ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1436 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 28701 - 28720 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
28701 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... | นร09 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยร่างกฎกระทรวงฯ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ๓. กำหนดให้แบ่งส่วนราชการสำนักงาน ปปง. ประกอบด้วย สำนักงานเลขานุการกรม กองกฎหมาย กองกำกับและตรวจสอบ กองข่าวกรองทางการเงิน กองคดี ๑ กองคดี ๒ กองคดี ๓ กองความร่วมมือระหว่างประเทศ กองนโยบายและยุทธศาสตร์ กองบริหารจัดการทรัพย์สิน และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารในสำนักงาน ปปง. ขึ้นตรงต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28702 | รายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายจูเซ มานูเอล บาร์โรซู (Mr. Jose Manuel Barroso) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนกรุงบรัสเซลส์ในโอกาสแรก ซึ่งนายกรัฐมนตรีตอบรับการเยือนในโอกาสที่เหมาะสม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ๒. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้การเจรจากรอบความตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมืออย่างรอบด้าน (Framework Agreement on Comprehensive Partnership and Cooperation-PCA) ได้ข้อสรุปในอนาคตอันใกล้ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. ทั้งสองฝ่ายย้ำเจตนารมณ์ให้เริ่มการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (Thai-EU Free Trade Agreement-FTA) ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งไทยเห็นว่าอาจเริ่มได้ในต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เมื่อ Scoping exercise ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานผู้แทนการค้าไทย ๔. ฝ่ายไทยขอให้สหภาพยุโรปรับไปหารือกับประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการพิจารณายกเว้นการตรวจลงตราเขต Schengen แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๕. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ดำเนินความร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ (capacity building) ต่อไป และหารือความเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือแบบไตรภาคีกับประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งการขยายความร่วมมือด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ การฟอกเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการโยกย้ายถิ่นฐาน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่มีความร่วมมือหรือต้องการที่จะมีความร่วมมือกับสหภาพยุโรป (กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ กระทรวงคมนาคม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28703 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) | นร01 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2012) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการภายใต้ประเด็นนโยบายสำคัญ (การบูรณาการการตรวจราชการเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ) ของผู้ตรวจราชการกระทรวง และผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ใน ๕ ประเด็น ๑.๑ นโยบายการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ๑.๑.๑ ด้านปัญหายาเสพติด จากการตรวจติดตามพบว่า การดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติดของทุกหน่วยงาน โดยการสร้างกลไกการบูรณาการเพื่อการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่การแพร่ระบาดของยาเสพติดยังไม่อาจสกัดกั้นให้ทุเลาหรือหมดสิ้นไปจากสังคมไทยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษา ซึ่งมีเยาวชนกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากที่ยังต้องเฝ้าระวังและสร้างภูมิคุ้มกันให้รอดพ้นจากภัยยาเสพติด โดยการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วน ๑.๑.๒ ด้านการจัดการที่ดินทำกิน จากการตรวจติดตามโครงการภายใต้ประเด็นสำคัญการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ด้านการจัดการที่ดินทำกิน เน้นการตรวจติดตามโครงการที่ช่วยในการจัดระบบการจัดการที่ดินทำกินให้มีประสิทธิภาพ ยังคงพบความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ และการจัดการกระจายสิทธิ์ที่ดินที่ยังไม่ทั่วถึง รัฐบาลควรเร่งรัดการดำเนินการจัดการที่ดินทำกินของหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนต่อไป ๑.๑.๓ ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน จากการตรวจติดตามการดำเนินการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนยังประสบปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชน การป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น เยาวชนขาดจิตสำนึกที่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีไทย ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างทรัพยากรบุคคลให้มีคุณภาพและมีความเข้มแข็งใน ๓ ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านสมอง โดยสนับสนุนให้มีการจัดโครงการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลให้มากขึ้นในทุกช่วงอายุเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียต่อไป ๑.