ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1434 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 28661 - 28680 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28661 | ร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28662 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๔ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน สำหรับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. .... ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร ให้เพิ่มเติมความเป็นวรรคท้ายของร่างมาตรา ๑๕ ดังนี้ “ในกรณีที่รัฐบาลได้ปรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง ค่าตอบแทนหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดแก่ข้าราชการ ให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปเพิ่มเติมให้แก่มหาวิทยาลัยในสัดส่วนเดียวกัน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้พนักงานมหาวิทยาลัยด้วย” ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันอังคารที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ รวมทั้งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๙ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๑๐ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28663 | การประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2556 วันที่ 28 มกราคม 2556 | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการมอบนโยบายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งชี้แจงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเพื่อนำไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ณ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศและนโยบายสำคัญของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ สัปดาห์ เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. กรณีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องและต้องมีการบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงานร่วมกัน เช่น เรื่องการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เป็นต้น ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อร่วมกันพิจารณาดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป รวม ๘ คณะ ได้แก่ ๒.๑ คณะที่ ๑ คณะทำงานด้านการค้าชายแดนและความมั่นคง มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลัก จัดประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ คณะที่ ๒ คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวและบริการ วัฒนธรรม สินค้าท้องถิ่น (OTOP) กิจการสปา (spa) และสุขภาพ มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลัก ๒.๓ คณะที่ ๓ คณะทำงานด้านการแพทย์ชั้นสูง (Medical Hub) มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ๒.๔ คณะที่ ๔ คณะทำงานด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Energy) และสิ่งแวดล้อม มีกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๕ คณะที่ ๕ คณะทำงานด้านการปฏิรูปการศึกษา แรงงานและอาชีวศึกษาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน ๒.๖ คณะที่ ๖ คณะทำงานด้านการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ๒.๗ คณะที่ ๗ คณะทำงานด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการบูรณาการองค์ความรู้ในภาคราชการทั้งที่เป็นองค์ความรู้ในประเทศและของต่างประเทศ มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒.๘ คณะที่ ๘ คณะทำงานกำหนดสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจแก่นักลงทุน (Incentive Scheme) เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย และให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริม SMEs ของไทยไปสู่อาเซียน มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. ให้ปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละเรื่องจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (scope) ในเรื่องที่รับผิดชอบดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28664 | การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ | สธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ สำหรับใช้เป็นรถประจำตำแหน่งของรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ รวมระยะเวลา ๕ ปี จำนวน ๑ คัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๑๑๖,๘๐๐ บาท ตามอัตราค่าเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามวงเงินและระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28665 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2554 | นร12 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยสาระในรายงานประกอบด้วย ๓ ส่วน ดังนี้ ๑.๑ ส่วนที่ ๑ ภาพรวม ประกอบด้วย เป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย สถานภาพของระบบราชการไทย หน่วยงานภาครัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร อัตรากำลัง และงบประมาณแผ่นดินที่รัฐสภาจัดสรรในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตลอดจนได้นำเสนอผลการประเมินภาพรวมซึ่งสะท้อนสมรรถนะของระบบราชการไทยในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ทำการประเมินโดยองค์กรอิสระในระดับนานาชาติ ๑.