ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1667 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 33321 - 33340 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
33321 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงิน พ.ศ. .... | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ
๑. กำหนดให้กรมบัญชีกลางมีอำนาจในการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับสถาบันการเงินเพื่อให้ผู้รับบำนาญนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงิน ๒. กำหนดให้ผู้รับบำนาญที่ประสงค์จะขอกู้เงินยื่นคำร้องขอรับหนังสือรับรองสิทธิบำเหน็จตกทอดเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงินต่อส่วนราชการผู้เบิกเบี้ยหวัดบำนาญ ๓. กำหนดให้ส่วนราชการผู้เบิกเบี้ยหวัดบำนาญตรวจสอบความถูกต้องและรับรองความถูกต้องและความครบถ้วนของข้อมูลในคำร้องขอรับหนังสือรับรอง แล้วส่งไปยังกรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัด เมื่อกรมบัญชีกลางหรือสำนักงานคลังจังหวัดได้รับคำร้องขอรับหนังสือรับรองแล้วให้ออกหนังสือรับรองแก่ผู้รับบำนาญ ๔. กำหนดให้ผู้รับบำนาญสามารถนำหนังสือรับรองไปใช้เป็นหลักทรัพย์ขอกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ โดยผู้รับบำนาญจะต้องแจ้งให้บุคคลผู้มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จตกทอดในอนาคตทราบถึงการนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้เงินด้วย ๕. กำหนดกรณีหากเมื่อสถาบันการเงินและผู้รับบำนาญได้ทำสัญญากู้เงินกันแล้ว ให้สถาบันการเงินจ่ายเงินให้แก่ผู้รับบำนาญ และแจ้งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการหักบำนาญรายเดือนตามสัญญากู้เงินต่อไป ๖. กำหนดให้ผู้รับบำนาญจะต้องยินยอมให้ส่วนราชการผู้เบิกเบี้ยหวัดบำนาญหักบำนาญรายเดือน เพื่อชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงินตามสัญญากู้เงิน และกำหนดให้เงินที่ต้องชำระคืนให้แก่สถาบันการเงินดังกล่าว เป็นหนี้อันมีบุริมสิทธิลำดับต่อจากหนี้ภาษีอากรและหนี้สหกรณ์ ๗. กำหนดวิธีปฏิบัติของกรมบัญชีกลางและสถาบันการเงิน กรณีที่ผู้รับบำนาญไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญากู้เงินได้ทั้งกรณีผิดสัญญากู้เงินและถึงแก่ความตาย
|
|||||||||||||||||||||
33322 | คณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการเจรจากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก | ทส | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการเจรจากรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น ๒๒ คน มีอำนาจหน้าที่เจรจาร่วมกับภาคีและองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่ข้อยุติการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พิจารณา กำหนดท่าทีในการเจรจากรณีปราสาทพระวิหาร แต่งตั้งคณะทำงานตามความจำเป็น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33323 | ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสรุปผลการพิจารณาร่วมระหว่างหน่วยงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งมีความเห็นร่วมกันในหลักการว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่จะทำให้การลงทุนในกิจการของรัฐมีความคล่องตัวและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะการลงทุนในกิจการของรัฐที่มีความสมดุลมากยิ่งขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาและส่งเสริมระบบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตลอดจนความโปร่งใสในการทำสัญญากับเอกชน เพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา ๘ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยกำหนดให้โครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนตามร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... เพียงฉบับเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ควรแก้ไขความในมาตรา ๔๕ (๑) จาก “เงินประเดิม หรือเงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน” เป็น “เงินประดิมที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นเพื่อรองรับการประกาศใช้พระราชบัญญัติฯ โดยให้สามารถแต่งตั้งคณะทำงานต่าง ๆ และหรือว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบ |
|||||||||||||||||||||
33324 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อรองรับสิทธิในการขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีนของบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ทำการประกอบโรคศิลปะโดยอาศัยศาสตร์การแพทย์แผนจีน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
33325 | การกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) | วท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างหลักเกณฑ์การเข้าร่วมทุนฯ มีดังนี้
๑. การนำทุนของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ไปร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการวัตถุประสงค์ของสำนักงานฯ โดยไม่มุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก แต่ไม่รวมถึงการนำองค์ความรู้ไปดำเนินการกับนิติบุคคลอื่น ๒. ในแต่ละปีงบประมาณ การเข้าร่วมทุนมีวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๐ ของเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ แต่ต้องไม่เกินห้าสิบล้านบาท ๓. สำนักงานฯ เข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่นได้ไม่เกินร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการ ๔. คณะกรรมการบริหารสำนักงานฯ มีอำนาจพิจารณาอนุมัติการเข้าร่วมทุนในวงเงินไม่เกิน ๕๐ ล้านบาท ๕. กรณีการเข้าร่วมทุนมีวงเงินเกินกว่าห้าสิบล้านบาทให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ๖. ในการร่วมทุนหากปรากฏว่าเข้าลักษณะการร่วมทุนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ๗. การเข้าร่วมทุนกับนิติบุคคลอื่น สำนักงานฯ ต้องพิจารณารายละเอียดการดำเนินโครงการการวิเคราะห์หรือแสดงแผนธุรกิจ รายละเอียดอื่นอันจำเป็นกรณีนิติบุคคลนั้นเป็นเอกชน ๘. สำนักงานฯ จะแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการก่อนเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติ |
|||||||||||||||||||||
33326 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายมีธรรม ณ ระยอง และนางสาวธนพร อภัยวงศ์) | ทก | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. นายมีธรรม ณ ระนอง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒. นางสาวธนพรอภัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
|
|||||||||||||||||||||
33327 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร | วท | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แทนนายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ ที่ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33328 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ...... | ศธ | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งส่วนราชการในมหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ รวมศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปเป็นส่วนราชการมีฐานะเทียบเท่าภาควิชาในคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
33329 | เอกสารสำคัญที่จะมีการลงนามหรือรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 18 | กต | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสาร [ร่างแถลงการณ์ร่วมของผู้นำอาเซียน เรื่อง ประชาคมอาเซียนในประชาคมโลก (Draft ASEAN Leaders’ Joint Statement on the ASEAN Community in a Global Community of Nations) และร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียน ว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ (Draft ASEAN Leaders’ Joint Statement on the Establishment of an ASEAN Institute for Peace and Reconciliation)] ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑ ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
|||||||||||||||||||||
33330 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย | กต | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๗๐ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เกี่ยวกับลิเบียตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ส่วนข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๗๓ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เกี่ยวกับลิเบีย นั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปตรวจสอบความสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติตามข้อกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
33331 | โครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา | กค | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา ตามผลการศึกษาของกรมธนารักษ์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามมาตรา ๙ (๒) เพื่อกรมธนารักษ์จะได้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓ เพื่อดำเนินการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานโครงการนี้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๑.๒ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนโครงการพัฒนาปรับปรุงท่าเรือสงขลา โดยเฉพาะกรมเจ้าท่าให้ขอตั้งงบประมาณทุกปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานขุดลอกและรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลาให้อยู่ที่ระดับ ๙ เมตร ตลอดเวลา และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง และเป็นไปตามขั้นตอนของข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการกิจการของรัฐ และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม จัดเตรียมข้อมูลในประเด็นสำคัญที่จำเป็นต้องสร้างความชัดเจนก่อนการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยาของทะเลสาบสงขลา การกัดเซาะพื้นชายฝั่งจากการขุดลอกร่องน้ำ บทบาทของท่าเรือสงขลาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงกับท่าเรือ ความเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือสงขลาและท่าเรือในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งระบบโลจิสติกส์ของประเทศโดยรวม ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ค่าใช้จ่ายในการขุดลอกและรักษาความลึกของร่องน้ำสงขลาให้อยู่ที่ระดับ ๙ เมตร ให้กระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) จัดทำรายละเอียดตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่สำนักงบประมาณกำหนดเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
33332 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นางอุไร ร่มโพธิหยก) | อก | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอุไร ร่มโพธิหยก ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๖ เมษายน ๒๕๕๔) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||
