ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1438 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 28741 - 28760 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28741 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" | สสป | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รวมทั้งควรจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปการศึกษาของชาติ โดยกำหนดระยะเวลาไว้ ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี และควรออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรนำพุทธปรัชญาการศึกษา และน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน" มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องนำไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก ๒. การศึกษากับการพัฒนาคนที่พึงประสงค์ ได้แก่ รัฐบาลควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมากำหนดเป็นคุณธรรมประจำชาติ และคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ และการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องปลูกฝังคนไทยให้มีคุณธรรมประจำชาติ หรือคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ตามที่กำหนด ๓. การศึกษากับการพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง ได้แก่ สถาบันการศึกษาจะต้องดำเนินการอบรมนักเรียน นักศึกษาให้เป็นผู้ที่พร้อมด้วยความเก่งและความดี ถือเป็นหน้าที่ในการช่วยพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง จัดทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและการพัฒนาสังคม และส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน โดยมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชนโดยเฉพาะ ๔. การศึกษากับการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ได้แก่ การศึกษาจะต้องช่วยให้สถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้มีความมั่นคง การศึกษาจะต้องสร้าง "พลเมืองดี" ให้เป็นกำลังที่สำคัญชาติบ้านเมือง ๕. ศาสนากับการศึกษา ได้แก่ รัฐบาลจะต้องถือเป็นนโยบายที่จะให้คนไทยมีทั้งศาสนาและการศึกษาตามพระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ควรนำวิชาศีลธรรมและวิชาหน้าที่พลเมืองกลับคืนมา ให้ความสำคัญกับการสอนวิชาศีลธรรม และวิชาหน้าที่พลเมือง ควรให้การส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธอย่างจริงจัง ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร ขวัญและกำลังใจ รวมทั้งควรจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียนวิถีพุทธพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ประจำโรงเรียน ๖. การพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่พึงประสงค์ ได้แก่ ครูที่พึงประสงค์ คือ ครูที่ทำหน้าที่ของครูอย่างสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของศิษย์ รัฐบาลควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้เป็นครูที่พึงประสงค์ มีจิตใจของการเป็นครู และควรจัดให้สถาบันผลิตครูใน ๕ ภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร รวมเป็น ๖ สถาบัน แต่ละสถาบันสามารถรองรับนักศึกษาสถาบันละ ๒๐๐ คน ๗. การอาชีวศึกษากับค่านิยมของสังคม ได้แก่ เปลี่ยนค่านิยมของสังคมให้เข้าใจว่าการประกอบอาชีพสุจริตถือว่าเป็นพลเมืองที่มีเกียรติ มิใช่ผู้ได้รับปริญญาเท่านั้นจึงมีเกียรติหรือได้รับความสำเร็จและความสุขในชีวิต ควรจัดให้ผู้เรียนในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานในสถานประกอบการเพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน นอกเหนือจากความรู้ทางทฤษฎีที่ได้จากสถานศึกษา และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสั่งสอนอบรมนักเรียนอาชีวศึกษาให้เป็นผู้มีความประพฤติดี มีพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีจิตอาสาหรือจิตสาธารณะ พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ ๘. สถาบันการศึกษาเอกชน ได้แก่ รัฐบาลควรให้การส่งเสริมสนับสนุนสถาบันการศึกษาเอกชน ทั้งในด้านงบประมาณ และเงินอุดหนุน เพื่อให้ครูในสถาบันการศึกษาเอกชนมีเงินเดือนและสวัสดิการเท่าเทียมกับครูในสถาบันการศึกษาของรัฐ ๙. การบริหารจัดการการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรระวังไม่ให้การเมืองเข้ามาทำลายประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษา ไม่ให้การศึกษาตกเป็นเครื่องมือของการเมือง ควรพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม รวมทั้งการฟื้นฟูกรมวิชาการให้กลับคืนมา ควรให้มีการกระจายอำนาจบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เนื่องจากการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าจะรวมงานทั้ง ๓ ด้าน ให้อยู่ในกระทรวงเดียวกันหรือไม่ โดยใช้ชื่อกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และควรส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษเพื่อรองรับและส่งเสริมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มผู้พิการ ให้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมีทรัพยากรรองรับตามความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28742 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) (นายศรัณยู อัมพาตระการ) | กต | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ นายศรัณยู อัมพาตระการ นักการทูตชำนาญการ สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28743 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | อื่นๆ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย กรณีค่าใช้จ่ายตามแผนจัดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำของกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน และกรมทรัพยากรน้ำ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ๑.๑ ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพของแผนและซักซ้อมในพื้นที่เป้าหมาย กรอบวงเงินตามแผน ๑๘๔.๓๖๕ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินแล้ว จำนวน ๗๓.๓๖๕ ล้านบาท ๑.๒ ด้านการสร้างระบบคลังเครื่องมือและอุปกรณ์ กรอบวงเงินตามแผน ๒,๙๐๕.๒๑๖ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีอนุมัติกรอบวงเงินแล้ว จำนวน ๔๓๕.๗๔ ล้านบาท ๑.