ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1435 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 28681 - 28700 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28681 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" | สสป | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติด้านบริการรักษาพยาบาล" โดยในส่วนความเห็นสำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะด้านหลักการของการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติ ต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาด้านวิชาการและเทคโนโลยีทางด้านแพทย์และสาธารณสุขเป็นหลัก และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงความเป็นเลิศนี้ โดยต้องไม่ปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ใช้บริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพและระบบอื่น ๆ รวมทั้งต้องสร้างให้เกิดความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ตลอดจนมีแผนการดำเนินการที่ไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อระบบสุขภาพของประเทศ และเปิดเผยแผนฯ ต่อสาธารณชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การดำเนินการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติต้องสอดคล้องกับธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องนโยบายการเป็นศูนย์กลางการสุขภาพนานาชาติ ๒. ข้อเสนอต่อรัฐบาล กำหนดนโยบาย ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่สนับสนุน อาทิ ดำเนินนโยบายการเป็นศูนย์กลางการแพทย์นานาชาติที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๐ (๒) ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ และมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่องนโยบายการเป็นศูนย์กลางการสุขภาพนานาชาติ และการจัดสรรเงินรายได้ของผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ในการลงทุนผลิตและพัฒนากำลังคนทางการแพทย์ เพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพในชนบทอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มการลงทุนด้านงบประมาณอย่างต่อเนื่อง และวางแผนเพิ่มการผลิตกำลังคนให้เพียงพอ เป็นต้น ๓. ข้อเสนอสำหรับผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ อาทิ มีการจัดสรรเงินรายได้ (Gross Revenue) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ มาลงทุนในด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนสำหรับการพัฒนาระบบสุขภาพในชนบทอย่างต่อเนื่อง กำหนดแผนและมาตรการที่เป็นหลักประกันการเข้าถึงบริการของศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติของผู้ป่วยชาวไทยอย่างเท่าเทียม และหากมีการจ้างงานหรือนำเข้าบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาที่ขาดแคลนจากต่างประเทศจะต้องดำเนินการตาม WHO Global Code of Practive on the International Recruitment of Health personnel เป็นต้น ๔. การติดตาม เฝ้าระวัง ต้องมีกลไกร่วมระหว่างรัฐและผู้ดำเนินการตามนโยบายการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ และหน่วยงานวิชาการเพื่อการติดตาม ประเมินสถานการณ์ในระดับประเทศอย่างสม่ำเสมอ การจัดระบบการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลจำนวนของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยว การเคลื่อนย้ายของบุคลากร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28682 | รายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ 1 สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] โดย รฟท. ได้จัดทำรายละเอียดการปรับเพิ่มวงเงินสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) แยกเป็นรายการ พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการขอปรับเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองดังกล่าว เพื่อประกอบการพิจารณาแหล่งเงินที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินโครงการต่อไปแล้ว และได้ส่งให้กระทรวงการคลังรับทราบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28683 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอนุบาลชุมพร | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียน แบบ ๓๒๔ ล. ตอกเข็ม โรงเรียนอนุบาลชุมพร จังหวัดชุมพร จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๒๔,๕๕๖,๔๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๒๕๗,๗๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๖,๖๕๐,๕๐๐ บาท และให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๑,๘๐๙,๘๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้ใช้เงินรายได้สถานศึกษาสมทบ อีกจำนวน ๒,๘๓๘,๔๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28684 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ | พณ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๘ เดือน จำนวน ๑,๓๐๐ จุด เป็นเงิน ๑๒๖,๓๖๐,๐๐๐ บาท และจุดรับจำนำโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๕/๕๖ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำ จุดละ ๒ คน ๆ ละ ๒๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖ ระยะเวลา ๔ เดือน จำนวน ๖๕๐ จุด เป็นเงิน ๓๑,๔๖๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๕๗,๘๒๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำดังกล่าว