ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1668 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33341 - 33360 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33341 | ข้อเสนอของสภานักเรียน ประจำปี 2554 | ศธ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อเสนอของสภานักเรียน ประจำปี ๒๕๕๔ ประกอบด้วยประเด็นปัญหา ๕ ประเด็น ดังนี้ ๑.๑ การให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา ๑.๒ ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทย ๑.๓ ความเสื่อมโทรมของสถาบันครอบครัว ๑.๔ ความสมานฉันท์ ๑.๕ การขาดบุคลากรด้านคณิตศาสตร์สำหรับคนพิการ ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพบก กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงศึกษาธิการ พิจารณาให้การสนับสนุนตามความเหมาะสมและจำเป็นตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
33342 | แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ แผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง พร้อมขยายเขตพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มเติมให้ครอบคลุมองค์การบริหารส่วนตำบลนาจอมเทียน อีก ๑ แห่ง พื้นที่จำนวน ๒๑ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๓,๑๒๕ ไร่ ซึ่งจะทำให้พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีพื้นที่รวม ๙๔๙.๔๗ ตารางกิโลเมตร หรือ ๕๙๓,๔๑๘.๗๕ ไร่ โดยมีแผนงาน/โครงการและมูลค่าการลงทุนรวม ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ๑.๒ กรอบวงเงินตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จำนวนเงิน ๑๓,๕๐๗.๓๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๑๐ ปี โดยให้องค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) เป็นหน่วยงานประสานงานและขอรับจัดสรรงบประมาณ แล้วโอนงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบโครงการนำไปปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ต่อไป ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในลักษณะปีต่อปี การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการถ่ายโอนหลังจากโครงการฯ สิ้นสุดลงแล้วเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ (Carrying Capacity) ทั้งเฉพาะแหล่ง และในภาพรวมของพื้นที่ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการปรับปรุงและส่งเสริมแนวเชื่อมโยงระบบเส้นทางคมนาคมให้เกิดความร่มรื่น โดยปลูกต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง เพื่อความสวยงามและเป็นแนวเส้นทางสีเขียว (Green Corridors) การป้องกันการบุกรุกและการทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของแหล่งธรรมชาติซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทั้งภายในและโดยรอบพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินโครงการตามแผนแม่บทฯ ควรจะต้องบูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น โดยในส่วนของกรอบวงเงินลงทุนตามแผนแม่บทฯ จำนวน ๑๓๒ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๗.๓๖ ล้านบาท ให้เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้เสนอขอตั้งงบประมาณและให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรเป็นรายได้ให้แก่ อปท. ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
33343 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการบูรณะและซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว | วธ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากรเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๖๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบูรณะและซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกอบด้วย เจดีย์ วิหาร องค์พระ และพิพิธภัณฑ์ รวมจำนวน ๒๔ รายการ โดยให้กรมศิลปากรขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
33344 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่จัน - สันทราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | มท | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนแม่จัน - สันทราย จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลป่าซาง บางส่วนของตำบลสันทราย บางส่วนของตำบลแม่จัน และบางส่วนของตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท การคมนาคมและการขนส่ง สาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33345 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขวิกฤตยางพาราอย่างครบวงจร | สสป | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติยางพาราอย่างครบวงจร” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบาย ๑.๑ สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศ ๑.