๒ นโยบายการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๒.๑ ด้านการเตรียมการรับมือภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อม จากการตรวจติดตามโครงการของกระทรวง/กรม (Function) และโครงการของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด (Area) เกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติที่มีความเชื่อมร้อยกันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการเตรียมการรับมือภัยพิบัติ พบว่า มีหลายปัญหาควรได้รับการแก้ไขจากราชการในส่วนกลาง และในระดับนโยบาย ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวงที่เกี่ยวข้องจึงได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอแนะระดับนโยบายเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลสาธารณะ ระบบเตือนภัย และเครือข่ายเตือนภัยภาคประชาชน ระบบการจัดการและการเข้าถึงองค์ความรู้สาธารณะ โดยการสร้างระบบกลไกการป้องกันในพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่เกิดภัยพิบัติซ้ำซาก และจัดทำแผนเตรียมการป้องกันภัยพิบัติทุกประเภท การสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไปในการปฏิบัติตามข้อกำหนดและการฝึกซ้อมแผนบรรเทาสาธารณภัย และการสร้างจิตสำนึกและความยั่งยืน เพื่อช่วยผลักดันให้แผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องเกิดผลสัมฤทธิ์อันจะส่งผลให้มูลค่าความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สินลดลง ๑.๒.๒ ด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จากการตรวจติดตามโครงการด้านการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติพบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากการตรวจติดตามในมิติด้านการพัฒนาศักยภาพและต่อยอดของอุตสาหกรรมและบริการสร้างสรรค์ไทย และมิติการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) พบว่า หน่วยงานระดับพื้นที่สามารถจัดการความเสี่ยงตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ครบถ้วน ส่งผลให้โครงการบรรลุเป้าหมายทั้งในระดับผลผลิต และผลลัพธ์ สำหรับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานรับผิดชอบในระดับพื้นที่ในมิติของการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมและการสร้างจิตวิญญาณความเป็นไทย การสร้างความพร้อม และความเข้มแข็งของชุมชน และในมิติของการพัฒนาการท่องเที่ยว (มิติวัฒนธรรม) ๑.๔ นโยบายการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ได้มีการตรวจติดตามโครงการเกี่ยวกับการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและให้ข้อเสนอแนะระดับนโยบายในการสร้างมูลค่า/คุณค่าสินค้าที่ได้มาตรฐาน การมีตลาดรองรับที่เพียงพอ และการสร้างมาตรฐานการผลิตและความรับผิดชอบต่อคุณภาพสินค้า ๑.๕ การสนับสนุนหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากการตรวจติดตามพบว่า ทุกหน่วยงาน/ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้มีการน้อมนำพระราชดำรัสหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติจนเกิดเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้พบปัญหาที่ยังต้องได้รับการแก้ไขในด้านการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ และการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ๒. ผลการตรวจราชการแบบบูรณาการในมิติของการบูรณาการการตรวจราชการกรณีปัญหาเฉพาะพื้นที่ (Specific Area) ของผู้ตรวจราชการเพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเรื่อง การติดตาม การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จากการเร่งรัด ติดตาม และประเมินผลโครงการร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวง และที่ปรึกษาโครงการ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) พบปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ หน่วยงานที่รับผิดชอบมีปัญหาด้านการบริหารจัดการโครงการที่ส่งผลให้การป้องกันปัญหาอุทกภัยไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และการไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบจากการบริหารจัดการโครงการที่เกิดขึ้นต่อประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28704 | ผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ของนายโยเวรี คากูทา มูเซเวนี (Yoweri Kaguta Museveni) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดา ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการเยือนที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาจะพิจารณาการแลกเปลี่ยนการเยือนในโอกาสต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีจะนำคณะนักธุรกิจไทยไปร่วมกิจกรรม Business Matching ระหว่างการเดินทางไปเยือนยูกันดาอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาหาช่องทางที่เหมาะสมในการเดินทางไปเยือนยูกันดา ๒. ยูกันดายืนยันการสนับสนุนการสมัครของไทยในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) สำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ สถานะล่าสุด ยูกันดาแลกเสียงกับไทย โดยไทยสนับสนุนยูกันดาในตำแหน่งสมาชิกไม่ถาวรของ UNSC วาระปี ค.