ให้เจียดจ่ายจากเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อน หากไม่สามารถเจียดจ่ายได้ เห็นควรสนับสนุนเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเฉพาะในส่วนที่ไม่เพียงพอ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดรับจำนำกำกับดูแลและให้ความเป็นธรรมแก่เกษตรกรที่นำข้าวเปลือกและมันสำปะหลังมาเข้าร่วมโครงการฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์กำหนดระบบตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุด เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเต็มที่ และป้องกันการฮั้วระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าของโรงสี รวมทั้งประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน ให้มีการรายงานผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดเกี่ยวกับการรับจำนำ โดยเน้นด้านการตรวจสอบการทุจริต เช่น การตรวจวัดความชื้น การชั่งน้ำหนัก เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28685 | ผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ 3 ปี (พ.ศ. 2553 - 2555) ภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ 5 ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่ม (ระยะ ๕ ปี) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกอบด้วย แผนงาน/โครงการที่ต้องดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๙๒ แผนงาน/โครงการ งบประมาณทั้งสิ้น ๑๒,๘๐๗.๖๑๑๖ ล้านบาท มีหน่วยงานร่วมบูรณาการทั้งสิ้น ๓๐ หน่วยงาน ๒. หน่วยงานที่ร่วมบูรณาการได้แจ้งผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบ จำนวน ๒๓ หน่วยงาน โดยได้รับงบประมาณเพื่อดำเนินการ จำนวน ๓๒ โครงการ เป็นเงิน ๓๔,๔๙๑.๘๑๘๘ ล้านบาท ๓. จากการรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณ ระยะ ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๕) ภายใต้แผนแม่บทฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ตั้งข้อสังเกตเพื่อใช้ในการบริหารจัดการอุทกภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดย ๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการจัดการหลังเกิดภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับงบประมาณเกินกว่าที่ตั้งไว้เป็นจำนวนมากเนื่องจากเกิดมหาอุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้รับงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อนำไปดำเนินการฟื้นฟู ซ่อมแซม เช่น การซ่อมสร้างเส้นทางคมนาคม สะพาน ระบบไฟฟ้า ซ่อมแซมฝาย อ่างเก็บน้ำ ประตูน้ำ รวมถึงการฟื้นฟูด้านจิตใจ และการสร้างอาชีพแก่ผู้ประสบภัย เป็นต้น ๓.๒ จากข้อมูลที่ปรากฏพบว่ารัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการจัดการหลังเกิดภัยสูงกว่างบประมาณในด้านการป้องกันและการเตรียมความพร้อมถึงร้อยละ ๙๗.๙๗ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็น ในการป้องกันและเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งจะมีผลทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูได้เป็นจำนวนมาก ๓.๓ จากการวิจัยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ โดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) พบว่าหากลงทุนในการป้องกันภัยพิบัติ ๑ บาท จะสามารถลดความเสียหายจากภัยพิบัติได้ถึง ๘ บาท ดังนั้น หากลงทุนในเรื่องการป้องกันและการเตรียมความพร้อมจากภัยพิบัติจะไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในด้านการจัดการหลังเกิดภัย ซึ่งแนวทางดังกล่าวนับเป็นการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28686 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม 2555 | พณ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๘๖ เทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๑๖.๔๑ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๙ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ลดลง ร้อยละ ๐.๓๕) จากการสูงขึ้นของราคาอาหารสดและน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ โดยดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น ร้อยละ ๒๑.๙๕ สาเหตุจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนทำให้พืชผักหลายชนิดได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ ไข่และผลิตภัณฑ์นม เครื่องประกอบอาหารและอาหารสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นตามภาวะต้นทุนการผลิต ขณะที่สินค้าประเภทเนื้อสุกร ข้าวแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และผลไม้สดมีราคาลดลงตามปริมาณผลผลิตและภาวะตลาด สำหรับดัชนีหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๐.๑๑ เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา เป็นสำคัญ ๒. พิจารณาเทียบกับดัชนีราคาเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๖๓ จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๔.๐๐ โดยดัชนีราคาหมวดปลาและสัตว์น้ำ ร้อยละ ๓.๙๓ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๖.๗๙ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๒.๔๐ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๕๘ และอาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๓.