๒ กำหนดให้ยางพาราเป็นวาระแห่งชาติโดยให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงความสำคัญของยางพาราในฐานะตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ๑.๓ กำหนดนโยบายเชิงกลยุทธ์ให้มีการแปรรูปยางดิบเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อส่งออกและใช้ภายในประเทศให้ได้ร้อยละ ๒๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ จัดตั้งกองทุนรักษาราคายางเพื่อรักษาเสถียรภาพและพยุงราคาในช่วงราคายางตกต่ำ โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรของเกษตรกรชาวสวนยางที่มีโรงงานแปรรูปเป็นของตนเองรับผิดชอบเก็บสะสมยางพาราซึ่งสามารถเก็บรักษาไว้ได้เมื่อราคายางตกต่ำ ๑.๕ สนับสนุนเงินออมให้เกษตรกรชาวสวนยาง โดยผ่านระบบเงินสงเคราะห์ (CESS) ในอัตราก้าวหน้าและรัฐจะต้องสมทบอีกครึ่งหนึ่ง (รูปแบบการจัดเก็บคล้ายกับกองทุนประกันสังคม) ๑.๖ สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกยางพันธุ์ดีหลายสายพันธุ์ในพื้นที่เหมาะสม และให้ปลูกไม้ยืนต้นเสริมในสวนยางเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศและเป็นรายได้พิเศษแก่ชาวสวนยางหรือพืชผลจากไม้ยืนต้น และสนับสนุนให้เกษตรกรบางส่วนทำสวนผสมผสานปลูกไม้หลาย ๆ ชนิดแบบป่ายางแทนที่เป็นสวนยาง ๑.๗ สนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของชาวสวนยางขนาดเล็กเป็นสถาบันเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร สมาคมชาวสวนยาง หรือสหกรณ์การเกษตรครบวงจรแบบพึ่งตนเอง ๒. ด้านมาตรการ ๒.๑ มาตรการระยะสั้น (ประมาณ ๓ เดือน - ๑ ปี) เพื่อรักษาระดับราคาและแก้ปัญหาคนตกงาน อาทิ ๒.๑.๑ ลดอุปทานหรือปริมาณการเสนอขายยางพาราโดยประกันราคาผ่านกองทุนรักษาราคายาง เพื่อเก็บสะสมยางพาราในช่วงราคาตกต่ำ ๒.๑.๒ ให้มีการแปรรูปยางดิบเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ๒.๑.๓ ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ๒.๑.๔ สนับสนุนให้เกษตรกรพัฒนาความรู้และรู้จักใช้เทคโนโลยี ๒.๑.๕ ให้สถาบันวิจัยยางทำการศึกษาวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่ายาง ๒.๑.๖ ส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นต้น โดยใช้เทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน ๒.๑.๗ ฝึกอบรมคนว่างงานจากภาคอุตสาหกรรมที่ประสงค์จะทำอาชีพกรีดยางและอบรมแรงงานกรีดยางที่ไร้ฝีมือขึ้นทดแทนแรงงานต่างชาติ พร้อมทั้งออกใบรับรองให้ ๒.๒ มาตรการระยะปานกลาง (ประมาณ ๑ - ๓ ปี) เพื่อพัฒนายางพันธุ์ดี สร้างแรงงานกรีดยางที่มีฝีมือ สนับสนุนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อาทิ ๒.๒.๑ สนับสนุนการวิจัย พัฒนายางพันธุ์ดี โดยคำนึงถึงภูมิประเทศที่แตกต่างกันให้แก่เกษตรกรที่สามารถผลิตน้ำยางได้มากและมีลำต้นใหญ่เมื่อขายไม้ยางก็จะได้ราคาสูง ๒.๒.๒ ให้เกษตรกรใช้ปุ๋นอินทรีย์ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ๒.๒.๓ สนับสนุนการปลูกป่ายางตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีการปลูกต้นยางผสมผสานกับพืชผักไม้ผลหลาย ๆ ชนิด และเลี้ยงสัตว์ ๒.๒.๔ สนับสนุนให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ไม้ยางแปรรูปให้มากขึ้น ๒.๒.๕ พัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในการจัดทำผลิตภัณฑ์จากยางพารา โดยการสร้างมาตรฐานของโรงงานให้มีความปลอดภัย มีสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมทั้งวางระบบการบริหาร การจัดการด้านการตลาดให้สามารถรองรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา ๒.๓ มาตรการระยะยาว (ประมาณ ๕ ปี) สนับสนุนการจัดตั้งการประกันสังคมชาวสวนยางเป็นการเฉพาะ และสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งและให้ใช้เงินสงเคราะห์ (CESS) อาทิ ๒.๓.๑ สนับสนุนการประกันสังคมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางเป็นการเฉพาะโดยใช้มาตรการสนับสนุนเงินออมแบบประกันสังคมโดยเก็บเงินสงเคราะห์ (CESS) ในอัตราก้าวหน้า ตามปริมาณที่ขายยาง เข้ากองทุนรักษาเสถียรภาพราคาและกองทุนการออม ๒.๓.๒ ให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยการยาง ๒.๓.๓ สร้างบุคลากรด้านการแปรรูปยางหรือเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ยางเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางให้เพียงพอ ๒.๓.๔ สนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรกรตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับชาติ ๒.๓.๕ เร่งเผยแพร่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีของชุมชนในการจัดทำโรงงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพารา ๒.๓.๖ สนับสนุนภาคเอกชนเสริมความรู้และเทคโนโลยีกับอุดหนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต่อการบำรุงรักษาสวนยาง ๒.๓.๗ จัดทำยุทธศาสตร์พัฒนายางพาราไทยให้สำเร็จเป็นรูปธรรมเพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการกำหนดทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