๓ ด้านการจัดการน้ำเสียและขยะมูลฝอยในพื้นที่น้ำท่วมขัง กรอบวงเงินตามแผน ๗๑.๕ ล้านบาท ๒. สรุปค่าใช้จ่ายเบื้องต้นของแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ในระยะเร่งด่วน (อัตราขั้นต่ำที่ควรมีในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของ Depot) ๒.๑ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบการบัญชาการ (Incident Command System : ICS) กรอบวงเงิน ๕๓.๘๑๒๐ ล้านบาท การศึกษาและอบรมตามวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้สามารถอยู่กับสภาพน้ำท่วม กรอบวงเงิน ๑๙.๕๕๓๐ ล้านบาท ๒.๒ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำ ได้แก่ โครงการคลังเครื่องมือสำหรับบรรเทาสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำไฮดรอริก ขนาด ๓๐ นิ้ว พร้อมรถบรรทุก จำนวน ๒๔ เครื่อง กรอบวงเงิน ๒๑๖.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๓ กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพเรือ ได้แก่ โครงการเครื่องมือแก้ไขปัญหาอุทกภัย ประกอบด้วย เครื่องผลักดันน้ำ ขนาด ๐.๑ ลูกบาศก์เมตร จำนวน ๘๔ เครื่อง กรอบวงเงิน ๑๖๖.๗๔๐๐ ล้านบาท และจัดหารถบรรทุกขนาดใหญ่พร้อมเครน ขนาด ๒๕ ตัน จำนวน ๒ คัน กรอบวงเงิน ๑๑.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๔ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้แก่ ตะแกรงกันขยะเครื่องสูบน้ำ (ฝั่งตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา) จำนวน ๑๒๐ เครื่อง กรอบวงเงิน ๑๐๓.๖๐๐๐ ล้านบาท ตะแกรงกันขยะเครื่องสูบน้ำ (ฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยา) จำนวน ๑๒๐ เครื่อง กรอบวงเงิน ๘๙.๖๖๙๐ ล้านบาท และการติดตั้งแพลูกบวบสำหรับเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ (ความยาวรวม ๑,๖๐๑ เมตร) จำนวน ๔๑ แห่ง กรอบวงเงิน ๕๖.๒๐๗๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28744 | การเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการเตรียมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) และแนวทางการตรวจราชการของคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ควรมีแนวทางการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้ให้กับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด โดยพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า (ข้าว พืชผัก ไม้ผล) พัฒนาท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก และพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวของการค้าการลงทุนในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้ โดยใช้ความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของกลุ่มในการเชื่อมแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ๑.๒ แนวทางการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี กำหนดแนวทางการตรวจราชการเพื่อประกอบการพิจารณาคัดเลือกโครงการเพื่อจัดสรรงบประมาณภายในกรอบงบประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท โดย ๑.๒.๑ เป็นโครงการที่เน้นการสร้างรายได้จากสินค้าภาคเกษตร ซึ่งเป็นฐานรายได้ของกลุ่มจังหวัด อาทิ การแปรรูปสินค้าเกษตร การปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานสินค้าโอทอป เป็นต้น ๑.๒.๒ เป็นโครงการที่สนับสนุนการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นจุดเด่นของกลุ่มจังหวัด โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือการต่อยอดรายได้ท่องเที่ยวจากความโดดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก ๑.๒.๓ เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนที่ขาดหายไป (Missing Link) หรือชำรุดทรุดโทรม หรือที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ไม่มีงบประมาณรองรับมาก่อน ซึ่งทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงเส้นทางการคมนาคมขนส่งภายใต้แผนการเชื่อมโยง (Connectivity) ของระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ได้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งนำไปสู่การสร้างรายได้ของจังหวัด ๑.๒.๔ กรณีโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันน้ำท่วมและการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการชลประทาน ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) รับไปพิจารณาความเหมาะสม และพิจารณาจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพในการแก้ไขปัญหาในภาพรวมและในระดับโครงการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วยว่า การพิจารณาคัดเลือกโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อจัดสรรงบประมาณ ให้ยึดหลักการในการให้ความสำคัญกับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่สามารถใช้งบประมาณปกติและเป็นโครงการที่ประชาชนในจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดได้รับประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นโครงการต่อยอดจากยุทธศาสตร์ของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รวมทั้งให้เร่งรัดและปรับกำหนดเวลาการพิจารณาคัดเลือกโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อที่คณะรัฐมนตรีจะมีเวลาพิจารณาโครงการดังกล่าวได้อย่างละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28745 | การกำหนดให้วันรำลึกผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนโลก (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) เป็นวันสำคัญของชาติ | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบกำหนดให้วันอาทิตย์สัปดาห์ที่สามของเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันรำลึกผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนโลก (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims) และเป็นวันสำคัญของชาติ ๑.๒ ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนร่วมกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการระดมความร่วมมือเพื่อจัดงานวันรำลึกผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนโลก ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัดให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดงานโดยถือเป็นกิจกรรมประจำปีที่จะต้องให้ความสำคัญ ๒. ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนหารือกับราชบัณฑิตยสถานในการพิจารณาปรับแก้ชื่อ “วันรำลึกผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนโลก (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims)” ให้ถูกต้องเหมาะสมตามหลักภาษาไทยและสื่อความหมายได้ชัดเจน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการทำงานร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการในการลดอุบัติเหตุทางถนนและรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28746 | เอกสารสำคัญที่จะมีการลงนามในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 4 | กก | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนกับรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดียว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและอินเดียว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยเพิ่มเติมข้อบทเกี่ยวกับการปกป้องและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การรักษาความลับและชั้นความลับของเอกสาร สารสนเทศ และข้อมูล สำหรับประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากพิธีสารฯ คือ เป็นการเพิ่มบทบัญญัติเพื่อปกป้องและรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและอินเดีย ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ ในการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๓ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี ๒. ในส่วนของการจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28747 | ผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในการพัฒนาเยาวชน" | สสป | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในการพัฒนาเยาวชน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม (กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) กระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิดวงประทีป และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเยาวชน ได้แก่ ควรให้ความสำคัญในการพัฒนาเยาวชนให้มากยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้การพัฒนาเยาวชนเป็นวาระของชาติ เป็นนโยบายสาธารณะ กำหนดคุณสมบัติและคุณลักษณะของเยาวชนที่พึงประสงค์ เพื่อเป็นเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาเยาวชน และจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับการพัฒนาเยาวชนที่พึงประสงค์ โดยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำยุทธศาสตร์ ๒. บทบาทของการศึกษา ได้แก่ ควรปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม โดยมีเยาวชนเป็นเป้าหมายที่สำคัญ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องให้ความสำคัญแก่การศึกษาด้านจิตใจและศีลธรรมมากยิ่งขึ้น ควรปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ควรนำวิชาศีลธรรมและวิชาหน้าที่พลเมืองกลับคืนมา การศึกษาจะต้องทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และปรับปรุงหลักสูตรวิธีสอนและวิธีเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาและวัฒนธรรมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๓. บทบาทของศาสนา ได้แก่ ควรมีนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทย และส่งเสริมให้นักเรียนเรียนธรรมศึกษา โดยกำหนดว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาควรจะสอบได้ธรรมศึกษาตรี สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นควรสอบได้ธรรมศึกษาโท และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายควรสอบได้ธรรมศึกษาเอก ๔. บทบาทของวัฒนธรรม ได้แก่ ควรมีนโยบายและยุทธศาสตร์การส่งเสริมวัฒนธรรม ควรส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ทั้งวัฒนธรรมทางวัตถุและวัฒนธรรมทางจิตใจให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างสมดุลกัน และควรส่งเสริมวัฒนธรรมที่พึงประสงค์ทั้ง ๗ ด้าน ประกอบด้วย วัฒนธรรมในการดำรงชีพในการทำงาน ในการอยู่ร่วมกัน วัฒนธรรมเกี่ยวกับสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28748 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่บางส่วนของตำบลคอนสวรรค์ บางส่วนของตำบลโคกมั่งงอย บางส่วนของตำบลยางหวาย และบางส่วนของตำบลบ้านโสก อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28749 | การขออนุมัติใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในสัญญาจ้างก่อสร้างและข้อตกลงจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการบูรณะทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ถนนวงแหวนรอบนอก (ด้านตะวันออก) ภายใต้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น (Japanese Grant Aid) | คค | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงใช้วิธีอนุญาโตตุลาการระงับข้อพิพาทในสัญญาจ้างก่อสร้างและข้อตกลงจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการบูรณะทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๙ ถนนวงแหวนรอบนอก (ด้านตะวันออก) ภายใต้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น (Japanese Grant Aid) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28750 | การปรับปรุงโครงสร้างและการกำกับดูแลส่วนงานในการบริหารจัดการน้ำ [ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการ เกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | นร | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้แก้ไขถ้อยคำในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ จาก “จัดหาเงินกู้” เป็น “จัดสรรเงินกู้” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๒. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕] ที่เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอ ๓. เห็นชอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการ ตามที่ กบอ. เสนอ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการพัสดุในการดำเนินโครงการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารโครงการและการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ตามที่ กบอ. เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับส่วนราชการที่จะดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ควรมอบหมายให้ส่วนราชการระดับกรมที่มีภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวข้องโดยตรงกับเนื้องานเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนสิ้นสุดโครงการ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของ กบอ. ให้ชัดเจนเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งแก้ไขความในร่างระเบียบฯ จาก “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” เป็น “...