๒ ส่วนที่ ๒ ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ที่เกิดจากผลการดำเนินงานและการใช้มาตรการต่างๆ ของ ก.พ.ร. ในการส่งเสริมสนับสนุนให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐดำเนินการให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในกำกับของฝ่ายบริหาร ๑.๓ ส่วนที่ ๓ การดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ และผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ก.พ.ร. รวมทั้งกิจกรรมที่ดำเนินการเป็นพิเศษเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเสริมสร้างสมรรถนะของสำนักงาน ก.พ.ร. ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาปรับปรุงรายงานในส่วนของขีดสมรรถนะและความสามารถในการแข่งขันของระบบราชการไทยเชิงเปรียบเทียบ โดยให้เห็นถึงข้อเท็จจริงในการปรับตัวที่ดีขึ้นของดัชนีของประเทศไทย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับบางประเทศ เช่น ประเทศโคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ กรีซ โมร็อคโก และเปรู เป็นต้น ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28666 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินรวมเกินกว่า 1,000 ล้านบาท และขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการจ้างเหมาทำการก่อสร้างทางบริการทางหลวงหมายเลข 7 กรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง ตอน 1 และตอน 2 | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินการก่อสร้างทางบริการทางหลวงหมายเลข ๗ กรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง จังหวัดชลบุรี ระยะทาง ๓๒.๐๐๐ กิโลเมตร ระหว่าง กม. ๙+๔๐๐ - กม.๔๑ + ๔๐๐ โดยแบ่งการก่อสร้างเป็นตอน ๑ ระยะทาง ๓๒.๐๐๐ กิโลเมตร ระหว่าง กม. ๙ + ๔๐๐ - กม. ๔๑ + ๔๐๐ (RT.) ตอน ๒ ระยะทาง ๓๒.๐๐๐ กิโลเมตร ระหว่าง กม. ๙ + ๔๐๐ - กม. ๔๑ + ๔๐๐ (LT.) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑,๑๙๐,๒๕๒,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ได้รับจัดสรรแล้ว จำนวน ๑๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๖๖,๐๘๗,๐๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงการคมนาคมเสนอ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการดำเนินการก่อสร้างทางบริการทางหลวงหมายเลข ๗ กรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง ตอน ๑ และตอน ๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) พิจารณากำหนดจุดที่เป็นทางลอดและทางข้ามตลอดสายทางให้เหมาะสมเพียงพอด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28667 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและแนวทางการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อความยั่งยืน" | สสป | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและแนวทางการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อความยั่งยืน” และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและประเมินสถานการณ์หลังจากการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำไปแล้วร้อยละ ๔๐ ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ และทบทวนนโยบายก่อนการดำเนินการครั้งต่อไป อย่างน้อยควรชะลอการปรับครั้งต่อไปในอีก ๓ ปีข้างหน้า (สิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ๒. สนับสนุนให้สถาบันการเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านเงินทุนหมุนเวียนและแหล่งเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ปรับลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานแก่ผู้ประกอบการ อาทิ การให้คงไว้หรือชะลอการขึ้นค่า FT ค่าไฟฟ้า อย่างน้อยควรชะลอเวลาจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้น ๔. หามาตรการรองรับแรงงานที่ตกงานจากผู้ประกอบการที่ต้องปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ๕. เร่งรัดให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวเพิ่มเติมภายใต้ความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงภายในกับความต้องการแรงงาน ๖. สนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวประเทศอื่น ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มเติม เพื่อให้มีการแข่งขันระหว่างแรงงานต่างด้าวด้วยกัน และเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการ ๗. สนับสนุนให้ภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมชายแดน ในลักษณะเขตการปลอดอากรตามกฎหมายศุลกากร ๘. เจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้ผู้ประกอบการของไทยเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของประเทศ นั้น ๆ ในลักษณะเขตการปลอดอากร และสนับสนุนให้มีการอำนวยความสะดวกแบบ One Stop Service ด้านการลงทุนในต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28668 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 | ทก | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน จำนวน ๓๙.