต | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับท่าทีและการเตรียมการของฝ่ายไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา ครั้งที่ ๕ สรุปได้ว่า การประชุมฯ ครั้งนี้ เกิดขึ้นในสถานการณ์พิเศษเนื่องจากเป็นการจัดประชุม ๒ ฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมาแต่มีอินโดนีเซียทำหน้าที่สนับสนุนอำนวยความสะดวกในเรื่องสถานที่ และเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์พิเศดังกล่าวประกอบกับตามข้อ ๒ (๒) ของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ระบุว่า “ในกรณีที่จำเป็น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ อาจประชุมกันสมัยพิเศษ เพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่” และที่ผ่านมาได้มีการจัดประชุมในลักษณะดังกล่าว (การประชุมสมัยพิเศษ) มาแล้ว ๒ ครั้ง ได้แก่ การประชุมฯ ณ เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ และการประชุมฯ ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ ๖ - ๗ เมษายน ๒๕๕๒ ดังนั้น เพื่อให้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (JBC) เกิดขึ้นได้ โดยการหาทางปรองดองระหวางสองประเทศ จึงเห็นควรให้มีความยืดหยุ่นในการใช้ชื่อการประชุมฯ ณ เมืองโบกอร์ ประเทศอินโดนีเซียในครั้งนี้ว่าเป็นการประชุมฯ ครั้งที่ ๕ หรือครั้งพิเศษ หรือชื่ออื่น ๆ ตามที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เห็นชอบร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33420 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ฯลฯ) | กษ | 20/04/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรแทนกรรมการชุดเดิมที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ๒. นายธงชัย ศรีดามา ๓. พันเอก นาฬิกอติภัค แสงสนิท ๔. นายยศพนต์ จันทร์สุขศรี ๕. พลตำรวจตรี คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ๖. นายดิเรก ทัศนพันธุ์ ผู้แทนสถาบันเกษตร ๗. นายบุญสืบ อินทร์อุไร ผู้แทนสถาบันเกษตร
|