ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1669 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 33361 - 33380 จากข้อมูลทั้งหมด 124475 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 33361 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 18 | พณ | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕ - ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินการตามแผนงานการดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) รอบที่ ๑ (ช่วงปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒) ซึ่งสามารถดำเนินการตามแผนได้ ๘๓.๘% (ไทยดำเนินการได้ ๙๓.๖๓%) ของมาตรการทั้งหมดที่ต้องดำเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว และเห็นพ้องกันที่จะเร่งและขยายการดำเนินการและความร่วมมือในการลดช่องว่างระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกตามวัตถุประสงค์ของการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยไทยได้ให้ความเห็นว่าการจัดตั้งและบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จะช่วยให้การดำเนินการในเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเรื่องความผันผวนของราคาอาหารและพลังงาน รวมทั้งแนวโน้มของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยไทยได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การทำงานในเรื่องนี้ต้องประสานทำงานร่วมกับสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรและการคลัง ซึ่งต่างต้องมีบทบาทหลักในการดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันด้วย ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม ASEAN - EU Business Summit ครั้งที่ ๑ และการประชุม AEM - EU Trade Commissioner Consultations ได้พบหารือกับกรรมาธิการด้านการค้าสหภาพยุโรป รวมทั้งหารือกับประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับอัตราภาษีสรรพสามิตและการจำแนกประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกรมสรรพสามิตของไทย แนวทางดำเนินการไปสู่การเตรียมจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป การผลักดันการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สินค้าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยในสหภาพยุโรป การส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการเกษตร ข้าวหอมมะลิ แป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียวของไทยไปยังอินโดนีเซีย การยืนยันเส้นทางในส่วนของมาเลเซียที่เกี่ยวข้องกับพิธีสารฉบับที่ ๑ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการค้าผ่านแดน และการผลักดันการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยและมาเลเซียในเรื่องการจัดทำความตกลงสองฝ่ายฉบับใหม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าผ่านแดน
|
||||||||||||||||||||||||
| 33362 | ความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | มท | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาแก้ไขระเบียบ หลักเกณฑ์ และประกาศ ที่ออกตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดชนิดของพืชที่มีความเสียหายจากการขาดน้ำว่ามีจำนวนกี่ชนิดและแต่ละชนิดใช้ระยะเวลากี่วัน และส่งให้ ปภ. เพื่อจะได้นัดประชุมหารือครั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 33363 | ความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่ประสบอุทกภัยปี 2553 | กค | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษรตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีเกษตรกรลูกค้าเสียชีวิต ธ.ก.ส. ได้จำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดย ธ.ก.ส. รับภาระเอง จำนวน ๑๙ ราย รวมต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเป็นเงิน จำนวน ๑.๖๗ ล้านบาท ๒. กรณีเกษตรกรลูกค้าประสบภัยอย่างร้ายแรงและไม่เสียชีวิต ประกอบด้วย ๒.๑ หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย โดยขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ซึ่ง ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้สำรวจความเสียหายเป็นรายคนพบว่า มีเกษตรกรลูกค้าที่ประสบภัย จำนวน ๕๙ จังหวัด มีจำนวนเกษตรกรลูกค้า ๑๗๘,๘๖๒ ราย รวมมีหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย จำนวน ๒๘,๘๘๖.๙๙ ล้านบาท ๒.๒ การให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยให้วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราปกติ ร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ซึ่ง ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรไปแล้ว จำนวน ๑๑,๕๖๓ ราย รวมจำนวนเงินกู้ ๖๑๖.๖๕ ล้านบาท ๓. ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลหลังน้ำลด โดยร่วมกับบริษัทเอกชนและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์ไฟฟ้าของเกษตรกรที่ชำรุดจากการเกิดอุทกภัย โดยมีพื้นที่ดำเนินการใน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร ชัยนาท อ่างทอง และสระบุรี มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น ๒,๕๘๙ ราย |
||||||||||||||||||||||||
| 33364 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม 2554 | อก | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศยังได้รับผลกระทบจากการเกิดภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ขาดชิ้นส่วนรถยนต์ อาทิ ชิ้นส่วนสมองกล (Micro Computer Chip) ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเมืองเซนได หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ประกอบเป็นรถยนต์ สำหรับการผลิตรถยนต์ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๔๗ และส่งออกร้อยละ ๕๓ ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๐๔ จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๖.๒๓ จากการลดลงของ Hard Disk Drive รวมถึงปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรม เช่น ราคาต้นทุนสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบ น้ำมันราคาแพง และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