33333 | การจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551(ยกเลิกโดยมติ 1472/55) | ศธ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรมรถยนต์ เทคโนโลยีการจัดการโรงแรม และพาณิชย์นาวี โดยควรให้มีการกระจายไปทุกภาคของประเทศ ทั้งนี้ ในการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการให้สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนในระดับพื้นที่และกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตร และบริการ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวมของประเทศ โดยดำเนินการนำร่องก่อนใน ๔ ภูมิภาค ๆ ละ ๑ แห่ง ได้แก่ ๑.๑ สถาบันการอาชีวศึกษาเทคโนโลยีการเกษตรพิจิตร เพื่อสนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ๑.๒ สถาบันการอาชีวศึกษาอุตสาหกรรมยานยนต์อุบลราชธานี เพื่อสนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคนในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ๑.๓ สถาบันการอาชีวศึกษาเทคโนโลยีการจัดการโรงแรมกรุงเทพ เพื่อสนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคนในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ๑.๔ สถาบันการอาชีวศึกษาพาณิชย์นาวีนครศรีธรรมราช เพื่อสนับสนุนการผลิตและพัฒนากำลังคนในกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการด้านการคมนาคม ขนส่ง การบริหารสถานที่เก็บสินค้า การกระจายสินค้า การบริหารจัดการโลจิสติกส์ และพาณิชย์นาวีภาคใต้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการใช้ทรัพยากรร่วมกันของสถาบันการอาชีวศึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ในกลุ่มสถาบันที่มีลักษณะและประเภทเดียวกัน ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ และด้านการบริหารจัดการ เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนและสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรร่วมกันได้ โดยให้รับความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่เห็นว่า การจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการจัดการโรงแรมอาจซ้ำซ้อนกับหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาอื่นที่มีการเรียนการสอนในหลักสูตรทำนองเดียวกันไปประกอบการจัดทำแผนฯ ด้วย ทั้งนี้ การจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาดังกล่าวต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ๓. เมื่อกระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามข้อ ๒ เสร็จแล้ว ให้ส่งผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||
33334 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศดังกล่าวมีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. และในการดำเนินกิจกรรมส่งเสริมหรือพัฒนาใด ๆ ในเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ ควรเป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ รวมทั้งการดำเนินงานที่สอดคล้องตามแผนแม่บทในการบริหารจัดการพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย - ศรีสัชนาลัย - กำแพงเพชร ตลอดจนการนำแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษ ภายในขอบเขตพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์หรือสนับสนุนให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และพันธกรณีและหลักเกณฑ์ตามอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เช่น โครงการเมืองสุขภาพดี บนวิถีไทย (จังหวัดสุโขทัย) ของกระทรวงสาธารณสุข และโครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
33335 | การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย | นร | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย ตามร่างประกาศคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยประกาศพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนครอบคลุม ๓ กลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวจังหวัดเลย ซึ่งประกอบด้วยอำเภอเมืองเลย อำเภอเชียงคาน อำเภอท่าลี่ อำเภอภูเรือ อำเภอด่านช้าย อำเภอนาแห้ว อำเภอภูกระดึง อำเภอหนองหิน อำเภอภูหลวง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ในการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลย เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจังหวัดเลยบรรลุตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการพัฒนามาตรฐานคุณภาพการท่องเที่ยวของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ๒. ให้ อพท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ตั้งอยู่ในแนวเขตพื้นที่ตามร่างประกาศฯ มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและเป็นผู้ดำเนินการตามแผนแม่บทของ อพท. โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อพท. และให้ อพท. ทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการกลุ่มพื้นที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดเลยกับจังหวัดในกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขง ๖ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี และการศึกษาแนวคิดเมืองสร้างสรรค์เชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในต่างประเทศมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาพื้นที่พิเศษดังกล่าวโดยเชื่อมโยงกับกลุ่มท่องเที่ยวเลียบฝั่งแม่น้ำโขงให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอย่างชัดเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวในพื้นที่และการกระจายรายได้สู่ชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์ป่าและพันธุ์สัตว์ป่า รวมทั้งให้บูรณาการให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกับโครงการของหน่วยงานอื่นที่จะดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เช่น โครงการเมืองสร้างสรรค์ของสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
33336 | บัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) | มท | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยกเลิกข้อ ๒ ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ เรื่อง บัตรประจำประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ที่ระบุว่า “ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ได้ชี้แจงว่าขั้นตอนในการดำเนินการเพื่อจัดหาบัตรดังกล่าวได้มีการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องตามระเบียบ ข้อกฎหมาย และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปตาม TOR (Terms of Reference) ที่กำหนดตามกฎกระทรวงเดิมแล้ว แต่ในขณะดำเนินการกระทรวงมหาดไทยได้มีการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐)ฯ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงแบบบัตรท้ายกฎกระทรวง จึงทำให้รูปแบบบัตรที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดหาไว้ ไม่เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๒ (พ.ศ. ๒๕๕๐)ฯ” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าไม่ได้ชี้แจงข้อมูลตามข้อความที่ปรากฏในมติคณะรัฐมนตรีนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการชี้แจงของเจ้าหน้าที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกอบกับข้อความดังกล่าวเป็นเพียงคำชี้แจงประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ได้เป็นส่วนที่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
