ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1644 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 32861 - 32880 จากข้อมูลทั้งหมด 123982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
32861 | สรุปผลการประชุมหารือสถานการณ์อุทกภัย | นร | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานสรุปการตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์อุทกภัยของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๓ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดสุโขทัย แพร่ น่าน และอุบลราชธานี และการประชุมร่วมกับส่วนราชการและผู้ว่าราชการจังหวัด ๙ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร สกลนคร หนองคาย นครพนม เลย บึงกาฬ และจังหวัดอำนาจเจริญ รวมทั้งได้เดินทางไปรับฟังสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดพิษณุโลก และลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนในจังหวัดพิจิตร ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้ส่วนราชการดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ การแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน ๑.๑.๑ ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ๑.๑.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูพี่น้องประชาชน และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้อย่างรวดเร็ว ๑.๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลได้มอบหมายให้ศูนย์ฮอตไลน์ สายด่วน ๑๑๑๑ รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ หรือแจ้งข่าวสาร เพื่อจะได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ๑.๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าภาพในการพิจารณาแนวทางในการป้องกันและเตือนภัยจังหวัดอื่น ๆ ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีก รวมถึงการเตรียมการเพื่อแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย ๑.๑.๕ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ในการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อพิจารณาการปรับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบให้เป็นธรรมยิ่งขึ้น และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ๑.๒ การแก้ไขปัญหาในระยะยาว ๑.๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำข้อมูลและแนวทางในการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการเกี่ยวกับการเชื่อมต่อระบบการระบายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยม เสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๑.๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ ในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work shop) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยซ้ำ และการบริหารจัดการลุ่มน้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๒. รับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๒.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการการดำเนินงานของทุกภาคส่วนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้การดำเนินการเรื่องนี้เป็นไปอย่างเป็นระบบ ครบวงจร นับตั้งแต่การป้องกัน การเตือนภัย การแก้ไขปัญหา และการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย โดยควรมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการ (war room) เพื่ออำนวยการ กำกับ ติดตามการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ ให้รายงานสถานการณ์อุทกภัยให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๆ ๒๔ ชั่วโมงด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับการเตือนภัยและเตรียมความพร้อมตลอด ๒๔ ชั่วโมง และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยได้ทราบอย่างรวดเร็วและทั่วถึงด้วย ๒.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นกลไกในการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ และหากมีปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินทดรองจ่ายในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดให้รีบประสานและหารือไปยังกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อระบายน้ำที่ท่วมขังโดยเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เหมาะสมและทันเหตุการณ์
|
|||||||||||||||||||||
32862 | การจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี | นร | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องที่ดำเนินการไปแล้ว มีดังนี้ ๑.๑ นายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้มีหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตดำเนินการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ๑.๒ สำนักงบประมาณได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอความเห็นชอบการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในเบื้องต้น จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช่จายในการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาในการประชุมครั้งที่ ๘๕/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๔ มีมติเห็นชอบการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๓ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้กระทรวงต่าง ๆ จัดข้าราชการพลเรือนระดับชำนาญการหรือเทียบเท่าขึ้นไป ข้าราชการทหาร ตำรวจ ระดับพันเอก นาวาเอก นาวาอากาศเอก และพันตำรวจเอก ขึ้นไป ไปร่วมเข้าเฝ้าฯ ในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพฯ เป็นเวลา ๑๐๐ วัน วันละ ๕ รอบ รอบเวลาละ ๓๐ คน ระหว่างวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. โดยที่ได้มีประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี (นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และแต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นผลให้คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๓๐/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ สิ้นสุดลง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณามีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ขึ้นใหม่ ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยแล้ว ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