| 33365 | รัฐบาลสาธารณรัฐชิลีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายฮาเวียร์ อันเดรส เบกเกอร์ มาร์แชล (Mr. Javier Andres Becker Marshall)] | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายฮาเวียร์ อันเดรส เบกเกอร์ มาร์แชล (Mr. Javier Andres Becker Marshall) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐชิลีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนายอัลแบร์โต โยอาชัม โซเฟีย (Mr. Alberto Yoacham Soffia) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33366 | การขอยกระดับสถานกงสุลประจำนครซูริค และเลื่อนฐานะกงสุลกิตติมศักดิ์ ประจำนครซูริค | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. ยกระดับสถานกงสุลประจำนครซูริค เป็นสถานกงสุลใหญ่ประจำนครซูริค สมาพันธรัฐสวิส ๒. เลื่อนฐานะ ดร. มาร์กุส อัลแบร์ท ไฟร (Dr. Markus Albert Frey) กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำนครซูริค เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครซูริค สมาพันธรัฐสวิส
|
||||||||||||||||||||||||
| 33367 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) (สำนักนายกรัฐมนตรี) (นางลัดดาวัลย์ บุญประสิทธิ์ และนางรวมพร วุฒิสิงห์ชัย) | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นางลัดดาวัลย์ บุญประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ)สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒. นางรวมพร วุฒิสิงห์ชัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
| 33368 | รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2553 (องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย) | ส.ส.ท | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ตามที่ ส.ส.ท. เสนอ โดยรายงานผลการปฏิบัติงานฯ ประกอบด้วย
๑. แผนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ผังรายการประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และแผนการจัดทำรายการของ ส.ส.ท. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. รายงานการประเมินผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยคณะกรรมการจากภายนอก รายงานคณะกรรมการตรวจสอบ และรายงานของผู้สอบบัญชี และรายงานการเงิน ๔. รายชื่อผู้ผลิตรายการอิสระที่ ส.ส.ท. สนับสนุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๕. รายงานความคิดเห็นที่มีต่อการนำเสนอรายการต่าง ๆ (ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓) ๖. รายงานการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการรับและพิจารณาเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓
|
||||||||||||||||||||||||
| 33369 | ความคืบหน้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร (นโยบายการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เสียชีวิตพิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้) | กค | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร โดยที่ประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้กำหนดหลักการในการดำเนินโครงการสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร กรณีให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ สรุปได้ ดังนี้
๑. กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือ คือ เกษตรกร ๓ กลุ่ม ได้แก่ ๑.๑ กลุ่มที่ ๑ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) และขึ้นทะเบียนหนี้กับ กฟก. ไว้แล้ว และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๑.๒ กลุ่มที่ ๒ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ที่ไม่เป็นสมาชิก กฟก. หรือเป็นสมาชิก แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหนี้และมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๑.๓ กลุ่มที่ ๓ เกษตรกรที่เสียชีวิต พิการหรือทุพพลภาพจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ของสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์ฯ และนิติบุคคลที่คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรกำหนดและมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) กับสถาบันการเงินหลัก ๔ แห่ง ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไม่เกินรายละ ๒.๕ ล้านบาท ๒. การจำหน่ายหนี้เงินกู้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจและสถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจให้ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สินและหนี้สูญออกจากบัญชีของรัฐวิสาหกิจ กรณีที่เป็นสถาบันการเงินอื่น สหกรณ์ฯ นิติบุคคลที่คณะกรรมการ กฟก. กำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายตามแต่องค์กรนั้น ๆ ถือปฏิบัติ ๓. ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการดำเนินการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐเพื่อให้เกิดความชัดเจนของความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจส่งผลกระทบถึงความมั่นคงทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจนั้น ๆ ๔. ให้สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธอส. และธนาคารกรุงไทยฯ จัดทำประมาณการจำนวนเกษตรกรกลุ่มลูกหนี้และจำนวนหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยตามนโยบายนี้ให้กระทรวงการคลังโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