33346 | ขออนุมัติโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ | สธ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการ กพฉ. เสนอ โดย กพฉ. ได้มีมติเห็นชอบโครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ และให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมติต่อไป ทั้งนี้ โครงสร้าง กลไกการจัดการฯ แบ่งได้เป็น ๓ ระดับ คือ ๑.๑ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนกลางหรือระดับชาติ มี กพฉ. ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินระดับชาติ ๑.๒ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินภูมิภาคหรือระดับจังหวัด มีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในระดับจังหวัด ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สำหรับกรุงเทพมหานครซึ่งมีรูปแบบการปกครองพิเศษจึงกำหนดโครงสร้าง กลไกการจัดการฯ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบโดยมีคณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินกรุงเทพมหานครเป็นคณะอนุกรรมการภายใต้ กพฉ. ตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติฯ มีบทบาทหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและแผนในการดำเนินงานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แก้ไขปัญหาระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจาก กพฉ. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครเป็นประธานอนุกรรมการ ๑.๓ โครงสร้าง กลไกการจัดการ และการอภิบาลระบบการแพทย์ฉุกเฉินส่วนท้องถิ่น เป็นการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางสนับสนุนและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ฉุกเฉินที่ถูกต้องไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคีที่เกี่ยวข้องโดยตรง และควรพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ให้เอื้อต่อการดำเนินงานภายใต้โครงการ กลไกการจัดการฯ ทุกระดับ ได้แก่ การปรับปรุงกฎระเบียบที่สนับสนุนต่อการพัฒนาระบบ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการตัดสินใจที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยปฏิบัติการ และการประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อที่เหมาะสมกับท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33347 | ขออนุมัติดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีในการเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | กษ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เริ่มดำเนินการโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ ประกอบด้วย แผนการดำเนินงานโครงการฯ ระยะ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๐) กรอบวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานดำเนินการเตรียมความพร้อมโครงการด้านการจัดหาที่ดินและก่อสร้างส่วนประกอบอื่นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒ ผ่อนผันให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) สามารถใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ในการดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ ได้ ๑.๓ ให้กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมายและระยะเวลาที่กำหนด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่เห็นควรชี้แจงทำความเข้าใจกับราษฎรในลุ่มน้ำแม่แตงซึ่งเป็นลำน้ำที่ถูกใช้ในการผันน้ำ และดำเนินงานร่วมกับราษฎรในพื้นที่ในการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างความเชื่อมั่นต่อราษฎรในพื้นที่ และเป็นตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาแหล่งน้ำที่คำนึงถึงระบบนิเวศต่อไป นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมของโครงการฯ ทั้งในแง่ของขนาดการลงทุนที่เหมาะสม (economy of scale) และลำดับความสำคัญในการพัฒนาระบบชลประทานในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. งบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการ ฯ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอตั้งงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33348 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4066 สายโกตาบารู - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (ปาลอบาต๊ะ) ที่บ้านจาเราะปะแตะ พ.ศ. .... | คค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๖๖ สายโกตาบารู - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ (ปาลอบาต๊ะ) ที่บ้านจาเราะปะแตะ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๖๖ สายโกตาบารู - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๒ ที่บ้านจาเราะปะแตะ ในท้องที่อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เพื่ออำนายความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