ให้มีสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “สบอช.” เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี...” และแก้ไขความข้อ ๑๒ (๓) จากเดิม “(๓) ทำหน้าที่เป็นส่วนราชการเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” เป็น “(๓) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำ...” รวมทั้งแก้ไขถ้อยคำทุกแห่งของร่างประกาศฯ จากคำว่า “ส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หน่วยงานเจ้าของโครงการ” และคำว่า “หัวหน้าส่วนราชการเจ้าของโครงการ” เป็น “หัวหน้าหน่วยงานเจ้าของโครงการ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๕. สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนของการดำเนินงานของ สบอช. ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณผ่านสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศไทย ที่จัดสรรงบประมาณให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อมีการโอนการดำเนินการไปเป็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว ให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28751 | ขออนุมัติหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund และขออนุมัติใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท | กค | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ใช้วิธีการระงับข้อพิพาทด้วยวิธีอนุญาโตตุลาการที่กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากธนาคารโลกสำหรับโครงการ Market Readiness Proposal Partnership for Market Readiness (PMR) Multi-Donor Trust Fund ซึ่งมีองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าว โดยธนาคารโลกได้ส่งหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ เพื่อกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามยืนยันรับความช่วยเหลือฯ สำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ ข้อ ๑๗ ที่กำหนดให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเป็นผู้ดำเนินการเจรจาและลงนามขอรับความช่วยเหลือทางการเงินและทางวิชาการที่ไม่มีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย ๑.๒ เห็นชอบหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ออกหนังสือมอบอำนาจเต็มให้นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (Ms. Chularat Suteethorn Director-General, Public Debt Management Office)เป็นผู้ลงนามในหนังสือข้อตกลงรับความช่วยเหลือฯ จากธนาคารโลกในนามรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญาเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา และเมื่อพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานให้รีบแจ้งคู่สัญญาทราบเพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการจะต้องคัดเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ มีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ นอกจากนี้ โดยที่หนังสือข้อตกลงฯ เป็นสัญญาในระดับรัฐบาลระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ มิใช่เป็นสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนซึ่งประกอบธุรกิจโดยทั่วไป อาจพิจารณากำหนดเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าสัญญาระหว่างรัฐกับธนาคารโลกหรือองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ควรอยู่ในขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการบังคับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทสำหรับสัญญาทุกประเภทที่หน่วยงานของรัฐทำกับเอกชน) ด้วยหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28752 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 6 | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission-JTC) ระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ เพื่อให้มีการทำงานอย่างบูรณาการและเกิดผลเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงพาณิชย์ติดตามการขยายตัวการค้าไทย-เมียนมาร์ให้เพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่าภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จากมูลค่าการค้าปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๒ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน ติดตามประเด็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านกฎระเบียบการค้าและการลงทุน การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดงานแสดงสินค้า นิทรรศการ และการจับคู่/สร้างเครือข่ายธุรกิจให้บ่อยครั้งขึ้นในสถานที่ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงในจังหวัดชายแดน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมการส่งเสริมการค้าและการลงทุนเป็นครั้งคราว การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการออกไปลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการส่งเสริมให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จากสภาธุรกิจไทย-เมียนมาร์ ๑.๓ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน (ASEAN5-E) ของ ๕ ประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าว (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม) ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และการจัดกิจกรรมร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ ๑.๔ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ ติดตามประเด็นการผลักดันและติดตามการจัดทำแผนงานการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จุดผ่านแดนที่มีอยู่ การผลักดันการยกระดับและการเปิดจุดผ่านแดนที่ถูกปิดไปขึ้นใหม่ รวมถึงการเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ในพื้นที่ที่เหมาะสมและจำเป็น การสนับสนุนการนำอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาใช้ในจุดผ่านแดนต่างๆ ๑.