ศ. ๒๐๐๙-๒๐๑๐ แล้ว และยูกันดาสนับสนุนไทยตำแหน่งเดียวกันสำหรับวาระปี ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๑๘ ๓. ยูกันดาเห็นว่าประเด็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องภายในของไทย จึงเห็นควรให้ไทยบริหารจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง และรับที่จะแจ้งที่ประชุมองค์กรความร่วมมืออิสลาม (Organisation of the Islamic Conference : OIC) ว่า ไม่ควรยกระดับประเด็นดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม OIC สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ติดตามท่าทีของยูกันดาในการประชุม OIC ๔. นายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดียูกันดา เห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยเพิ่มพูนการค้าระหว่างกัน และส่งเสริมให้ภาคเอกชนไทยลงทุนในยูกันดาในสาขาการแปรรูปสินค้าเกษตร การก่อสร้าง พลังงาน และการท่องเที่ยว และส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในยูกันดา สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนไทยดำเนินธุรกิจในยูกันดา ๕. นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดียูกันดาเห็นพ้องให้มีความร่วมมือทางวิชาการในสาขาต่างๆ สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ) พิจารณาความเหมาะสมในการให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับยูกันดาในสาขาที่ไทยมีความชำนาญ และสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ฝ่ายไทย อาทิ เกษตรกรรม สาธารณสุข และการท่องเที่ยว ๖. ภริยาประธานาธิบดียูกันดาชื่นชมและสนใจแนวทางการพัฒนาสตรีและเด็กของไทย โดยส่งเสริมการสร้างอาชีพให้สตรีผ่านโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) พิจารณาศึกษาแนวทางถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์การพัฒนาสตรีผ่านโครงการดังกล่าว ๗. นายกรัฐมนตรีเสนอให้ไทยและยูกันดากลับมาเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา ซึ่งประธานาธิบดียูกันดารับพิจารณาการเจรจาจัดทำร่างความตกลงดังกล่าวภายในสามเดือน สิ่งที่ต้องดำเนินการ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการบินพลเรือน) พิจารณาศึกษาความเหมาะสมในการดำเนินการเจรจาจัดทำร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศไทย-ยูกันดา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28705 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ดังนี้
๑. เพิ่มบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับการทำซ้ำโดยการบันทึกเสียงหรือภาพหรือทั้งเสียงและภาพจากภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต และเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับความผิดดังกล่าว ๒. เพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ของคนพิการทางการมองเห็น คนพิการทางการได้ยิน คนพิการทางสติปัญญา และคนพิการประเภทอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28706 | ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ 2556 | กค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเสนอขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๓๓๖.๐๖๓ ล้านบาท โดยมีประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณะ จำนวน ๒,๓๘๐.๓๓๒ ล้านบาท และจำนวน ๓,๗๑๖.๓๙๕ ล้านบาท ตามลำดับ ตามความเห็นของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. เร่งดำเนินการเกี่ยวกับแผนฟื้นฟูกิจการของ ขสมก. ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ข้อเสนอการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) ที่ให้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเหมาะสม คุ้มค่าของทางเลือกในการลงทุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด และมีการแยกต้นทุนและรายได้ของการให้บริการแต่ละประเภท โดยแสดงหนี้เดิมและหนี้ใหม่ที่เกิดจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นให้ชัดเจน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้ ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการดำเนินการปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และเพิ่มคุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งเร่งหาแนวทางปรับลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเงินอุดหนุนที่ได้รับจริงและไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินและการลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28707 | ขอความเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกู้เงินในปีงบประมาณ 2556 สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ต่างประเทศ โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2556 | คค | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ดังนี้ ๑.๑ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ยืมเงินต่อจากกระทรวงการคลัง สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จำนวน ๑๑,๔๗๒.๓๖ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการ ค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างงานโยธาและระบบรถไฟฟ้า และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จำนวน ๔,๗๔๕.