| 33370 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำจังหวัดขอนแก่น [นายงเหวียน ฮืว ดิญ (Mr. Nguyen Huu Dinh)] | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายงเหวียน ฮืว ดิญ (Mr. Nguyen Huu Dinh) ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามประจำจังหวัดขอนแก่น สืบแทนนายเจิ่น เหงียน จึก ซึ่งสิ้นสุดวาระประจำการในประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33371 | รัฐบาลสหรัฐเม็กซิโกเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายคอร์เค เอดูอาร์โด เชน ชาร์เปนเตียร์ (Mr. Jorge Eduardo Chen Charpentier)] | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายคอร์เค เอดูอาร์โต เชน ชาร์เปนเตียร์ (Mr. Jorge Eduardo Chen Charpentier) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายลุยส์ อาร์ตูโร ปวยน์เต ออร์เตกา (Mr. Luis Arturo Puente Ortega) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33372 | ร่างเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 44 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ที่เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเสนอแผนงานและแผนปฏิบัติการ รวมทั้งท่าทีความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคตภายใต้กรอบที่คณะรัฐมนตรีได้เคยให้ความเห็นชอบแล้ว จึงมิได้อยู่ในข่ายต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และคณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาได้ ๒. เห็นชอบต่อร่างเอกสารสำคัญที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๖ ฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารทั้ง ๖ ฉบับ ในระหว่างการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สำหรับร่างเอกสารฯ ประกอบด้วย ๒.๑ ร่างแผนงานด้านการทูตเชิงป้องกันของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ๒.๒ ร่างแผนงานด้านการไม่แพร่ขยายและลดอาวุธของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ๒.๓ ร่างแผนงานว่าด้วยความมั่นคงทางทะเลของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ๒.๔ ร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีต่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงทางข้อมูลระหว่างประเทศของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ๒.๕ ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซีย ในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ความสัมพันธ์หุ้นส่วนคู่เจรจาระหว่างอาเซียนกับรัสเซีย ๒.๖ ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรลุความเป็นหุ้นส่วนที่เพิ่มพูนเพื่อสันติสุขและความมั่นคงอย่างยั่งยืนระหวางอาเซียนกับสหรัฐอเมริกา
|
||||||||||||||||||||||||
| 33373 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสว่าด้วยการได้มาหรือจำหน่ายที่ดินและอาคารสถานเอกอัครราชทูตและการขายที่ดินอันเป็นที่ตั้งสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสที่ถนนสาทร | กต | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสว่าด้วยการได้มาหรือจำหน่ายที่ดินและอาคารสถานเอกอัครราชทูตและการขายที่ดินอันเป็นที่ตั้งสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เลขที่ ๒๙ ถนนสาทรใต้ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำความตกลงในเรื่องการซื้อขายที่ดินและอาคารสถานเอกอัครราชทูตฯ กับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย โดยได้รับการยกเว้นภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการโอน บนพื้นฐานของหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติ ในรูปแบบหนังสือแลกเปลี่ยนตามที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ (ข้อ ๔.๕) และวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ (ข้อ ๒) ทั้งนี้ ความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาสาระและรูปแบบเช่นเดียวกับความตกลงที่ไทยทำกับประเทศอื่น ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33374 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ครั้งที่ 4/2554 | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานผลการประชุมคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้พิจารณาสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยสถานะการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จากวงเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท จำนวน ๔๓,๘๑๔ โครงการ โดย ณ วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ สำนักงบประมาณได้จัดสรรเงินแล้วจำนวน ๔๒,๘๙๘ โครงการ วงเงิน ๓๔๑,๕๒๗.๒๖ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้แล้วรวมทั้งสิ้น ๒๘๐,๐๐๗.๑๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๙๙ ของวงเงินที่ได้รับจัดสรร หรือร้อยละ ๘๐.๐๑ ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ ทั้งนี้ สาขาที่มีการเบิกจ่ายต่อวงเงินที่ได้รับจัดสรรสูงสุด ได้แก่ สาขาประกันรายได้ สาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสิ่งแวดล้อม และสาขาขนส่ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 33375 | รายงานผลรางวัล United Nations Public Service Awards 2011 ของหน่วยงานภาครัฐไทย | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลรางวัล United Nations Public Service Awards 2011 ขององค์การสหประชาชาติ และได้มีการจัดมอบรางวัลดังกล่าวให้แก่หน่วยงานที่ได้รับรางวัล เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ ณ เมือง Dar es Salaam ประเทศ Tanzania สำหรับหน่วยงานภาครัฐของไทยที่ได้รับรางวัล United Nations Public Service Awards 2011 มีดังนี้