๔๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๒๑ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๒๓ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๕.๘๐ หมื่นคน) ทั้งนี้ ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๖.๗ แสนคน (จาก ๓๘.๘๒ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ จำนวน ๓๙.๒๑ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔ จำนวน ๙.๑ แสนคน (จาก ๓๘.๓๐ ล้านคน เป็น ๓๙.๒๑ ล้านคน) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๔ ทั้งนี้ ผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น ๕.๙ แสนคน รองลงมาเป็นสาขาการก่อสร้าง ๒.๕ แสนคน สาขาการผลิต ๑.๐ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๐ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๖.๐ หมื่นคน และสาขากิจการอสังหาริมทรัพย์ ๖.๐ หมื่นคน สำหรับผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานในสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ๑.๘ แสนคน รองลงมาเป็น สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น เช่น กิจกรรมบริการเพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๑.๐ แสนคน และสาขาการศึกษา ๗.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ จำนวน ๒.๒๓ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๖ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๔.๐ พันคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๔) เป็นผู้ว่างงานที่มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา จำนวน ๕.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๐ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๕.๐ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๔.๗ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๑.๘ หมื่นคน ทั้งนี้ ผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๗.๒ หมื่นคน ภาคกลาง ๕.๘ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๙ หมื่นคน ภาคใต้ ๒.๗ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๑.๗ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28669 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2556 | ทก | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สรุปได้ ดังนี้
๑. การประสบปัญหาภัยธรรมชาติ ในรอบปีที่ผ่านมาประชาชนร้อยละ ๕๗.๒ ระบุว่าประสบภัยธรรมชาติ ได้แก่ อุทกภัย ภัยแล้ง วาตภัย ภัยหนาว ภัยจากไฟป่าและหมอกควัน ดินโคลนถล่ม/ดินสไลด์ แผ่นดินไหว และคลื่นพายุซัดฝั่ง ร้อยละ ๗๑.๑, ๓๒.๖, ๘.๘, ๕.๓, ๔.๔, ๑.๕, ๑.๓ และ ๐.๒ ตามลำดับ โดยความเสียหายที่ได้รับจากภัยธรรมชาติ ระบุว่าเสียหายมาก ปานกลาง และน้อย ร้อยละ ๒๘.๗, ๕๐.๓ และ ๒๑.๐ ตามลำดับ สำหรับประชาชน ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ พบว่า ร้อยละ ๗๓.๒ ได้รับการช่วยเหลือ/เยียวยา โดยได้รับจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กร มูลนิธิ และสื่อมวลชน ร้อยละ ๙๗.๙, ๑๒.๘ และ ๗.๐ ตามลำดับ ๒. การดำเนินการของภาครัฐเกี่ยวกับการป้องกันภัยธรรมชาติ ประชาชนกว่าร้อยละ ๘๐ พึงพอใจต่อภาครัฐเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการป้องกันภัยธรรมชาติ โดยมีขั้นตอนที่ประชาชนพอใจ เกินกว่าร้อยละ ๙๐ ได้แก่ การเตือนภัย และการเฝ้าระวัง ร้อยละ ๙๐.๓ และ ๙๐.๒ ส่วนขั้นตอนอื่น ๆ ประชาชนพึงพอใจน้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ได้แก่ การป้องกันภัย การแก้ปัญหาเมื่อเกิดภัย และการฟื้นฟู เยียวยา หลังเกิดภัย ร้อยละ ๘๗.๘, ๘๗.๑ และ ๘๔.๒ ตามลำดับ ทั้งนี้ มีประชาชนร้อยละ ๘๒.๙ ที่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพของระบบการป้องกันภัยและรับมือภัยธรรมชาติของรัฐบาล โดยเชื่อมั่นในระดับมาก ปานกลาง และน้อย ร้อยละ ๑๙.๑, ๖๙.๓ และ ๑๑.๖ ตามลำดับ ๓. การทราบเกี่ยวกับกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ประชาชนร้อยละ ๖๘.๘ ไม่ทราบว่าภาครัฐมีกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม แผ่นดินไหว และลมพายุ ในส่วนที่ทราบมีร้อยละ ๓๑.๒ ๔. การประสบปัญหามลพิษ และการแก้ไขปรับปรุงปัญหามลพิษให้ดีขึ้น ประชาชนร้อยละ ๓๒.๐ ประสบปัญหามลพิษในรอบปีที่ผ่านมา โดยมีผู้ประสบปัญหามลพิษทางอากาศ มลพิษจากขยะ มลพิษทางน้ำ และมลพิษทางเสียง ร้อยละ ๕๒.๙, ๓๗.๕, ๓๔.๓ และ ๑๘.๘ ตามลำดับ สำหรับการแก้ไขปัญหามลพิษ ประชาชนที่ประสบปัญหามลพิษ ร้อยละ ๕๒.๗ ระบุว่า ปัญหามลพิษต่าง ๆ ได้มีการแก้ไขให้ดีขึ้น โดยเห็นว่ามลพิษที่มีการแก้ไข คือ มลพิษจากขยะ มลพิษทางน้ำ มลพิษทางอากาศ และมลพิษทางเสียง ร้อยละ ๔๕.๗, ๔๑.๒, ๓๖.๘ และ ๙.๔ ตามลำดับ ๕. มาตรการของภาครัฐในการควบคุมมลพิษ ประชาชนได้ระบุถึงมาตรการของภาครัฐที่สำคัญ ๓ อันดับแรกที่สามารถช่วยควบคุมมลพิษ ต่าง ๆ ได้ ได้แก่ การสร้างจิตสำนึกและตระหนักถึงปัญหามลพิษ การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงอันตรายที่เกิดจากมลพิษสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก เช่น ไบโอดีเซล แก๊สโซฮอลล์ ร้อยละ ๗๒.๖, ๓๘.๑ และ ๓๓.๙ ตามลำดับ นอกจากนี้ ประชาชนร้อยละ ๗๙.