|
|||||||||||||||||||||
32863 | การดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 | นร | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการที่ผ่านมา อาทิ การขอพระราชทานชื่อพระราชพิธี ชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ และกำหนดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ การแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ การจัดประกวดตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค การจัดงานตามกำหนดการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ การจัดพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ การจัดพิธีและกิจกรรมทางศาสนา การจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคลและงานมหรสพสมโภช เป็นต้น ๒. การดำเนินการในระยะต่อไป ได้แก่ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคในงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน การจัดงานตามหมายกำหนดการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ระหว่างวันที่ ๔ - ๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ การจัดพิธีเสกน้ำพระพุทธมนต์ การจัดพิธีและกิจกรรมทางศาสนา การจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคลและงานมหรสพสมโภช การจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ การทูลเกล้าฯ ถวายของที่ระลึก การพิจารณาโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติ การจัดทำหนังสือที่ระลึกและสื่ออิเล็กทรอนิกส์และหนังสือจดหมายเหตุงานเฉลิมพระเกียรติ การติดตามและประเมินผลโครงการและกิจกรรมร่วมเฉลิมพระเกียรติ การพิจารณาขอประดับตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ การจัดกิจกรรมของคณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ และการพิจารณาคำขอใช้งบประมาณในส่วนที่ค้างดำเนินการ ๓. ข้อเสนอแนะในระยะต่อไปที่จะเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ ได้แก่ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติและคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ และจัดการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติและคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
32864 | รายงานสถานการณ์อุทกภัย ประเมินความเสียหายเบื้องต้น และการแก้ไขปัญหา (ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม 2554) | คค | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานความเสียหาย ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ตลอดจนการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนนกเตน ระหว่างวันที่ ๒๘ กรกฎาคม - ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพความเสียหายและประเมินความเสียหายเบื้องต้น ๑.๑ กรมทางหลวงรายงานเส้นทางในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๒๓ จังหวัด ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น ๑๐๑ เส้นทาง ๓๗๔ แห่ง ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ๙๕๔.๕๙๑ ล้านบาท สภาพความเสียหายส่วนใหญ่เป็นลักษณะทางขาด คอสะพานและอาคารระบายน้ำชำรุด และน้ำท่วมขังทำให้โครงสร้างถนนชำรุดเสียหาย เป็นต้น ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ซ่อมแซมสภาพทางชั่วคราวให้จราจรผ่านได้แล้ว ๙๙ สายทาง โดยใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ จำนวน ๑๑.๗๐๐ ล้านบาท และจากสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณ จำนวน ๙๔๒.๘๙๑ ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูสภาพทางคืนสู่สภาพอย่างยั่งยืน ๑.๒ กรมทางหลวงชนบทรายงานเส้นทางในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๒๑ จังหวัด ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น ๑๓๖ เส้นทาง ประเมินความเสียหายเบื้องต้น ๗๗๒.๘๘ ล้านบาท สภาพความเสียหายส่วนใหญ่เกิดจากดินสไลด์ น้ำกัดเซาะคอสะพาน ไหล่ทาง และน้ำท่วมขัง ปัจจุบันกรมทางหลวงชนบทได้ซ่อมแซมสภาพทางชั่วคราวให้การจราจรผ่านได้แล้ว จำนวน ๑๑๕ สายทาง โดยใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งมีอยู่แต่ละจังหวัดดำเนินการไปก่อนแล้ว และจากสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น ยังมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณ จำนวน ๗๗๒.๘๘ ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูสภาพทางคืนสู่สภาพอย่างยั่งยืน ๒. การแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน ๒.๑ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมเจ้าท่า และกรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ประสบภัย อาทิ การจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ เครื่องจักรกล วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้การจราจรผ่านได้เร็วที่สุด การขนย้ายลำเลียงผู้ประสบภัย การสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภค การจัดให้มีเจ้าหน้าที่บำรุงทางเฝ้าระวังพื้นที่น้ำท่วมในทุกเส้นทางรถไฟ การประกาศปิดเส้นทางเดินรถ การสนับสนุนเรือท้องแบนเพื่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งการจัดเตรียมยานพาหนะให้การสนับสนุนการขนย้ายผู้ประสบภัย เป็นต้น ๒.๒ จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นที่สำนักงานแขวงการทางอุดรธานี เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางประสานงานระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานในพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งเพื่อรับข้อร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