๑. รางวัลชนะเลิศ (1st Place Winner) ได้แก่ สำนักงานสรรพากร ภาค ๗ กรมสรรพากร ได้รับรางวัลสาขา Advancing knowledge management in government จากผลงาน “สำนักงานบริการขวัญใจประชาชน (Service Excellence Tax Office)” ๒. รางวัลรองชนะเลิศ (2nd Place Winner) ได้แก่ กรมชลประทาน ได้รับรางวัลสาขา Fostering participation in policy - making decisions through innovative mechanisms จากผลงาน “การบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม โดยคณะกรรมการภาคประชาชนและองค์กรผู้ใช้น้ำของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากระเสียว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี (Participatory Irrigation Management by Civil Society Committee and Water User Organizations: The Kra Seaw Operation and Maintenance Office Dan Chang District, Suphan Buri Province, Thailand)”
|
||||||||||||||||||||||||
| 33376 | การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (รวม 49 เรื่อง) | อส | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมพิจารณาตัดสินชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจกับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๔๙ เรื่อง โดยเป็นการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ กับเอกชน พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๑๔ เรื่อง และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง พิจารณาคดีเสร็จสิ้น จำนวน ๓๕ เรื่อง ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดยคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33377 | รายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน จำนวน ๒๒ แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
๑. กลุ่มที่ ๑ : องค์การมหาชนที่มีการกำหนดตัวชี้วัดในมิติที่ ๑ ครอบคลุมวัตถุประสงค์การจัดตั้ง และตัวชี้วัดประเภทผลลัพธ์หรือผลผลิตเป็นส่วนใหญ่ ความแตกต่างของผลการประเมินตนเองและผลการประเมินของสำนักงาน ก.พ.ร. น้อย มีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานประกอบการประเมินเป็นระบบที่ดี มีเอกสารครบถ้วนพร้อมให้ตรวจสอบได้ทันที เกณฑ์การประเมินผลมีความท้าทาย และผลประเมินการกำกับดูแลกิจการและการพัฒนาองค์กรอยู่ได้ในระดับดี ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง ๒. กลุ่มที่ ๒ : องค์การมหาชนที่มีการกำหนดตัวชี้วัดในมิติที่ ๑ ครอบคลุมวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประเภทผลผลิตเป็นส่วนใหญ่ ความแตกต่างของผลการประเมินตนเองและผลการประเมินของสำนักงาน ก.พ.ร. น้อย มีการจัดเก็บเอกสารหลักฐานประกอบการประเมินผลเป็นระบบ มีเอกสารครบถ้วนพอสมควร อาจให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมแต่ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคะแนน มีการกำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมในมิติที่ ๒, ๓ และ ๔ และได้คะแนนไม่ต่ำกว่าระดับ ๓ ผลประเมินการกำกับดูแลกิจการและการพัฒนาองค์กรส่วนใหญ่สูงกว่าคะแนนเฉลี่ย ได้แก่ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน ๓. กลุ่มที่ ๓ : องค์การมหาชนที่มีการกำหนดตัวชี้วัดในมิติที่ ๑ ยังไม่ครอบคลุมวัตถุประสงค์การจัดตั้ง ตัวชี้วัดส่วนใหญ่เป็นตัวชี้วัดประเภทผลผลิต มีความแตกต่างระหว่างผลการประเมินตนเองกับผลการประเมินของสำนักงาน ก.พ.ร. การจัดเก็บเอกสารหลักฐานประกอบการประเมินผลยังไม่ครบถ้วน ต้องส่งหลักฐานประกอบการประเมินเพิ่มเติมภายหลัง รายงานการประเมินตนเองขาดความครบถ้วนในสาระสำคัญ ผลประเมินการกำกับดูแลกิจการและการพัฒนาองค์กรต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ย ได้แก่ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
| 33378 | ผลการประเมินการปฏิบัติราชการและการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการและจังหวัดที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และความคืบหน้าการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันและการจัดทำตัวชี้วัดร่วม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้
๑. การประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ (รอบ ๑๒ เดือน) ของส่วนราชการ และจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ดำเนินการตรวจประเมินผลการปฏิบัติราชการรอบ ๑๒ เดือนของส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา รวมทั้งการจัดสรรสิ่งจูงใจตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.ร. กำหนด ซึ่งผลการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการฯ รอบ ๑๒ เดือน ณ ที่ตั้งของส่วนราชการและจังหวัดแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ สำหรับสถาบันอุดมศึกษายังอยู่ระหว่างการดำเนินการติดตามประเมินผลการปฏิบัติราชการรอบ ๑๒ เดือน คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและจังหวัดในเบื้องต้น ยังมีบางตัวชี้วัดไม่ทราบผลคะแนนที่แท้จริง เนื่องจากรอข้อมูลจากหน่วยงานกลางเพื่อนำมาประมวลผลคะแนน ในเบื้องต้นจึงกำหนดคะแนนตัวชี้วัดลักษณะนี้เป็น ๑.๐๐๐๐ ไปก่อน ส่วนผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงนำร่อง กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงสาธารณสุขในเบื้องต้น ซึ่งบางตัวชี้วัดมีคะแนนเป็น ๑.