33349 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2554 | อก | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตคาดว่าจะชะลอตัวลง เนื่องจากวัตถุดิบปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภาคการผลิตต้องลดการผลิตลง เพื่อมิให้ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้อีกในตลาดส่งออกหลักทุกตลาด โดยเฉพาะในอาเซียนภายใต้ข้อตกลงการเปิดเสรีการค้าและการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ในส่วนของเหล็กทรงแบนคาดว่าจะมีทิศทางที่ขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เหล็กทรงยาวมีแนวโน้มการผลิตที่ลดลงเนื่องจากผู้ประกอบการยังคงมีสต๊อกอยู่
|
||||||||||||||||||||||||
33350 | การแต่งตั้งกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จำนวน 3 ราย (กระทรวงพลังงาน) (1. นายบุญส่ง เกิดกลาง ฯลฯ) | พน | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการกำกับกิจการพลังงาน จำนวน ๓ ราย แทนกรรมการชุดเดิมซึ่งต้องลาออกจากตำแหน่งโดยการจับฉลาก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ผู้ได้รับแต่งตั้ง ลาออกจากการเป็นบุคคลหรือแสดงหลักฐานให้เป็นที่เชื่อถือได้ว่าเลิกประกอบอาชีพ ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ (๒๖ เมษายน ๒๕๕๔) ดังนี้
๑. นายบุญส่ง เกิดกลาง สาขาพลังงานด้านกิจการไฟฟ้า ๒. นายพิสิษฐ์ สุนทรีรัตน์ สาขาอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อกิจการพลังงานในสาขารัฐศาสตร์การปกครอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๓. นายสรร วิเทศพงษ์ สาขาการเงินและการบัญชี
|
||||||||||||||||||||||||
33351 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2553 มติ 2 ความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการ | สช | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๕๓ มติ ๒ ความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ โดยมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกับสำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาระบบการคลังเพื่อการดูแลสุขภาพคนพิการให้มีความเสมอภาค ๑.๒ ให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติพิจารณาให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัดและคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการกรุงเทพมหานครดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ บูรณาการประเด็นการพัฒนาสุขภาพคนพิการเข้ากับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัด โดยให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ให้บรรจุในแผนพัฒนายุทธศาสตร์ระดับจังหวัด โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพจากทุกภาคส่วน ๑.๒.๒ พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนและดำเนินการพัฒนาสุขภาพคนพิการระดับจังหวัดอย่างเป็นระบบ ตามแผนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการประจำจังหวัด ๑.๒.๓ สนับสนุนให้กลไกวิชาการและเครือข่ายองค์กรด้านคนพิการ ศึกษาสาเหตุความพิการและร่วมกันกำกับติดตามการปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลในเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิคนพิการของหน่วยปฏิบัติงานในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการและความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับคนพิการ ๑.๓ ให้สถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และสถาบันการศึกษา ดำเนินการพัฒนาศักยภาพการวิจัยเพื่อสร้างความรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการให้มากขึ้น ๑.๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนพัฒนาระบบบริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการทางการแพทย์เพื่อพัฒนาศักยภาพของสถานบริการในทุกสังกัด เร่งผลิตและกระจายกำลังคนให้เหมาะสม ๑.๕ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พิจารณากำหนดตัวชี้วัดระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า ๕ ปี ๑.๖ ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสุขภาพคนพิการเพื่อทำหน้าที่เชื่อมประสานหน่วยงานและองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในการจัดสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นว่าด้วยสุขภาพคนพิการ ขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนพิการสู่การปฏิบัติของฝ่ายต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนการสร้างและจัดการความรู้ที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการให้คณะกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพแห่งชาติจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้หน่วยงานรัฐอื่น ๆ พัฒนาระบบการคลังเพื่อการดูแลสุขภาพคนพิการให้มีความเสมอภาค ควรดำเนินการเรื่องดังกล่าวตามช่องทางที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และในการจัดบริการสุขภาพของคนพิการให้เป็นรูปธรรมอย่างทั่วถึง เสมอภาคและเท่าเทียมกันต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนที่เข้มแข็ง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กรภาคเอกชนให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนพิการต่อไปในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