|
|||||||||||||||||||||
32865 | สรุปสถานการณ์อุทกภัยเนื่องจากพายุโซนร้อน "นกเตน" (NOCK - TEN) (ข้อมูล ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2554) | มท | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัยเนื่องจากพายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK - TEN) (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัยเนื่องจากพายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK - TEN) มีพื้นที่ซึ่งประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) รวม ๒๔ จังหวัด ๒๒๘ อำเภอ ๑,๕๕๑ ตำบล ๑๒,๗๘๗ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดแพร่ เชียงใหม่ สุโขทัย น่าน ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก ตาก นครสวรรค์ นครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร บึงกาฬ สกลนคร เลย เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๗๕๕,๘๑๐ ครัวเรือน ๒,๖๔๕,๕๓๗ คน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน ๓๒๓ หลัง พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะได้รับความเสียหาย ๑,๘๒๖,๐๕๓ ไร่ ถนน ๔,๙๑๖ สาย ฯลฯ มีผู้เสียชีวิต ๒๘ ราย สูญหาย ๑ ราย ทั้งนี้ จังหวัดที่สถานการณ์คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ได้แก่ จังหวัดน่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย นครพนม อุดรธานี บึงกาฬ สกลคร และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับจังหวัดที่ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย แพร่ อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา มุกดาหาร ร้อยเอ็ด และจังหวัดอุบลราชธานี ๒. การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยเนื่องจากพายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK - TEN) มี ดังนี้ ๒.๑ เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยและรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน พร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และมอบเงินช่วยเหลือของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในพื้นที่จังหวัดน่าน จำนวน ๑,๐๐๐ ราย ๆ ละ ๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒.๒ วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะได้เดินทางร่วมประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ๙ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเลย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี และได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง และอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร จากนั้นได้ร่วมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดพิษณุโลกจากผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก
|
|||||||||||||||||||||
32866 | รายงานสถานการณ์และผลการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านสาธารณสุข (ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2554 ถึง 16 สิงหาคม 2554) | สธ | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยจากพายุโซนร้อน “นกเตน” (NOCK TEN) และผลการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยด้านสาธารณสุข ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์ทั่วไป มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบเกิดอุทกภัย รวม ๓๑ จังหวัด จำแนกเป็น ภาคเหนือ ได้แก่ น่าน แพร่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ พะเยา พิษณุโลก แม่ฮ่องสอน ตาก สุโขทัย เพชรบูรณ์ พิจิตร นครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร บึงกาฬ หนองคาย นครพนม อุบลราชธานี เลย มุกดาหาร หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ภาคกลาง ได้แก่ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครนายก และภาคใต้ บางส่วน ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำหรับยอดผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์อุทกภัย รวมจำนวน ๓๑ ราย สูญหาย ๑ ราย ๒. สถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งสิ้น ๒๒ แห่ง เป็นโรงพยาบาลทั่วไป ๓ แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) ๑๙ แห่ง ขณะนี้สามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมด ๓. การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จำนวนรวม ๑๓๓ ครั้ง ได่แก่ โรงพยาบาลในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมจำนวนผู้รับบริการประมาณ ๒๗,๘๖๓ ราย โรคที่พบ คือ น้ำกัดเท้า ไข้หวัด โรคผิวหนัง ปวดกล้ามเนื้อ และบาดแผลจากอุบัติเหตุ ยังไม่พบการระบาดของโรค สำหรับการให้บริการประเมินปัญหาสุขภาพจิต พบราษฎรมีความเครียดสูง ๗๙ ราย มีภาวะซึมเศร้า ๑๕๙ ราย มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ๔๑ ราย ซึ่งต้องติดตามดูแลพิเศษ ๗๕ ราย นอกจากนี้ ได้สั่งการ ๑๓ จังหวัด ๑๒๔ โรงพยาบาลลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสักเฝ้าระวังอุทกภัยและพร้อมดำเนินการ ๔ แผนคือ แผนป้องกันไม่ให้น้ำท่วมโรงพยาบาลเพื่อให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง แผนสำรองทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้บริการผู้ป่วย แผนส่งต่อผู้ป่วยมีอาการหนัก และแผนการปรับบริการหากเกิดน้ำท่วมในโรงพยาบาล ให้มีการเฝ้าระวังระดับน้ำ และสถานการณ์น้ำล้นตลิ่ง ตลอดจนสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์จากส่วนกลาง ๔. การเฝ้าระวังพื้นที่ ได้แก่ การเตือนภัยให้เฝ้าระวังระดับน้ำและเตรียมขนย้ายของสู่ที่สูงในจังหวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยา การติดตามเฝ้าระวังและควบคุมโรคระบาดซึ่งพบว่ายังไม่มีโรคระบาดในทุกพื้นที่ รวมทั้งจัดทีมสุขภาพจิตติดตามในรายที่เสี่ยงหรือได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