33337 | การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ 13 กันยายน 2537) | ทส | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ ดังนี้
๑. การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (environmental impact assessment) จำนวน ๕ โครงการ ๑.๒ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (initial environmental examination) จำนวน ๘ โครงการ ๑.๓ โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (environmental checklist) พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ โครงการทุกชนิดที่ไม่เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้จัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ๒. กลไกการดำเนินงานด้านการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ โครงการที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและโครงการที่ต้องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้เสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๒ โครงการที่ต้องจัดทำรายการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม เสนอให้กรมป่าไม้พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๓ การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ให้นำแนวทางการจัดทำรายงานตามเอกสารท้ายประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม มาใช้โดยอนุโลม ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น ที่ได้รับความเห็นชอบ และจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการเสนอต่อสำนักงานนโยบายแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกรมป่าไม้ อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง |
|||||||||||||||||||||
33338 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 2 โครงการ | กษ | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการคลองสียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา จากเดิมระยะเวลา ๑๘ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๗ - ๒๕๕๔) เป็นระยะเวลา ๑๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๗ - ๒๕๕๕) โดยไม่เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างของโครงการฯ ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการเขื่อนแควน้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพิษณุโลก จากเดิมระยะเวลา ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๔) เป็นระยะเวลา ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๕) โดยไม่เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างของโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับงวดงานภายในวงเงินงบประมาณค่าก่อสร้างเดิม และให้ดำเนินการทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่โครงการให้เกิดการยอมรับอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันมิให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินโครงการอีก และสามารถดำเนินการโครงการชลประทานทั้ง ๒ โครงการต่อไปได้จนเสร็จสมบูรณ์ นอกจากนี้ ควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนพัฒนาการผลิตทางการเกษตรในพื้นที่เพื่อเพิ่มผลผลิต และประสิทธิภาพการผลิต ตลอดจนการพัฒนาการตลาดสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
33339 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย (นายปณิธิ วสุรัตน์) | กต | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายปณิธิ วสุรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
33340 | ปฏิญญาบรูไนดารุสซาลามว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว : การดูแลผู้สูงอายุ | พม | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอว่า ที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ ๗ (7th ASEAN Ministerial Meeting On Social Welfare and Development : 7th AMMSWD) ได้ออกเอกสารสำคัญ ๑ ฉบับ ชื่อว่า ปฏิญญาบรูไนดารุสซาลามว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว : การดูแลผู้สูงอายุ (Brunei Darussalam Declaration on Strengthenting Family : Institution : Caring for the Elderly) มีวัตถุประสงเพื่อสร้างเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการให้การดูแล สนับสนุน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุ ตลอดจนสนับสนุนบทบาทครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ โดยได้กำหนดพันธกิจที่สำคัญ ดังนี้
๑. สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพึ่งพาตนเองและศักยภาพในการสร้างรายได้ ๒. ลดอัตราความยากจนในผู้สูงอายุเพื่อให้ผู้สูงอายุมีชีวิตที่มั่นคงแข็งแรง ๓. ส่งเสริมคุณภาพในการให้บริการทางสุขภาพในเชิงป้องกันและการรักษา เสริมสร้างศักยภาพในการให้การดูแลผู้สูงอายุของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ผู้ดูแล และอาสาสมัคร ๔. เสริมสร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ภายใต้อาเซียนที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนจากภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สมาคมผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุ
|
.....