๘ เห็นด้วยกับการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมที่กำหนดให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้รับภาระการเสียภาษี หากจะมีการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28670 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย | วธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว เพื่อฟื้นฟู บูรณะ ซ่อมแซมโบราณสถานที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัย จำนวน ๑๑ รายการ โดยดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. งานบูรณะวัดป่าโมกวรวิหาร จังหวัดอ่างทอง จำนวน ๑๑,๙๗๕,๐๐๐ บาท ๒. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดเกาะพญาเจ่ง จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๓. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดกู้ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๓,๕๙๓,๐๐๐ บาท ๔. โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๕. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวียงกุมกาม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน ๘๐๑,๐๐๐ บาท ๖. วัดนายโรง กรุงเทพมหานคร (ระบบป้องกันและระบายน้ำ พระอุโบสถ งานบูรณะจิตรกรรมฝาผนัง) จำนวน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๗. โครงการบูรณะโบราณสถาน วัดชลอ จังหวัดนนทบุรี จำนวน ๙,๑๗๐,๐๐๐ บาท ๘. อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท ๙. อาคารสำนักงานและพื้นที่บริเวณ สำนักศิลปากรที่ ๑๑ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ๑๐. งานซ่อมแซมระบบกล้องวงจรปิด (อุทยานประวัติศาสตร์ วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ คุ้มขุนแผน วิหารหลวงพ่อมงคลบพิตร พระราชวังโบราณ สำนักงานอุทยานฯ ลานจอดรถนักท่องเที่ยว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) จำนวน ๗,๕๓๔,๙๐๐ บาท ๑๑. วัดพระยาศิริไอศวรรย์ กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28671 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับ "ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" และ "ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ" | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) เกี่ยวกับ "ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้" และ "ปัญหายาเสพติดในเรือนจำ" เกี่ยวกับการดำเนินการ ๔ มาตรการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะที่ใช้สัญจรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๒ การเพิ่มแสงสว่างถนนสายหลักและสายรองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยระบบไฟฟ้าส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๓ การเพิ่มจุดตรวจหรือจุดสกัดยานพาหนะ (ด่านอัจฉริยะ) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และเส้นทางที่จะเข้าสู่พื้นที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และหน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบในพื้นที่ ๑.๔ การนำชุดเทคโนโลยี "MIXCIR" มาใช้ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในเรือนจำ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ๒. มอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ คอ.นธ. เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการในส่วนที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับข้อสังเกตและความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ควรมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการใช้ทรัพยากร โดยให้ความสำคัญกับการรักษาความลับของทางราชการไม่ให้รั่วไหล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ เห็นควรมอบให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจ้าภาพหลักด้านความมั่นคงไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีอาร์เอฟไอดี (RFID) มาใช้เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของยานพาหนะในพื้นที่ การเพิ่มแสงสว่างด้วยระบบไฟฟ้าส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ และการเพิ่มจุดตรวจจุดสกัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำชุดเทคโนโลยี "MIXCIR" มาใช้ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบ นำยาเสพติด และโทรศัพท์มือถือเข้ามาให้ผู้ต้องขัง โดยพิจารณาจัดหามาให้เรือนจำที่มีปัญหามากก่อน เป็นลำดับไป โดยต้องมีการถ่ายทอดความรู้การใช้อุปกรณ์เหล่านั้นให้กับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ดี ในการจัดหาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ควรให้ความสำคัญในเรื่องประสิทธิภาพ คุณภาพของอุปกรณ์ และความเชื่อมโยงกับระบบเดิมที่มีอยู่ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอเพิ่มเติมว่า ในอนาคตหากมีการก่อสร้างเรือนจำความมั่นคงสูงสุด ควรพิจารณาให้มีการออกแบบอาคารให้มีห้องขังเดี่ยว ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสร้างเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมรับไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