|
|||||||||||||||||||||
32867 | การมอบหมายส่วนราชการให้ดำเนินการตามพระราชเสาวนีย์ | นร | 16/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากพระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๔ จึงได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
๑. ปัญหาอุทกภัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชาชนประสบอุทกภัยหลายแห่ง มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำกับติดตามเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยด่วน ๒. การดำเนินงานโครงการหลวง และโครงการตามแนวพระราชดำริ เช่น โครงการธนาคารข้าว การจัดตั้งสถานีเกษตรที่สูง โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ โครงการป่ารักน้ำ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ฟาร์มตัวอย่าง และโครงการราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า เป็นต้น มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ติดตาม กำกับดูแล และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ๓. การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทยและการส่งเสริมงานศิลปาชีพ มอบให้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงพาณิชย์รับไปประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลในทางปฏิบัติและเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ รวมทั้งการให้การสนับสนุนส่งเสริมงานศิลปาชีพด้วย ๔. การแก้ไขปัญหายาเสพติด มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กำกับติดตามการดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างละมุนละม่อม ๕. ปัญหาเหตุการณ์ไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้บังเกิดความสงบสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ โดยให้นำโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการของหมู่บ้านรอตันบาตู จังหวัดนราธิวาส มาเป็นตัวแบบในการดำเนินการด้วย ๖. โครงการสร้างพระพุทธเมตตาประชาไทยไตรโลกนาถ คันธารราษฎร์อนุสรณ์ ณ วัดทิพย์สุคนธาราม อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงบประมาณรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ และในโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
32868 | ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551(แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป | นร | 11/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ (แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีขั้นตอน ดังนี้ ๑.๑ ส่วนราชการควรส่งเรื่องมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี โดยหนังสือเสนอเรื่องให้ลงนามโดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ยกเว้นกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบให้เสนอเรื่องแล้ว ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีหรือรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม โดยระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และให้ระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งที่จะแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้กำหนดด้วยว่าให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ทั้งนี้ ยังไม่ต้องออกเป็นคำสั่งแต่งตั้งจนกว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ความเห็นชอบแล้ว ๑.๒ การเสนอเรื่องตามข้อ ๑.๑ ให้จัดส่งข้อมูลประกอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ประวัติ คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง) ตามแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ไปพร้อมกับหนังสือนำเรื่อง ๑.๓ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการการเมืองตามข้อ ๑.๑ แล้ว ส่วนราชการเจ้าของเรื่องจึงดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง แล้วจัดส่งคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อจะได้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒. ยกเว้นกรณีการลงนามส่งเรื่องของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามในหนังสือนำส่งเรื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
|
|||||||||||||||||||||
32869 | รายงานสรุปสภาวะของประเทศปี 2554 | นร | 11/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะของประเทศปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม ๑.๑ อัตราเงินเฟ้อ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ อยู่ที่ร้อยละ ๔.๐๘ เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเฉลี่ย ๗ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้นร้อยละ ๓.๖๔ ๑.๒ ดุลบัญชีเดินสะพัด ใน ๖ เดือนแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เกินดุล ๘,๖๑๗.๓๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๒๖๓,๗๓๖.๒๐ ล้านบาท เป็นการเกินดุลต่อเนื่องทั้ง ๒ ไตรมาส โดยดุลการค้าเกินดุล ๕,๐๑๗.๒๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ ๑๕๓,๓๓๖.๓๘ ล้านบาท ๑.๓ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีมูลค่า ๑๘๕.๘๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก ๑๗๒.๑๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑.๔ อัตราแลกเปลี่ยน เฉลี่ยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ อยู่ที่ระดับ ๓๐.๐๘ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากระดับ ๓๐.๕๔ และ ๓๐.๒๙ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรกและสองของปี ๑.๕ การจ้างงาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ มีจำนวนผู้ว่างงาน ๑.๖๓ แสนคน หรืออัตราการว่างงานเพียงร้อยละ ๐.๔๓ ๑.๖ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔.๒๘ ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๑.๐๘ ต่อ GDP ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ ๖๐ ส่วนเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ มีจำนวน ๓.๑๐ แสนล้านบาท ๑.๗ สถานะกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ติดลบ ๑.๑๑๘ ล้านบาท เทียบกับ ณ สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กองทุนน้ำมันมีสถานะเป็นบวก ๒๗,๔๔๑ ล้านบาท ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะ ๕ ปีข้างหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๕ - พ.ศ. ๒๕๕๙) คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ ๔.๖ ต่อปี ปรับตัวดีจากเฉลี่ยร้อยละ ๓.๔ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐ - พ.ศ. ๒๕๕๔) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน จากแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ และการใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อความได้เปรียบด้านสถานที่ตั้ง รวมทั้งนโยบายปรับเพิ่มค่าแรงในประเทศผู้ส่งออกสำคัญ ๆ ส่วนค่าเงินบาทคาดว่ามีแนวโน้มที่จะแข็งค่า อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ ๓.๙ ต่อปี ตามแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาสินค้าในตลาดโลก นอกจากนี้ เสถียรภาพทางด้านการเงินและภาคต่างประเทศโดยรวมยังเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ
|
|||||||||||||||||||||
32870 | รายงานสรุปผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ธันวาคม 2551 - พฤษภาคม 2554) | นร | 11/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการรวบรวมข้อมูลเสนอรายงานสรุปผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ธันวาคม ๒๕๕๑ - พฤษภาคม ๒๕๕๔) โดยรายงานดังกล่าวมีเนื้อหาแบ่งเป็น ๒ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ผลการดำเนินการที่สำคัญตามแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ ส่วนใหญ่เป็นงานหรือโครงการสำคัญในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำแนกเป็น ๔ ด้านหลัก ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ และการแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศและอื่น ๆ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายและข้อตกลงและพันธกรณีตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ได้แก่ การตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การแก้ไขกฎหมายที่สำคัญ และข้อตกลงและพันธกรณีตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
32871 | สรุปผลการประชุมหารือสถานการณ์อุทกภัย | นร | 11/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมชลประทาน เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมีการหารือสถานการณ์อุทกภัย การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และการบริหารจัดการปัญหาเรื่องน้ำ รวมทั้งประเด็นที่นายกรัฐมนตรีขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบการดำเนินงานของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชนผู้ประสบอุทกภัย (ศูนย์ฮอตไลน์) สายด่วน ๑๑๑๑ เพื่อบูรณาการการรับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ แจ้งสถานการณ์อุทกภัยและภัยพิบัติที่เกี่ยวเนื่องกัน ให้มีความเป็นเอกภาพ ๑.๒ ให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นหน่วยงานในการประชาสัมพันธ์ข่าวสาร สถานการณ์อุทกภัยและภัยพิบัติ การให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึงประสานงานกับสื่อมวลชนภาคเอกชนทุกแขนง ๑.๓ ให้มีคณะกรรมการอำนวยการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนและพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ ๑.๔ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังพิจารณาเรื่องการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ ให้สามารถดำเนินการออกประกาศได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้จังหวัดสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ยิ่งขึ้น ๑.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยจัดทำรายงานสถานการณ์อุทกภัยรายจังหวัด ได้แก่ สถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาเฉพาะหน้า และการแก้ไขปัญหา รวมถึงจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ๑.๖ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Work shop) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยซ้ำ และการบริหารจัดการลุ่มน้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ กระทรวงต่าง ๆ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ควรเร่งสำรวจความสูญเสียและความเสียหายที่เกี่ยวข้อง เช่น ครัวเรือนและพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ถนนและสะพานที่ชำรุดเสียหาย ผู้ป่วยและการรักษาพยาบาลผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยตามอำนาจหน้าที่และตามกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วโดยด่วน ทั้งนี้ ให้แต่ละกระทรวงนำข้อมูลที่สำรวจได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ ต่อไปด้วย ๒.๒ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีกำหนดจะเดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐมนตรีที่อยู่ในพื้นที่ประสบอุทกภัยก็ควรลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยด้วย เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