33352 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการ และบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ประธานกรรมการ กนร. เสนอ โดยที่ประชุม กนร. ได้มีมติเห็นชอบตามคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการปฏิรูปองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ดังนี้ ๑.๑ ไม่สมควรนำโครงการรถโดยสารประจำทางฟรีเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) หากรัฐบาลประสงค์จะดำเนินบริการรถโดยสารประจำทางฟรีเป็นนโยบายระยะยาวอาจพิจารณานำระบบคูปองรถโดยสารที่สามารถใช้ได้ในทุกเส้นทางทั้งเส้นทางของ ขสมก. และเส้นทางของเอกชนมาใช้ทดแทน ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการให้บริการของ ขสมก. โดยการจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถโดยสารเก่าที่ปลดระวาง เสียหาย ซ่อมบำรุงไม่ได้ และมีอายุการใช้งานเกิน ๑๗ ปี ขึ้นไป ในจำนวนไม่เกิน ๑,๙๕๗ คัน ประกอบด้วย รถธรรมดา ๑,๕๗๙ คัน และรถปรับอากาศ ๓๗๘ คัน ทั้งนี้ ให้ใช้บริการอุตสาหกรรมการต่อรถและซ่อมบำรุงรถในประเทศเป็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศสำหรับในส่วนของเครื่องยนต์แชสซีส์ (Chassis) ให้ดำเนินการโดยจัดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในกระบวนการสรรหา ๑.๓ เห็นชอบการปรับบทบาทการกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนของ ขสมก. โดยให้กระทรวงคมนาคมทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๒๖ (เรื่อง นโยบายการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร) พร้อมทั้งจัดทำแนวทางการปรับบทบาทการกำกับดูแลและการดำเนินงานระบบการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร และนำเสนอ กนร. ในคราวต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงการคลังรับข้อเสนอขอความอนุเคราะห์ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าของบริษัท เอส วี ลิสซิ่ง ไชน่ามอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ไปพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งมวลชนและการปฏิรูปองค์กร ขสมก. ทั้งระบบ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดหารถโดยสารทดแทนดังกล่าวควรอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านราคาที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม และส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อรถโดยสารในประเทศเป็นสำคัญ รวมทั้งเร่งศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างการดำเนินงานระบบการเดินรถโดยสารประจำทางและการกำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้วย สำหรับกรณีที่ กนร. เห็นว่าไม่สมควรนำโครงการรถโดยสารประจำทางฟรีเข้าสู่ระบบ PSO นั้น ให้กระทรวงการคลังประสานกับกระทรวงคมนาคมดำเนินการศึกษาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในการดำเนินการตามมติ กนร. โดยเฉพาะความครอบคลุมประชาชนที่ได้รับบริการและภาระทางการเงินของภาครัฐเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการในปัจจุบันและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
33353 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการปกครองพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการปกครองพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินี้เป็นดังนี้ “ เหตุผล โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยทุกคนต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไว้ใช้แสดงตนเพื่อประโยชน์ในการเข้ารับบริการสาธารณะของรัฐ จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการการออกบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับการที่รัฐจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริการประชาชนในด้านต่าง ๆ ผ่านทางบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าวและสภาวการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ ” และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการการปกครองฯ แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการการปกครองฯ เกี่ยวกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ให้สิทธิแก่ผู้มีอายุไม่ถึง ๑๕ ปี สามารถยื่นคำขอมีบัตรใหม่หรือขอเปลี่ยนบัตรได้ด้วยตนเอง ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