๕ ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ติดตามประเด็นการผลักดันให้มีการหารืออย่างสม่ำเสมอระหว่างธนาคารกลางของทั้งสองประเทศ การผลักดันการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเงินบาทมาใช้ในระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของเมียนมาร์ และการสนับสนุนความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างธนาคารกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่าย ๑.๖ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ สมาคมวิชาชีพสาธารณสุข สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ติดตามประเด็นการผลักดันความร่วมมือด้านบริการสุขภาพเพื่อขยายโอกาสการทำธุรกิจบริการสุขภาพของไทยในเมียนมาร์ และหาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านการบริหารจัดการ ประชุม และสัมมนา (Meetings, Incentives, Conferencing and Exhibitions : MICE) ๑.๗ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ติดตามประเด็นการจัดทำความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเดียว (Single tourist destination) การสนับสนุนการใช้วีซ่าเดียว (Single visa) ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงการขนส่งทางอากาศ และการสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับโครงการที่มีกลไกคณะกรรมการกำกับดูแล อาทิ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งมีคณะกรรมการร่วมระดับสูงและคณะกรรมการประสานงานระหว่างไทย-เมียนมาร์เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้องภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกลไกหลัก และการเปิดจุดผ่านแดน ซึ่งมีคณะอนุกรรมการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนภายใต้การดูแลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกลไกหลักและเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ในการยกระดับจุดผ่านแดนที่มีอยู่และการเปิดจุดผ่านแดนใหม่ ต้องพิจารณาในภาพรวมอย่างสมดุลทั้งมิติด้านเศรษฐกิจและมิติด้านความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28753 | การขออนุมัติจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์อาเซียน - จีน ณ กรุงปักกิ่ง | กต | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ของศูนย์อาเซียน-จีน (ASEAN-China Centre) ณ กรุงปักกิ่ง ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ วาระ ๓ ปี โดยไม่ถือเป็นการลาไปปฏิบัติหน้าที่ในองค์การระหว่างประเทศ และให้ได้รับสิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายเทียบเท่ากับข้าราชการในระดับเดียวกันที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรร สำหรับปีงบประมาณต่อๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ผู้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ที่ศูนย์อาเซียน-จีน ควรเลือกสรรจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านภาษาท้องถิ่นและมีความเชี่ยวชาญด้านสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28754 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกเป็นอาคาร คสล. 4 ชั้น โรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย | สธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก เป็นอาคาร คสล. ๔ ชั้นโรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับรายละเอียดในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่า หากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ และได้ต่อรองราคาจนถึงที่สุดแล้ว ก็เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกดังกล่าว ในวงเงิน ๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว จำนวน ๑๘,๒๙๓,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๕๑,๗๐๗,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ แต่โดยที่รายการค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกดังกล่าวมีวงเงินและระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ ขอให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕- พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๘ ก่อนลงนามในสัญญาตามนัยข้อ ๗(๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28755 | การให้การดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม | สธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการที่ให้การดูแลทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กระทรวงสาธารณสุขจะได้กำหนดร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการที่ให้การดูแลการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และอนามัยเจริญพันธุ์ในแรงงานต่างด้าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาแนวทางการสร้างแรงจูงใจให้แก่กลุ่มที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพเข้ามาสู่ระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น และพิจารณาแนวทางการพัฒนารูปแบบการติดตามคนต่างด้าวที่อยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการและผู้ติดตามให้เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28756 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี (Joint Ministerial Statement : JMS) มีสาระสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ฉบับใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดทำกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคที่ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานรายสาขาและรายประเทศแล้วเสร็จ พร้อมทั้งได้ให้แนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการลงทุน GMS และการนำกรอบการลงทุนฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ เห็นชอบผลการดำเนินงานสำคัญของสาขาความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ การขยายระยะเวลาการดำเนินงานของแผนงานสนับสนุนด้านการเกษตร ระยะที่ ๒ ให้สิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ แนวคิดการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในระยะเริ่มแรก และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ รับทราบความก้าวหน้าการจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาคที่ได้จัดทำการประเมินผลการพัฒนารายสาขา และผลการประเมินรายประเทศแล้วเสร็จ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบระเบียงเศรษฐกิจควรสอดคล้องและสนับสนุนความต้องการในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Demand-driven) การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการค้า รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างแผนพัฒนาของประเทศสมาชิกกับโครงการในระดับภูมิภาค การใช้แนวทางการพัฒนาหลากหลายสาขา การกำหนดสาขาการพัฒนาที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีลำดับความสำคัญสูง และการจัดลำดับความสำคัญเชิงพื้นที่ในการพัฒนาตามหลักการพิจารณาที่เหมาะสม ๑.