28672 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. .... | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการขนส่ง เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ หรือการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการสาธารณะอื่นให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เพื่อให้เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ที่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงฯ ได้รับสิทธิการลดหย่อนภาษี หรือยกเว้นภาษีเป็นร้อยละของจำนวนเงินค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเหมาะสมการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น นำกฎกระทรวงฯ ไปปฏิบัติและเกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28673 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและ พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" | อก | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร และโทรคมนาคม วุฒิสภา เรื่อง "โครงการการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง" พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อแสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มีนโยบายในการช่วยเหลือสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง โดยอนุญาตให้ใช้ก๊าซ LPG ซึ่งเป็นก๊าซหุงต้ม : รับทราบแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ของกระทรวงพลังงาน โดยกรมธุรกิจพลังงานประกาศผ่อนผันให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกลำปางสามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาภาคครัวเรือน ซึ่งสามารถซื้อก๊าซได้ในขนาด ๔๘ กิโลกรัม/ถัง และพ่วงกันได้ไม่เกิน ๒๐ ถัง (จากเดิมกำหนดให้ ๑๐ ถัง) ๒. การสนับสนุนการศึกษาวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก : รับทราบโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนการศึกษาวิจัยและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในพื้นที่จังหวัดลำปางสามารถเข้าร่วมโครงการ และ/หรือ นำผลการศึกษาวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ ๓. การส่งเสริมการนำระบบการบริหารจัดการแบบ Lean Manufacturing และ Six Sigma มาใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกเพื่อเพิ่มผลิตภาพ : ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปางในการลงพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในเรื่องของการบริหารจัดการการผลิต ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม นอกจากการพิจารณาประเด็นข้อคิดเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกลำปาง ๔.๑ โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาผลิตภาพการผลิตของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยมีการกำหนดเพดานเงินกู้เพียง ๕ ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ค่อนข้างต่ำเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายวิสาหกิจขนาดย่อม ในขณะที่วิสาหกิจขนาดกลางมีความต้องการวงเงินกู้ที่สูงกว่านี้ จึงมีข้อเสนอให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ของโครงการฯ เพื่อเพิ่มเพดานวงเงินกู้ให้สูงขึ้น ๔.๒ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิกในพื้นที่จังหวัดลำปาง ควรมีการบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและช่วยให้การดำเนินโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีเอกภาพ โดยอาจให้จังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพในการพิจารณารายละเอียดกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก ทั้งในส่วนของกิจกรรม/โครงการของจังหวัดลำปางและกิจกรรม/โครงการของหน่วยงานต่าง ๆ จากส่วนกลาง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28674 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา | นร | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานอู่ตะเภา และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ กรมการบินพลเรือน สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. ทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมาณการจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ หลายประการไม่ได้กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ ซึ่งหากยังยึดแผนแม่บทฯ เดิมอยู่จะทำให้การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการในท่าอากาศยานโดยแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และอีกประการหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการประมาณการระยะเวลาสำหรับการก่อสร้างส่วนต่อขยาย เช่น ปัญหาทางวิ่งที่ ๓ ที่ประสบปัญหามีการต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนรอบข้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงแล้ว การเพิ่มและพัฒนาศักยภาพของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะล่าช้าและน่าเป็นห่วง ๒. พิจารณานำนโยบายการใช้ท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport มาใช้ทดแทนระบบ Single Airport โดยการพัฒนาท่าอากาศยานระบบ Multiple Airport ให้นำท่าอากาศยานที่มีอยู่ในปัจจุบันมาทำให้การบริการการบินภายในประเทศและระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพ และคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงพิจารณาแนวทางการใช้ท่าอากาศยานอื่น ๆ ภายในประเทศมาบูรณาการเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดอย่างเต็มศักยภาพ ๓. ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เป็นท่าอากาศยานที่จะมีความสำคัญและมีประโยชน์อย่างสูง แต่จากข้อมูลที่ดำเนินการศึกษาพบว่าท่าอากาศยานอู่ตะเภาปัจจุบันอยู่ในพื้นที่และอำนาจการบริหารของกองทัพเรือ และไม่ได้รับความสนใจจากสายการบินต่าง ๆ เท่าที่ควร ดังนั้น รัฐบาลควรเป็นผู้ประสานกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) และกองทัพเรือ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันโดยอาจจะมีรูปแบบให้ ทอท. เป็นผู้บริหารท่าอากาศยานอู่ตะเภา และแบ่งผลประโยชน์ให้กองทัพเรือ หรือนำรูปแบบการบริหารท่าอากาศยานดอนเมืองมาปรับใช้ เพราะท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่ของกองทัพอากาศซึ่งมีความคล้ายคลึงกัน หรือรูปแบบอื่น ๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นรูปธรรมขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การดำเนินการใด ๆ จะต้องคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และความสามัคคีปรองดองกล่าวคือการคำนึงถึงประโยชน์ของกองทัพเรือด้วย ๔. รัฐควรกำหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และนโยบายให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับการปรับปรุงแผนแม่บทแห่งชาติเกี่ยวกับท่าอากาศยานทั้งประเทศ โดยการจัดตั้งองค์กรอิสระที่มีองค์ประกอบ ๓ ส่วน คือ ภาคราชการและรัฐวิสาหกิจ ภาคประชาสังคม และภาคธุรกิจและเอกชน ๕. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รัฐควรเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านต่าง ๆ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เหมาะสมกับการเป็นสนามบินหลัก (Main Airport) ในเรื่องการพิจารณาถึงความสำคัญเรื่องการเพิ่มทางวิ่งของเครื่องบิน สาย ๓ (Runway 3) โดยเร่งรัดระยะเวลาการดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๖-๑๒ เดือน เพิ่มอาคารเทียบเครื่องบินและอาคารผู้โดยสาร (Terminal) ต้องสร้าง Shuttle Train เพื่อขนส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสารและอาคารเทียบเครื่องบินซึ่งมีระยะห่างกันมาก ให้เหมือนกับท่าอากาศยานสากลที่ใช้กันอยู่ การเชื่อมต่อท่าอากาศยานระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกับท่าอากาศยานดอนเมืองควรจัดให้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการคู่ไปกับการเปิดใช้ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งควรกำหนดให้เสร็จในระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน โดยจัดให้มี Nonstop express bus lane เพื่อรับส่งผู้โดยสารระหว่างท่าอากาศยาน หรืออาจเป็น Airport shuttle bus วิ่งตรงระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางและมีทางวิ่งโดยเฉพาะและมีรั้วตาข่ายกั้นตลอดเส้นทาง รวมทั้งจัดให้มี Nonstop express shuttle train รถไฟสายนี้ต่อเชื่อมระหว่างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง โดยไม่มีการหยุดรับผู้โดยสารระหว่างทางใช้เวลาเดินทางไม่ควรเกิน ๒๐-๓๐ นาที ๖. ท่าอากาศยานดอนเมือง รัฐควรจัดให้มีการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นสนามบินรอง (Secondary Airport) โดยดำเนินการให้กลับมามีความพร้อมใช้งานได้ดังเดิมเหมือนก่อนการปิดใช้งานท่าอากาศยาน และควรเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสาร เช่น ติดตั้งทางเลื่อน (walkway conveyor) บนพื้นทางเดินเพิ่มขึ้น และปรับปรุงพัฒนาพื้นที่บางส่วนของอาคารผู้โดยสารให้เป็นพื้นที่ใช้บริการต้อนรับผู้โดยสาร VIP ระดับ Elite Service และพัฒนาพื้นที่โดยรอบของท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28675 | รัฐบาลสาธารณรัฐฟินแลนด์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นางกีร์สติ เวสต์ฟาเลน (Mrs. Kirsti Westphalen)] | กต | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางกีร์สติ เวสต์ฟาเลน (Mrs. Kirsti Westphalen) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทนนางซีร์ปา แมนปา (Mrs. Sirpa Maenpaa) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28676 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. 2554 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การใช้จ่ายเงินกองทุน อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุน การจัดทำบัญชีและการส่งงบประมาณ เพิ่มเติมการโอนกิจการ สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ๑.