33354 | การรายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล | กษ | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รายงานปิดการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเล สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน มีเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งทะเลสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน ๑๐๑ ราย สถานีบริการน้ำมัน จำนวน ๓ ราย และบริษัทน้ำมัน จำนวน ๒ ราย ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ทั้งหมดมีจำนวน ๔๓๒,๐๐๐ ล้านลิตร โดยใช้งบประมาณจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน ๘๔๖,๐๐๐.๐๐ บาท ทั้งนี้ กรมประมงได้ปิดบัญชีกองทุนรวมฯ และนำเงินเหลือจ่ายคืนให้แก่กรมบัญชีกลาง จำนวน ๒๓,๒๐๓,๖๐๐.๒๒ บาท ประกอบด้วย เงินคงเหลือจากการชดเชยค่าน้ำมันในโครงการฯ จำนวน ๒๓,๑๓๖,๐๐.๐๐ บาท และดอกเบี้ย จำนวน ๖๗,๖๐๐.๒๒ บาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ อาทิ มีพลังงานทางเลือกชนิดอื่นและน้ำมันนอกระบบที่มีราคาถูกกว่าน้ำมันในโครงการฯ อากาศร้อนจัดเป็นระยะเวลาหลายเดือนทำให้เกิดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย เกษตรกรจึงชะลอการเลี้ยงกุ้งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันที่เกษตรกรซื้อน้อยกว่าที่ได้จัดสรรไปแล้ว ส่วนต่างของราคาน้ำมันไม่คุ้มต้นทุนค่าขนส่ง เกษตรกรหันไปเลี้ยงสัตว์น้ำชนิดอื่นแทน และในบางพื้นที่มีจำนวนเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ น้อย ทำให้ยอดการจัดสรรน้ำมันไม่เพียงพอต่อการขนส่ง เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
33355 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน | รง | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานเพื่อทำหน้าที่แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ และบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธาน ส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ อธิบดีกรมการจัดหางานเป็นกรรมการและเลขานุการ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้เพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านแรงงาน อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางและมาตรการการแก้ไขปัญหาความต้องการแรงงานและการขาดแคลนแรงงานทั้งระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้คณะกรรมการดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบข้อมูลและตัวชี้วัดด้านแรงงานไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
33356 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) (นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ) | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง (นักวิชาการคลังทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
33357 | รายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 15 เมษายน 2554 | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครงการ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้
๑. อนุมัติแล้ว จำนวน ๔๓,๓๑๕ โครงการ วงเงิน ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท ๒. การจัดสรร ๒.๑ รอจัดสรร จำนวน ๘๗๓ โครงการ วงเงิน ๘,๓๗๖.๗๐ ล้านบาท ๒.๒ จัดสรรแล้ว จำนวน ๔๒,๔๔๒ โครงการ วงเงิน ๓๔๑,๕๘๓.๗๔ ล้านบาท ๓. การจัดซื้อจัดจ้าง ๓.๑ ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ จำนวน ๒,๖๔๑ โครงการ วงเงิน ๑๑,๗๖๔.๒๗ ล้านบาท ๓.๑.๑ ยังไม่เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงิน ๔,๖๒๓.๔๒ ล้านบาท ๓.๑.๒ เกิน ๑๕ วันทำการ จำนวน ๒,๔๓๘ โครงการ วงเงิน ๗,๑๔๐.๘๕ ล้านบาท ๓.๒ ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน ๓๙,๘๐๑ โครงการ วงเงิน ๓๒๙,๘๑๙.๔๗ ล้านบาท ๓.๓ มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน ๓๙,๘๐๑ โครงการ วงเงิน ๓๒๐,๓๘๗.๒๙ ล้านบาท ๔. การดำเนินการ ๔.๑ ยังไม่ได้เบิกจ่าย จำนวน ๑,๑๕๔ โครงการ วงเงิน ๔๖,๘๙๒.๒๑ ล้านบาท ๔.๒ เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน ๑๒,๘๒๘ โครงการ วงเงิน ๑๓๓,๔๔๕.๕๙ ล้านบาท ๔.๓ เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน ๒๕,๘๑๙ โครงการ วงเงิน ๑๔๐,๐๔๙.๔๙ ล้านบาท ๔.๔ เบิกจ่ายทั้งหมด (๔.๒+๔.๓) จำนวน ๓๘,๖๔๗ โครงการ วงเงิน ๒๗๓,๔๙๕.๐๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
33358 | กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน 8 ฉบับ | กค | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน สำหรับการนำไปเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงฯ กับกลุ่มประเทศคู่เจรจาของไทย ได้แก่ ประเทศที่จะขอเปิดเจรจาฯ ใหม่ และที่จะขอเปิดเจรจาฯ แก้ไข (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) ประเทศที่เจรจาฯ แล้ว แต่ยังมีประเด็นติดค้าง (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) และประเทศที่จะทำการเจรจาฯ ในอนาคต และเห็นชอบอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน ๘ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาอีกครั้ง ดังนี้