๐๐๐๐ เนื่องจากยังไม่ทราบผลการประเมิน ๒. ความคืบหน้าการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกัน และการจัดทำตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดประชุมคณะกรรมการเจรจาข้อตกลงและประเมินผลเพื่อบูรณาการระหว่างกระทรวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการและส่วนราชการในสังกัดกระทรวงนำร่อง เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของตัวชี้วัด น้ำหนัก ค่าเป้าหมาย และเกณฑ์การให้คะแนนตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) ระหว่างกระทรวงในยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายร่วมกันประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ มีส่วนราชการที่มีการกำหนดตัวชี้วัดร่วม (Joint KPIs) คือ “ระดับความสำเร็จของร้อยละเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างกระทรวง” ตามกรอบการประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยส่วนราชการระดับกระทรวง ๑๖ กระทรวง และส่วนราชการระดับกรม ๓ หน่วยงาน
|
||||||||||||||||||||||||
| 33379 | การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในวันที่ 1 เมษายน 2554 (สำนักงานผู้แทนการค้าไทย) | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ (สำนักงานผู้แทนการค้าไทย) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ เป็นการดำเนินการสืบเนื่องมาจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ซึ่งอนุมัติในหลักการเรื่องการเลื่อนเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ (สำนักงานผู้แทนการค้าไทย) และการเลื่อนเงินเดือนในครั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี กรณีจึงเป็นการปฏิบัติราชการตามปกติที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงสามารถพิจารณาอนุมัติหรือเห็นชอบในเรื่องดังกล่าวได้ ๒. อนุมัติการเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ให้แก่ข้าราชการผู้ไปช่วยปฏิบัติราชการให้แก่ผู้แทนการค้าไทย จำนวน ๖ ราย ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ประกอบด้วย ๒.๑ นางสาวธันยพัต รินทา เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒.๒ นายตุลย์ ไตรโสรัจ นักการทูตชำนาญการ กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๓ นางผ่องศรี วงษ์อ่ำ นักวิชาการเงินและบัญชีชำนาญการพิเศษ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒.๔ นายธีระพงษ์ วัฒนวงษ์ภิญโญ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒.๕ นางณัฏฐา สุนทราภา นักการทูตชำนาญการ กระทรวงการต่างประเทศ ๒.๖ นายปรีชาพร สุวัฒโนดม วิศวกรโยธาปฏิบัติการ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม
|
||||||||||||||||||||||||
| 33380 | ผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3 และการประชุมความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 8 | นร | 12/07/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓ (Economic Corridor Forum : ECF - 3) ณ เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ และผลการประชุมความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๘ ที่จัดต่อเนื่องในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมเวทีหารือระดับรัฐมนตรีเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๓ ที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเพื่อติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ และพิจารณาประเด็นข้อเสนอจากภาคส่วนต่าง ๆ อันเป็นผลจากการประชุมระดมความเห็นจากเวทีหารือในระดับจังหวัดของประเทศสมาชิกตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจแนวตะวันออก - ตะวันตก (มิถุนายน ๒๕๕๓) แนวตอนใต้ (มีนาคม ๒๕๕๔) และแนวเหนือ - ใต้ (พฤษภาคม ๒๕๕๔) ได้แก่ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Corridors) เป็นหัวใจหลักของการพัฒนาความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อสนับสนุนแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การขยายเส้นทางแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้จากกรุงเทพฯ (ไทย) - พนมเปญ (กัมพูชา) - โฮจิมินห์ ซิตี้ (เวียดนาม) ให้เชื่อมต่อมาถึงเมืองทวาย (พม่า) การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อหารือและนำเสนอโครงการลำดับความสำคัญสูงที่จังหวัดตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจมีความพร้อมจะดำเนินการร่วมกันในระยะต่อไป รวมทั้งการจัดทำแผนพัฒนาภูมิภาค (Regional Plan for Corridor Development) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ และการสนับสนุนให้ภาคเอกชนและภาครัฐทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ๒. การประชุมความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง - ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ ๘ ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การพัฒนาความร่วมมือด้านการอำนวยความสะดวกการค้าและการคมนาคม ตามแนวคิด Asia Cargo Highway โดยที่ประชุมฯ เห็นว่าจำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมความเชื่อมโยงระดับอนุภูมิภาค เช่น ท่าเรือน้ำลึกทวายในพม่า และท่าเรือน้ำลึกวุงอางในเวียดนาม และภาคเอกชนควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยสนับสนุนกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนโครงการลำดับความสำคัญสูง การส่งเสริมให้ฝ่ายเลขานุการฯ กรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขงกับญี่ปุ่นด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (MJ - CI) พัฒนาระบบการทำงานของกรอบความร่วมมือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการให้ญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าและห่วงโซ่อุปทานในระดับอนุภูมิภาค และการจัดหาตลาด
|
||||||||||||||||||||||||
.....