๒ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้หมดความจำเป็นต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งแล้ว ควรดำเนินการจัดให้มีการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หน่วยงานรับผิดชอบทุนหมุนเวียน) สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง เพื่อพิจารณายุบเลิกกองทุนฯ ให้เป็นไปตามตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๓ และในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพนั้น นอกเหนือจากการมีกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีเอกภาพแล้ว กลไกนั้นจะต้องมีการบริหารจัดการที่เป็นมืออาชีพและคล่องตัว โดยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการออกแบบรูปแบบองค์กรที่เหมาะสมที่จะสามารถมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศในอนาคต รวมทั้งเร่งรัดการจัดตั้งองค์กรดังกล่าวด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28677 | ขออนุมัติเพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติยกเว้นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน เป็นการถาวรในการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด | คค | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) (เดิม) ในการประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เพิ่มเติมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด) ที่เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมเจ้าท่าดำเนินโครงการท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ ที่ห้ามมิให้อนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าชายเลนในทุกกรณีฯ เพื่อกรมเจ้าท่าเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน จำนวน ๑ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสนอ่อน-ป่าคลองใหญ่-ป่าคลองมะขาม เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด เป็นการถาวร ๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับเหมาก่อสร้างและหน่วยงานผู้บริหารท่าเรือถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า และจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ด้วย ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรร/อนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปลูกป่าทดแทนให้กับหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการหรือหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ดำเนินการปลูกป่าตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด โดยถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของโครงการนั้น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
28678 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | ปง | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ตามใบกันเงินเลขที่เอกสาร ๑๐๐๘๑๓๗๐ จำนวน ๕๔,๔๖๖,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โครงสร้างใหม่ และอัตรากำลัง โดยให้สำนักงาน ปปง. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28679 | หนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส (Declaration d’Intention dans le Domain de la Cooperation Educative entre le Ministre Francais des Affaires Etrangeres et Le Ministre Thailandais de l’Education) เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินโครงการสอนภาษาฝรั่งเศสในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าด้วยความร่วมมือทางด้านการศึกษาและการวิจัย ทั้งนี้ หากก่อนลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงศึกษาธิการหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระยะของโครงการ ซึ่งหากเป็นโครงการสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ในวรรคแรกของ Program description อาจพิจารณาเพิ่ม “2013” หลัง “between June and September” และระบุจำนวนโควตาของอาสาสมัครในแต่ละปีเพื่อประโยชน์ในการเตรียมการของหน่วยงานผู้ปฏิบัติ รวมทั้งปรับแก้ชื่อคู่ภาคีในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาอังกฤษ ในเนื้อหาของร่างคำประกาศฯ และในช่องการลงนาม โดยชื่อคู่ภาคีของฝ่ายไทยอาจพิจารณาใช้ “The Ministry of Education of the Kingdom of Thailand” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อทางการของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ เห็นควรปรับแก้ถ้อยคำบางแห่งในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ฉบับภาษาไทย อาทิ ชื่อกระทรวงศึกษาธิการในชื่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ เนื้อหา และช่องการลงนาม ให้มีความสอดคล้องกัน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
28680 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ 119/2552 ระหว่างนายพรชัย ปรีชาปัญญา ผู้ฟ้องคดี นางก่องกานดา ชยามฤต ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรีที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย | อส | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลคำพิพากษาศาลปกครองเชียงใหม่ ในคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๙/๒๕๕๒ คดีหมายเลขแดงที่ ๖๒๐/๒๕๕๕ ระหว่างนายพรชัย ปรีชาปัญญา ผู้ฟ้องคดี นางก่องกานดา ชยามฤต ผู้ร้องสอด นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ที่ ๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ ๓ อดีตคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๔ คณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๕ คณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๖ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ที่ ๗ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย โดยศาลปกครองเชียงใหม่มีคำพิพากษายกฟ้อง
|
.....