32872 | การจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี | นร | 01/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๓๐/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เพื่อทำหน้าที่ดำเนินการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องตามราชประเพณี และสมพระเกียรติ โดยมีประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคล ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานวุฒิสภา และองคมนตรี (นายพลากร สุวรรณรัฐ) เป็นคณะที่ปรึกษา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรีทุกท่านเป็นรองประธานกรรมการ และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการและเลขานุการ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีมีหนังสือถึงสำนักราชเลขาธิการเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตดำเนินการจัดงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามราชประเพณีและสมพระเกียรติยศทุกประการ ทั้งงานพระราชพิธี งานรัฐพิธี และงานศาสนพิธี รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดี ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดลำดับส่วนราชการของทุกกระทรวงเพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ไปร่วมในพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นเวลา ๑๐๐ วัน ๔. อนุมัติค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในเบื้องต้น ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติม และให้สำนักงบประมาณนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามนัยมาตรา ๑๘๑ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักงบประมาณดำเนินการรวบรวมข้อมูล และความเห็นที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง สรุปผลและแนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
32873 | การกำหนดตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวและการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2551 (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย) และขออนุมัติแต่งตั้ง นายจาดุร อภิชาตบุตร กลับไปดำรงตำแหน่งเดิม | นร | 01/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง การประชุมคณะรัฐมนตรี (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔)] เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่ค้างการดำเนินการและอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องคืนส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป ๒. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๒.๑ ให้ ก.พ. กำหนดตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มขึ้น ๑ ตำแหน่ง ในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราว ตามนัยมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ เพื่อเยียวยาและแก้ไขกรณีศาลปกครองมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือน โดยมีเงื่อนไขให้ยุบเลิกตำแหน่งดังกล่าว เมื่อผู้ครองตำแหน่งนี้พ้นไป หรือเมื่อมีตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีใดว่างลง ให้แต่งตั้งผู้ครองตำแหน่งนี้ในโอกาสแรก ทั้งนี้ โดยยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖) ที่กำหนดไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่เป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคคลภาครัฐด้วย ๒.๒ การได้รับเงินเดือน สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่ได้รับจากราชการหรือการใดที่ได้กระทำไปในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ให้เป็นไปตามนั้น โดยไม่มีการเรียกคืน เพื่อมิให้มีผลกระทบ ตามนัยมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยอนุโลม ๓. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๑ (เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย) ที่ได้อนุมัติแต่งตั้งนายจาดุร อภิชาตบุตร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหาร ๑๐) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ ๑๐) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๔. เมื่อนายจาดุร อภิชาตบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ ๑๐) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย กลับไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหาร ๑๐) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ แล้ว ให้ปรับเปลี่ยนเป็นตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประเภทบริหารระดับสูง (นักบริหาร) ตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใช้บังคับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๕. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องตามข้อ ๔ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๘๑ (๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
32874 | การขอขยายกรอบเวลาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ครัวเรือนละ 5,000 บาท ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | นร | 01/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายกรอบระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาทภาคใต้ ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่จังหวัดส่งรายชื่อครัวเรือนให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายหลังวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๔ ออกไปจนถึงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดยรายชื่อครัวเรือนที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและคณะอนุกรรมการตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยตรวจสอบแล้วว่ามีความถูกต้องกับพื้นที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัด รายชื่อไม่ซ้ำซ้อน และเป็นผู้มีสิทธิได้รับความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์คณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) กำหนด โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทยอยส่งรายชื่อครัวเรือนให้ธนาคารออมสินและให้จังหวัดร่วมกับธนาคารออมสินสาขาพื้นที่กำหนดแผนการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธานกรรมการ คชอ. เสนอ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เรื่อง การประชุมคณะรัฐมนตรี (๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔) ในประเด็นเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่ค้างการดำเนินการและอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องคืนส่วนราชการเจ้าของเรื่องเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