๑. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งซิมบับเวและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๒. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐเอกราชปาปัวนิวกีนี เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๓. อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรโมร็อกโก เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๔. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๕. อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐทาจิกิสถาน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๖. อนุสัญญาระห่วางรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๗. อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งไอร์แลนด์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๘. อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลิทัวเนียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
|
||||||||||||||||||||||||
33359 | การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (จำนวน 3 คณะ) | วท | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้คณะกรรมการคงอยู่ จำนวน ๓ คณะ โดย ๑.๑ มีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เดิม ๑ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการพิจารณาเครื่องจักร วัสดุอุปกรณ์ ที่ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ๑.๒ มีอำนาจหน้าที่คงเดิม แต่ขอเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบ โดยเพิ่มผู้แทน จำนวน ๒ คณะ ๑.๒.๑ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (กรอ.วท) ขอเพิ่มผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑ คน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยความถูกต้อง สะดวกรวดเร็ว และคล่องตัวยิ่งขึ้น ๑.๒.๒ คณะกรรมการบริหารโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) ขอเพิ่มผู้แทนจากสำนักงบประมาณ จำนวน ๑ คน เพื่อประโยชน์ในการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกคณะกรรมการ จำนวน ๑ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
|
||||||||||||||||||||||||
33360 | ผลการเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 16 ในช่วงการประชุมระดับสูง (High Level Segment : HLS) | กต | 26/04/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๑๖ ในช่วงการประชุมระดับสูง (High Level Segment : HLS) ระหว่างวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ - ๒ มีนาคม ๒๕๕๔ ณ นครเจนีว่า โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือระดับทวิภาคีกับผู้แทนประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการประชุม HRC สมัยที่ ๑๖ การหารือกับหัวหน้าสำนักงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ และการหารือกับประธานสมัชชาสหประชาชาติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การหารือทวิภาคีกับผู้แทนประเทศต่าง ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวขอบคุณสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และชี้แจงเกี่ยวกับพัฒนาการของสถานการณ์ไทย - กัมพูชา รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ๒. การหารือกับหัวหน้าสำนักงานต่าง ๆ ของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก โดยมีประเด็นหารือที่สำคัญ ได้แก่ การเยือนไทยของกลไกพิเศษต่างๆ ของ HRC การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าว การดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า การช่วยเหลือแรงงานไทย การเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนา การประกันสังคม และการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๓. การหารือกับประธานสมัชชาสหประชาชาติเกี่ยวกับสถานการณ์ในลิเบียเกี่ยวกับสถานการณ์ในลิเบีย การช่วยเหลือแรงงานต่างชาติ ความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย - กัมพูชา การปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และการประชุม High - Level Meeting on HIV/AIDS รวมทั้งเข้าร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ (Conference on Disarmament - CD) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความกังวลความไม่ก้าวหน้าในการดำเนินการลดอาวุธ และเห็นว่าความสำเร็จในการลดอาวุธต้องอาศัยเจตนารมณ์ของรัฐสมาชิกและการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
|
.....