๓๒ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๓.๓๙ จากการสูงขึ้นของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๓.๓๘ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๙ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๒๕ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ร้อยละ ๔.๔๑หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๗.๕๙ หมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๙ ๓. พิจารณาดัชนีเฉลี่ยปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เทียบกับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สูงขึ้น ร้อยละ ๓.๐๒ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๔.๘๕ และดัชนีหมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น ร้อยละ ๑.๘๕ ตามการสูงขึ้นของหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ร้อยละ ๒.๑๑ เนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ร้อยละ ๐.๙๐ ผักและผลไม้ ร้อยละ ๑๒.๐๐ เครื่องประกอบอาหาร ร้อยละ ๕.๔๓ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๗๓ อาหารสำเร็จรูป ร้อยละ ๕.๕๗ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเคหสถาน ร้อยละ ๒.๗๓ ค่าน้ำประปา ร้อยละ ๖.๖๔ ค่ากระแสไฟฟ้า ร้อยละ ๑๕.๗๘ ค่าเช่าบ้าน ร้อยละ ๐.๔๒ หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ร้อยละ ๑.๐๙ หมวดยานพาหนะการขนส่งและการสื่อสาร ร้อยละ ๑.๕๖ หมวดบันเทิงการอ่าน การศึกษาและการศาสนา ร้อยละ ๐.๔๑ และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๒.๙๕ ๔. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ เท่ากับ ๑๐๘.๘๘ เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๔ (เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ สูงขึ้น ร้อยละ ๐.๐๕) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำประปา วัสดุก่อสร้าง (แผ่นไม้อัด ปูนซีเมนต์) ค่าของใช้ส่วนบุคคล (สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ใบมีดโกน น้ำมันใส่ผม กระดาษชำระ ผ้าอนามัย) ค่าบริการส่วนบุคคล (ค่าแต่งผมบุรุษ-สตรี) สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด [ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ไม้กวาด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น (น้ำยาถูพื้น) สารกำจัดแมลง/ไล่แมลง] เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (เบียร์) สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง เช่น บริภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ ๐.๐๑ (ตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า) และค่าอุปกรณ์การบันเทิง ร้อยละ ๐.๐๒ (เครื่องรับโทรทัศน์)
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28687 | การนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน (KKFC) เพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ | ทส | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก นำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเห็นชอบเอกสารนำเสนอพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการแก้ไขชื่อภาษาอังกฤษของพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน จากเดิม "Kaeng Krachan Forest Complex : KKFC" เป็น "Thailand Western Forest Complex" ก่อนนำเสนอไปยังศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ๓. เพื่อให้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน รวมทั้งพื้นที่กลุ่มป่าอื่นๆ ของไทยทุกแห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไว้แล้ว เช่น มรดกโลกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง มรดกโลกป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นต้น มีกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและการบริหารจัดการพื้นที่โดยมีการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นเจ้าภาพรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่กลุ่มป่าดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
28688 | ผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเชิญนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเยือนไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญให้นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเดินทางเยือนไทย ทั้งด้วยวาจา (ระหว่างการหารือทวิภาคี) และในหนังสือขอบคุณหลังเสร็จสิ้นการเยือนแล้ว ซึ่งสหราชอาณาจักรตอบรับ ๒. การจัดการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร ครั้งที่ ๑ โดยนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมในการจัดตั้งกลไกการหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหราชอาณาจักร (Thailand-United Kingdom Strategic Dialogue) เป็นกลไกหารือประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทั้งประเด็นทวิภาคี ภูมิภาค และประเด็นระหว่างประเทศ ๓. การค้าและการลงทุน โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุน/ดำเนินธุรกิจในสหราชอาณาจักร และต้องการ ผลักดันให้มีการเพิ่มปริมาณการลงทุนของบริษัทสหราชอาณาจักรในประเทศไทย โดยเฉพาะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ในโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และการป้องกันอุทกภัย รวมทั้งขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนการขยายโควตาการนำเข้าไก่สดแช่แข็งของไทยเข้าสหภาพยุโรป สำหรับสหราชอาณาจักรย้ำความสำคัญของการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน ๔. การถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ โดยสหราชอาณาจักรเสนอที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของสหราชอาณาจักรในกรณีไอร์แลนด์เหนือ เพื่อเป็นกรณีศึกษาที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการปรองดองแห่งชาติของไทย ๕. ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง โดยสหราชอาณาจักรแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหม และความมั่นคงกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะในด้านการต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ๖. การศึกษา โดยฝ่ายไทยประสงค์จะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจากฝ่ายสหราชอาณาจักรต่อไป เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนปี ค.ศ. ๒๐๑๕ ๗. มาตรการตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของสหราชอาณาจักร โดยฝ่ายไทยขอให้สหราชอาณาจักรพิจารณาผ่อนปรนข้อกำหนดที่เข้มงวดในการขอรับตรวจตราสำหรับพ่อครัว/แม่ครัวไทยที่ประสงค์จะไปทำงานที่สหราชอาณาจักร แต่ฝ่ายสหราชอาณาจักรย้ำถึงความจำเป็นในการคงกฎระเบียบดังกล่าวเพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ๘. พลังงานทางเลือก โดยไทยสนใจที่จะขอรับการสนับสนุนองค์ความรู้และนวัตกรรมเรื่องพลังงานทดแทนจากสหราชอาณจักร ๙. อุตสาหกรรมอาหาร โดยไทยสนใจขอรับการสนับสนุนด้านองค์ความรู้และนวัตกรรมในด้านอุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งภาคเอกชนสหราชอาณาจักรมีความเชี่ยวชาญ ๑๐. การท่องเที่ยว โดยสหราชอาณาจักรแสดงความห่วงกังวลเรื่องปัญหาการหลอกลวงนักท่องเที่ยว อาชญากรรม และมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนในไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของภาคเอกชนสหราชอาณาจักร อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ไปพร้อมกับการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวเดิม ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวประเทศไทยผ่านสื่อมวลชนระดับโลก ให้ไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์กรองปรีซ์ (Grand Prix) การจัดเตรียมบริการรองรับเที่ยวบินพิเศษ (chartered flight) การเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะ (niche market) และความไม่สอดคล้องของการตรวจลงตรานักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางบกและทางอากาศ (๑๕ วัน และ ๓๐ วัน ตามลำดับ) เป็นต้น ๑๑. เมียนมาร์ โดยไทยขอให้สหราชอาณาจักรสนับสนุนพัฒนาการในเมียนมาร์ให้มีปฏิสัมพันธ์อย่างสมดุล โดยเฉพาะการผลักดันให้สภาพยุโรปยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรโดยสมบูรณ์ และขอให้สหราชอาณาจักรร่วมมือพัฒนาเมียนมาร์กับไทยในลักษณะไตรภาคี ๑๒. บทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยไทยขอรับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรต่อการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ และการสมัครเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกครั้งในวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๑๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28689 | ผลการประชุมผู้นำเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 9 | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๙ (The 9th Asia-Europe Meeting : ASEM 9) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชาว (สปป.ลาว) ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สาธารณรัฐโปแลนด์ ได้แก่ การเชิญนายโดนัลด์ ทุสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ การสนับสนุนให้ภาคเอกชนไทยและโปแลนด์มีความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกันมากขึ้น โดยการจัดตั้งกลไกเพื่อหารือ และการเชิญชวนให้โปแลนด์นำเข้าข้าวจากไทย การเร่งรัดการพิจารณาร่างความตกลงว่าด้วยการรักษาข้อมูลลับ และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากโปแลนด์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การแลกเสียงระหว่างการสมัครเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย กับการสมัครวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ของโปแลนด์ และการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจไทย-โปแลนด์ ๒. ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้แก่ การจัดตั้ง Joint-Committee ไทย-นอร์เวย์ การขอยกเว้นการตรวจลงตราเขตเชงเก้น และร่วมมือกับนอร์เวย์ในลักษณะไตรภาคีเพื่อให้ความช่วยเหลือเมียนมาร์ ๓. สาธารณรัฐอิตาลี ได้แก่ การเยือนอิตาลีของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีอิตาลี การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทยกับอิตาลีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การส่งตัวนาย Vito Roberto Palazzolo เป็นผู้ร้ายข้ามแดน การดำเนินคดีกรณีการเสียชีวิตของนาย Fabio Polenghi ช่างภาพอิสระ ๔. มองโกเลีย ได้แก่ การเยือนมองโกเลียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีมองโกเลีย การเป็นเจ้าภาพการประชุม Community of Democracies ที่กรุงอูลานบาตอร์ ของมองโกเลีย ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๖ การลงทุนในสาขาเหมืองแร่และสาขาอื่นในมองโกเลีย การสนับสนุนมองโกเลียในการสมัครเป็นสมาชิกกรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit : EAS) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย (Asia Pacific Economic Cooperation : APEC) และการเปิดบริการบินตรง กรุงเทพฯ-กรุงอูลานบาตอร์ ๕. ญี่ปุ่น ได้แก่ การยกเลิกมาตรการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ไก่สด แช่แข็ง และไก่แช่เย็นจากไทย การเปิดเสรีสินค้าเกษตรเพิ่มเติมภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างไทยกับญี่ปุ่น เช่น ระบบราง ระบบ ICT การเชิญญี่ปุ่นร่วมมือในโครงการพัฒนาพื้นที่ทวาย การจัดกิจกรรมฉลอง ๔๐ ปี ความสัมพันธ์กรอบอาเซียน-ญี่ปุ่น รวมถึงการจัดประชุมผู้นำอาเซียน-ญี่ปุ่นสมัยพิเศษในเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ และการสนับสนุนกรุงโตเกียวในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๖. สาธารณรัฐฟินแลนด์ ได้แก่ การพัฒนาประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของฟินแลนด์ และการเชิญนายกรัฐมนตรีฟินแลนด์เยือนไทย ๗. สาธารณรัฐบัลแกเรีย ได้แก่ การเยือนบัลแกเรียของนายกรัฐมนตรีตามคำเชิญของประธานาธิบดีบัลแกเรีย ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และการขอเสียงสนับสนุนจากบัลแกเรียในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ วาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ของไทย ๘. สาธารณรัฐเอสโตเนีย ได้แก่ การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาเอสโตเนียเพื่อการท่องเที่ยวพำนักได้ ๓๐ วัน การยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเก้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย การเชิญนายกรัฐมนตรีเอสโตเนียเยือนไทย และการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร (IT) ๙. สปป.ลาว ได้แก่ การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยการจัดประชุม JBC ครั้งที่ ๙ ปัญหายาเสพติด การชี้แจงทำความเข้าใจกับประเทศที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับโครงการไซยะบุรี ความคืบหน้าโครงการสะพานมิตรภาพ ๔ ข้อเสนอโครงการสะพานมิตรภาพ ๕ และสะพานสำหรับทางรถไฟหนองคาย-เวียงจันทน์ และการหารือเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระบบรถไฟความเร็วสูง ๑๐. สาธารณรัฐฮังการี ได้แก่ การเยือนฮังการีของนายกรัฐมนตรี ความร่วมมือด้านการเงินการคลังร่วมกัน การเลื่อนการเยือนฮังการีของรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุม Joint Economic Commission (JEC) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ความร่วมมือระหว่าง VITUKI Academy ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-ฮังการี ครั้งที่ ๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28690 | ผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนคูเวตอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภายหลังการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ความสัมพันธ์ในภาพรวม ผลการหารือ ๑.๑ นายกรัฐมนตรีย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในตลาดทุน ความมั่นคงทางอาหาร พลังงาน การบริการทางสุขภาพ การท่องเที่ยวและอัญมณี หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ๑.๒ ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Committee : JC) ไทย-คูเวต ครั้งที่ ๒ ที่จังหวัดภูเก็ต ในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ด้านการค้า ผลการหารือ การพบปะระหว่างภาคเอกชนไทยกับคูเวตประสบผลสำเร็จ และส่งผลให้มีการสร้างเครือข่ายและการเจรจาธุรกิจรายสาขาต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเพิ่มพูนมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๓. การก่อสร้าง ผลการหารือ ไทยขอให้ฝ่ายคูเวตพิจารณาสนับสนุนภาคเอกชนไทยเข้าร่วมการประมูลในโครงการเพื่อการพัฒนาแห่งชาติคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๔. ด้านสาธารณสุขและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผลการหารือ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านสาธารณสุขและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพผ่านความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ และได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-คูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๕. ด้านตลาดเงินทุน ผลการหารือ คูเวตพร้อมที่จะพิจารณาสนับสนุนไทยในโครงการพัฒนาแห่งชาติและสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านกองทุน Kuwait Fund for Arab Economic Development รวมทั้งการลงทุนในตลาดเงินทุนไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ๖. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปฏิบัติตามความตกลงที่ลงนามไปแล้ว และที่กำลังดำเนินการ ได้แก่ ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีซ้อนระหว่างไทยและคูเวต และความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างไทยกับคูเวต หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28691 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... | รง | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ลดอัตราเงินสมทบที่นายจ้างและผู้ประกันตนจะต้องออกเพื่อสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ อัตราเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และคลอดบุตร (๔ กรณี) ในส่วนของรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน จากเดิมจัดเก็บในส่วนของรัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน จัดเก็บฝ่ายละร้อยละ ๑.๕ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน ๑.๒ อัตราเงินสมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ (๒ กรณี) รัฐบาล ฝ่ายละร้อยละ ๒ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน สำหรับในส่วนของนายจ้าง ผู้ประกันตน ฝ่ายละร้อยละ ๓ ของค่าจ้างผู้ประกันตน จากเดิมจัดเก็บในส่วนของรัฐบาลร้อยละ ๑ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน นายจ้าง และผู้ประกันตน จัดเก็บฝ่ายละร้อยละ ๓ ของค่าจ้างของผู้ประกันตน ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการศึกษาในรายละเอียดสำหรับการกำหนดอัตราเงินสมทบและเพดานเงินเดือนของผู้ประกันตนที่นำมาใช้ในการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุน ๒ กรณี (กรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมและสร้างหลักประกันที่มั่นคงในการดำรงชีวิตหลังวัยทำงาน และเพื่อสร้างความมั่นคงและความยั่งยืนให้กับกองทุนในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28692 | การดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยโบราณคดีและวิจิตรศิลป์ขององค์การรัฐมนตรีศึกษาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือศูนย์ซีมีโอ สปาฟา (SEAMEO Regional Centre for Archaeology and Fine Arts : SPAFA) ๑.๑ ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ได้มีการดำเนินโครงการตั้งแต่แผนพัฒนา ๕ ปี ระยะที่ ๑ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๓๐/๒๕๓๑-๒๕๓๔/๒๕๓๕) ถึงระยะที่ ๕ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๐/๒๕๕๑-๒๕๕๔/๒๕๕๕) ประกอบด้วยโครงการรวมทั้งสิ้น ๑๙๓ โครงการ แบ่งออกเป็นด้านโบราณคดี จำนวน ๑๑๑ โครงการ ด้านทัศนศิลป์ จำนวน ๒๒ โครงการ ด้านศิลปะการแสดง จำนวน ๒๓ โครงการ และด้านอื่นๆ จำนวน ๓๗ โครงการ ซึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยกิจกรรมเน้นการสร้างความสมานฉันท์ ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และการพัฒนาเพื่อปลูกฝังความตระหนักและชื่นชมในมรดกทางวัฒนธรรมผ่านความร่วมมือต่าง ๆ สำหรับกิจกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายการวางรากฐานของประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ที่เห็นได้ชัดคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านทักษะ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ การปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชน นักเรียน เยาวชน ในคุณค่าของมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของภูมิภาคอาเซียน และการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ จากการประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ภายใต้แผน ๕ ปี ระยะที่ ๑-๕ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๕๕) มีข้อเสนอแนะว่า ศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ควรมีการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ หรือดำเนินงาน เพื่อช่วยในการจัดฝึกอบรมและลดค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสถานที่อบรม อีกทั้งจะทำให้เพิ่มจำนวนผู้เข้ารับการอบรมได้มากขึ้น นอกจากนี้ ควรใช้สื่อการประชาสัมพันธ์มาใช้ในการบริหารจัดการการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. วงเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์ซีมีโอ สปาฟา ๕ ปี ระยะที่ ๖ (ปีงบประมาณศูนย์สปาฟา ๒๕๕๕/๒๕๕๖-๒๕๕๙/๒๕๖๐) จำนวน ๙๐,๘๑๙,๖๐๐ บาท ตามกรอบงบประมาณของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28693 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และแจ้งให้สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยในส่วนของเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ มีดังนี้ “โดยที่ได้มีการแยกการประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยและการประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนไทยประยุกต์ไปบัญญัติไว้ในกฎหมายเฉพาะ ประกอบกับมีสาขาการประกอบโรคศิลปะหลายสาขาที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา สมควรยกเลิกสาขาการประกอบโรคศิลปะที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา เพื่อนำมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเพิ่มเติมบทนิยาม สาขาการประกอบโรคศิลปะ คณะกรรมการวิชาชีพสาขาต่าง ๆ และคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต ปรับปรุงองค์ประกอบและคุณสมบัติของคณะกรรมการการประกอบโรคศิลปะ รวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับสาขาแห่งการประกอบโรคศิลปะและคณะกรรมการวิชาชีพให้สอดคล้องกันด้วย”