32875 | รายงานสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุโซนร้อนนกเตน | นร | 01/08/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุโซนร้อนนกเตนที่พัดผ่านสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีฝนตกกระจายทั่วไป ส่งผลให้เกิดอุทกภัยและเกิดความเสียหาย โดยภาคเหนือบางจังหวัดเกิดดินโคลนถล่ม เช่น อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ขณะที่จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดน่าน เกิดอุทกภัยอยู่แล้ว ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งทางจังหวัดกำลังเร่งระบายน้ำ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่บ้านเรือนราษฎรในหลายจังหวัด อย่างไรก็ตาม พายุโซนร้อนนกเตนได้ลดระดับพายุเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้ปริมาณฝนที่ตกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือลดลง แต่มีฝนตกกระจายวงกว้างมากขึ้น กรมชลประทานจึงจำเป็นต้องพร่องน้ำออกจากบางเขื่อนลงภาคกลาง และได้ประกาศเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำ ส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นในพื้นที่ราบลุ่มและพื้นที่การเกษตร โดยเฉพาะให้เร่งเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตร สำหรับภาคใต้ตอนบนฝั่งอันดามันและภาคตะวันออก ทะเลมีคลื่นสูง ๑ - ๒ เมตร ได้ประกาศไม่ให้เรือเล็กออกจากฝั่ง ซึ่งหย่อมความกดอากาศต่ำนี้จะยังคงมีอิทธิพลต่อประเทศไทยไปอีก ๒ - ๓ วัน หลังจากนั้นระดับน้ำจะลดลง ตามที่อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรายงาน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์และเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
32876 | ผลการศึกษาการแก้ไขปัญหาดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | นร | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการศึกษาการแก้ไขปัญหาดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สภาพปัญหา : จากผลการศึกษาสภาพปัญหาดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบปัญหาดินเค็มเป็นบริเวณกว้างประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งภาค โดยมีพื้นที่ประสบปัญหาดินเค็มประมาณ ๑๑.๕ ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ดินเค็มเล็กน้อย (พบคราบเกลือบนผิวดินน้อยกว่า ๑% น้ำใต้ดินเค็ม) ๗.๓ ล้านไร่ พื้นที่ดินเค็มปานกลาง (พบคราบเกลือบนผิวดิน ๑ - ๑๐%) ๓.๘ ล้านไร่ พื้นที่ดินเค็มมาก (พบคราบเกลือบนผิวดิน ๑๐ - ๕๐%) ๐.๒ ล้านไร่ และพื้นที่ดินเค็มมากที่สุด (พบคราบเกลือบนผิวดินมากกว่า ๕๐% ขึ้นไป) ๐.๑ ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการแพร่กระจายเกลืออีก ๒๐.๖ ล้านไร่ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติจากการผุพังสลายตัวของหินอมเกลือที่อยู่ลึกจากผิวดินเพียง ๑ - ๒ เมตร และเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยการตัดไม้ทำลายป่าบนพื้นที่รับน้ำจนทำให้สมดุลของน้ำเปลี่ยนแปลง น้ำใต้ดินเค็มในที่ลุ่มจะถูกยกระดับขึ้นมาใกล้ผิวดิน ทำให้เกิดการแพร่กระจายเกลือและเกิดปัญหาดินเค็มได้ ๒. การแก้ไขและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มในช่วงที่ผ่านมา มีดังนี้ ๒.๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ กรมพัฒนาที่ดินได้รับการจัดสรรงบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ดินเค็ม ประมาณ ๑๑๗ ล้านบาท แบ่งการดำเนินงานออกเป็น ๓ ส่วนตามสภาพพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็มน้อยและปานกลาง มีพื้นที่รวม ๑๑.๒ ล้านไร่ ได้มีการดำเนินการที่สำคัญไปแล้วไม่น้อยกว่า ๔.๙๕ ล้านไร่ พื้นที่ที่มีปัญหาดินเค็มจัด มีพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ ได้มีการดำเนินการที่สำคัญไปแล้วไม่น้อยกว่า ๗,๒๕๐ ไร่ และพื้นที่ดินเค็มทุกระดับ ได้ดำเนินกิจกรรมการป้องกันการเพิ่มเติมระดับน้ำใต้ดินบนพื้นที่เนินรับน้ำ โดยใช้น้ำจากบ่อขุดหรือบ่อบาดาลที่มีน้ำใต้ดินคุณภาพดีที่ไม่อยู่ลึกเกินไป เพื่อให้เกษตรกรสามารถประกอบการเกษตรได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๓ จำนวน ๓๒ แห่ง ๒.๒ การดำเนินโครงการนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่อการฟื้นฟูดินเค็ม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาที่ดิน (ภาครัฐ) เครือซีเมนต์ไทย (SCG) และบริษัท สยามฟอเรสทรี (ภาคเอกชน) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติจังหวัดสกลนคร (ภาควิชาการ) และกลุ่มเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ (ภาคประชาชน) โดยเน้นหลักการแก้ไขปัญหาแบบครบวงจรเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้ผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการจัดการองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ และรวมตัวเป็นเครือข่ายเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รวมทั้งสร้างวงจรการตลาดสินค้าที่ผลิตจากพื้นที่ดินเค็ม
|
|||||||||||||||||||||