๔ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกับภาคีการพัฒนา อาทิ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย (Australian Agency for International Development : AusAID) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ความริเริ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative : LMI) คณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เป็นต้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS ได้แก่ การเร่งรัดกระบวนการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าการจัดทำบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และการดำเนินงาน ๙ สาขาความร่วมมือและการพัฒนาเมือง (คมนาคม โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เกษตร และสิ่งแวดล้อม) เพื่อคัดเลือกแผนงานโครงการที่มีศักยภาพในส่วนของไทย และเสนอให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) รวบรวมเป็นแผนงานโครงการภายใต้กรอบการลงทุนของภูมิภาค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28757 | การกู้เงินปีงบประมาณ 2556 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินรวม ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ Roll-over จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว และให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาหาแนวทางในการอนุมัติเงินกู้ โดยคำนึงถึงข้อกฎหมายในการดำเนินการจัดหาเงินกู้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจสามารถจัดหาเงินกู้สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจได้ทันต่อสถานการณ์และมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28758 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2/2555 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ เนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฝ่ายไทยรับทราบข้อมูลการจัดทำกรอบความตกลง (Framework Agreement) ฉบับใหม่ และบทบาทของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ โดยเห็นว่า สถานะของ บมจ. อิตาเลียนไทยฯ จะยังต้องมีอยู่ในฐานะนักลงทุน/นักพัฒนารายหนึ่งในกลุ่มใหม่ ๒. เมียนมาร์อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษทุกแห่งและจะใช้แทนกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่จะระบุสิทธิพิเศษสำหรับผู้พัฒนาโครงการ (Developer) นอกเหนือจากนักลงทุน (Investor) ที่มีระบุแต่เดิม และจะแบ่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตปลอดอากร (Free Zone) สำหรับธุรกิจเพื่อการส่งออก และ Promotion Zone สำหรับธุรกิจการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ รวมทั้งจะอนุญาตให้มีการลงทุนของต่างชาติแบบ ๑๐๐% และมีศูนย์ One-stop Service ในทุกเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การยกเว้นและลดหย่อนภาษีสำหรับผู้พัฒนาโครงการใน ๘ ปีแรก และนักลงทุนในเขตปลอดอากร ๗ ปีแรก ในเขต Promotion Zone ๕ ปีแรก รวมทั้งสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร ภาษีการค้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และรับประกันว่าจะไม่มีการยึดกิจการ นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นเวลา ๕๐ ปี และต่ออายุได้ถึง ๒๕ ปี ๓. การประชุมฯ ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ประเทศไทย ๔. ที่ประชุมรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วม ๖ สาขา ได้แก่ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการเงินและคณะอนุกรรมการด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง คณะอนุกรรมการร่วมด้านอุตสาหกรรมเฉพาะและการพัฒนาธุรกิจ คณะอนุกรรมการร่วมด้านพลังงาน และคณะอนุกรรมการร่วมด้านการพัฒนาชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28759 | การกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการกำกับดูแล ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ได้แก่ ๑.๑.๑ การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า กลุ่มที่ ๒ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก กลุ่มที่ ๓ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และกลุ่มที่ ๔ หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ ๑.๑.๒ การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ ๑.๑.๓ การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ๓ ระดับ คือ Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และ Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน ๑.๒ ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการไม่มีการกักตุนสินค้า ๒. มาตรการกำกับดูแล ๒.๑ มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม ๒.๒ มาตรการบริหาร ได้แก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และการประกาศราคาแนะนำสินค้า ๒.๓ การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป น้ำมันพืชบริโภค ปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อาหารปรุงสำเร็จ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และกลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28760 | คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กห | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ๓. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๔. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๕. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๖. คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า
|
.....