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28694 | รายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง 1 และ 2 รวม 9 จังหวัด | นร01 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๑ เขตตรวจราชการที่ ๑๗ (จังหวัดตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย และอุตรดิตถ์) และจังหวัดในกลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ เขตตรวจราชการที่ ๑๘ (จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี) ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดอุตรดิตถ์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ไว้พร้อมแล้ว ทั้งในด้านสถานที่การเดินทาง การอำนวยความสะดวก และรักษาความปลอดภัย รวมทั้งจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ ทั้ง ๕ จังหวัด ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับแผนงาน/โครงการ ทั้งของกลุ่มจังหวัดและจังหวัดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้แจ้งให้จังหวัดในเขตตรวจราชการที่ ๑๗ และ ๑๘ ทั้ง ๙ จังหวัด ทราบถึงแนวทางในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยเฉพาะลักษณะของโครงการที่อยู่ในข่ายจะได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เป็นการจัดสรรงบประมาณให้กับแผนงาน/โครงการ ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะได้ประชุมคณะทำงานฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. การดำเนินงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจตามที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน จากการรายงานของผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในภาพรวมสามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนดไว้ ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคก็สามารถดำเนินการแก้ไขได้ ๔. ปัญหาและอุปสรรคในระดับพื้นที่ ได้แก่ ๔.๑ ปัญหาการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอลในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนของสารแคดเมียม จังหวัดตาก ๔.๒ ปัญหาการดำเนินงานตามกองทุนพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ๔.๓ การบริหารยุทธศาสตร์ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดเพื่อให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีจุดแข็งและแสดงออกให้เป็นที่สนใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ๔.๔ ปัญหาเกี่ยวกับการรับจำนำข้าวเปลือก
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28695 | รัฐบาลสาธารณรัฐโคลอมเบียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez)] | กต | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอันเดลโฟ โฆเซ การ์เซีย กอนซาเลซ (Mr. Andelfo Jose Garcia Gonzalez) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโคลอมเบียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางซิลบีอา กัสตาโญ เด กอนซาเลซ (Mrs. Silvia Castano de Gonzalez) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28696 | ขออนุมัติการเปิดสถานกงสุลและการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น (นายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์) | กต | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลสาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น และแต่งตั้งนายณัฐพล ประคุณศึกษาพันธ์ เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐเปรูประจำจังหวัดขอนแก่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28697 | การแต่งตั้งข้าราชการ (กระทรวงมหาดไทย) (นายภุชงค์ โพธิกุฎสัย) | มท | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายภุชงค์ โพธิกุฎสัย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28698 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางสาวสุนันทา แสงทอง) | ศธ | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวสุนันทา แสงทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28699 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพนมสารคาม - เกาะขนุน จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... | มท | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพนมสารคาม - เกาะขนุน จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองยาว ตำบลบ้านซ่อง ตำบลท่าถ่าน ตำบลเกาะขนุน ตำบลพนมสารคาม ตำบลเมืองเก่า ตำบลหนองแหน อำเภอพนมสารคาม และตำบลบางคา ตำบลเมืองใหม่ อำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28700 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม - คำม่วน) พ.ศ. .... | คค | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้สะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) ซึ่งข้ามแม่น้ำโขงเป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม การเก็บค่าธรรมเนียมให้เป็นไปตามประเภทของยานยนตร์ และตามอัตราในบัญชีท้ายกฎกระทรวงนี้ ๑.๒ กำหนดยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ ได้แก่ รถยนต์โดยสารประจำทางระหว่างประเทศที่มีความตกลงในเส้นทางนครพนม-คำม่วน และเส้นทางคำม่วน-นครพนม รวมทั้งรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรไทย และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) ของทั้งสองประเทศได้กำหนดรูปแบบร่วมกัน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งและสิ่งอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
.....