32877 | ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 18 | พณ | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๕ - ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินการตามแผนงานการดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) รอบที่ ๑ (ช่วงปี ๒๕๕๑ - ๒๕๕๒) ซึ่งสามารถดำเนินการตามแผนได้ ๘๓.๘% (ไทยดำเนินการได้ ๙๓.๖๓%) ของมาตรการทั้งหมดที่ต้องดำเนินการในช่วงเวลาดังกล่าว และเห็นพ้องกันที่จะเร่งและขยายการดำเนินการและความร่วมมือในการลดช่องว่างระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกตามวัตถุประสงค์ของการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยไทยได้ให้ความเห็นว่าการจัดตั้งและบริหารกองทุนเพื่อการพัฒนา SME ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว จะช่วยให้การดำเนินการในเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถของ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้หารือเรื่องความผันผวนของราคาอาหารและพลังงาน รวมทั้งแนวโน้มของราคาสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยไทยได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การทำงานในเรื่องนี้ต้องประสานทำงานร่วมกับสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตรและการคลัง ซึ่งต่างต้องมีบทบาทหลักในการดำเนินการแก้ปัญหาร่วมกันด้วย ๒. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม ASEAN - EU Business Summit ครั้งที่ ๑ และการประชุม AEM - EU Trade Commissioner Consultations ได้พบหารือกับกรรมาธิการด้านการค้าสหภาพยุโรป รวมทั้งหารือกับประเทศอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับอัตราภาษีสรรพสามิตและการจำแนกประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของกรมสรรพสามิตของไทย แนวทางดำเนินการไปสู่การเตรียมจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทยและสหภาพยุโรป การผลักดันการจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์สินค้าข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ของไทยในสหภาพยุโรป การส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการเกษตร ข้าวหอมมะลิ แป้งข้าวเจ้า และแป้งข้าวเหนียวของไทยไปยังอินโดนีเซีย การยืนยันเส้นทางในส่วนของมาเลเซียที่เกี่ยวข้องกับพิธีสารฉบับที่ ๑ ภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการค้าผ่านแดน และการผลักดันการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคมของไทยและมาเลเซียในเรื่องการจัดทำความตกลงสองฝ่ายฉบับใหม่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าผ่านแดน
|
|||||||||||||||||||||
32878 | ความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | มท | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดประชุมเพื่อพิจารณาแก้ไขระเบียบ หลักเกณฑ์ และประกาศ ที่ออกตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมได้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำรายละเอียดชนิดของพืชที่มีความเสียหายจากการขาดน้ำว่ามีจำนวนกี่ชนิดและแต่ละชนิดใช้ระยะเวลากี่วัน และส่งให้ ปภ. เพื่อจะได้นัดประชุมหารือครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
32879 | ความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรที่ประสบอุทกภัยปี 2553 | กค | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษรตรกรลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัยปี ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรณีเกษตรกรลูกค้าเสียชีวิต ธ.ก.ส. ได้จำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดย ธ.ก.ส. รับภาระเอง จำนวน ๑๙ ราย รวมต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเป็นเงิน จำนวน ๑.๖๗ ล้านบาท ๒. กรณีเกษตรกรลูกค้าประสบภัยอย่างร้ายแรงและไม่เสียชีวิต ประกอบด้วย ๒.๑ หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย โดยขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๓ - ๒๕๕๕ ซึ่ง ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้สำรวจความเสียหายเป็นรายคนพบว่า มีเกษตรกรลูกค้าที่ประสบภัย จำนวน ๕๙ จังหวัด มีจำนวนเกษตรกรลูกค้า ๑๗๘,๘๖๒ ราย รวมมีหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย จำนวน ๒๘,๘๘๖.๙๙ ล้านบาท ๒.๒ การให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยให้วงเงินกู้รายละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราปกติ ร้อยละ ๓ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ซึ่ง ณ วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้จ่ายเงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรไปแล้ว จำนวน ๑๑,๕๖๓ ราย รวมจำนวนเงินกู้ ๖๑๖.๖๕ ล้านบาท ๓. ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลหลังน้ำลด โดยร่วมกับบริษัทเอกชนและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์ไฟฟ้าของเกษตรกรที่ชำรุดจากการเกิดอุทกภัย โดยมีพื้นที่ดำเนินการใน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา กำแพงเพชร ชัยนาท อ่างทอง และสระบุรี มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น ๒,๕๘๙ ราย |
|||||||||||||||||||||
32880 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม 2554 | อก | 12/07/2554 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมรถยนต์ คาดว่าจะทรงตัวเนื่องจากผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศยังได้รับผลกระทบจากการเกิดภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ขาดชิ้นส่วนรถยนต์ อาทิ ชิ้นส่วนสมองกล (Micro Computer Chip) ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเมืองเซนได หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ประกอบเป็นรถยนต์ สำหรับการผลิตรถยนต์ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๔๗ และส่งออกร้อยละ ๕๓ ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๐๔ จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๖.๒๓ จากการลดลงของ Hard Disk Drive รวมถึงปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจมหภาคยังคงส่งผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรม เช่น ราคาต้นทุนสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบ น้ำมันราคาแพง และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น
|
.....