๔๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน และค่า Provision sum ของงานโยธา ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อให้ รฟม. กู้ยืมเงินต่อ สำหรับโครงการฯ ดังกล่าว ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้ทยอยเบิกเงินกู้โดยตรงจากแหล่งเงินกู้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๒ ให้ รฟม. ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล สัญญาเงินกู้เลขที่ TXXI-4 และสัญญาเงินกู้เลขที่ TXXII-3 (Civil) ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศ สำหรับโครงการฯ ดังกล่าว โดยการกู้เงินในประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดำเนินการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้และชำระหนี้แทน รฟม. และจัดทำสัญญาชำระหนี้แทนระหว่างกระทรวงการคลังกับ รฟม. โดยให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกระทรวงการคลังที่จะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป ๑.๓ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรง ทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง และสำหรับในส่วนที่กระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้แทน รฟม. สำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้แก่ รฟม. เพื่อชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงให้เป็นรายปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยในส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุน ให้ รฟม. บันทึกการลงทุนในโครงการฯ ดังกล่าวเป็นส่วนของทุน ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาเกี่ยวกับความผันผวนของค่าเงินเยนที่อาจมีผลกระทบต่อการกู้เงินตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอในครั้งนี้เพื่อประกอบการดำเนินการต่อไป โดยในกรณีที่เห็นว่ามีความผันผวนของค่าเงินอย่างมีนัยสำคัญ ให้กระทรวงการคลังรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28708 | ผลการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ของนายกรัฐมนตรีเพื่อเยี่ยมชมพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายเต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่างๆ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำขึ้นเพื่อให้การหารือของผู้นำทั้งสองประเทศเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ฝ่ายเมียนมาร์ขอให้มีการวางแผนพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งใหม่สำหรับประชาชนเมียนมาร์ออกจากพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งในเรื่องการสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการพัฒนาชุมชน ๒. ฝ่ายเมียนมาร์ย้ำความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและป้องกันผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อป่าไม้ แม่น้ำ และทะเลในบริเวณโดยรอบ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมจะนำบทเรียนการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยเข้ามาช่วยจัดทำแผนบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและแผนจัดการความเสี่ยงต่างๆ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาอุตสาหกรรมเฉพาะด้านและการพัฒนาธุรกิจ ๓. ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกลไกระดมเงินทุนและพิจารณาเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศที่สามเข้าร่วมลงทุนด้วย เช่น ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายไทยเสนอให้มีกรอบความร่วมมือในระดับภาครัฐสามประเทศ (ไทย เมียนมาร์ และญี่ปุ่น) เพื่อระดมทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะแรกก่อนพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (Special Purpose Vehicle : SPV) รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องพื้นที่โครงการและขอรับข้อมูลสำหรับการประเมินค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการทวาย เช่น ราคาที่ดิน และโครงการที่จะดำเนินการร่วมกับชุมชน เป็นต้น เพื่อคำนวณกรอบเงินทุนสำหรับการจัดตั้ง SPV ต่อไป หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามข้อมูลและเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการร่วมสาขาการเงิน ๔. ฝ่ายเมียนมาร์ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และระบบไฟฟ้า ซึ่งยังไม่เพียงพอ โดยระยะยาวหากจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงถ่านหินจะต้องมีการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคมร่วมกับรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง และกระทรวงพลังงานดำเนินงานผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขาพลังงาน ๕. ฝ่ายเมียนมาร์เสนอให้พัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทยรับไว้พิจารณา ๔ แห่ง ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์-ด่านพญาตองซู ด่านบ้านพุน้ำร้อน-ด่านทิกี ด่านสิงขร-ด่านมอต่อง และเส้นทางกอกะเร็ก-เมาะละแหม่ง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง การรถไฟแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาจุดผ่านแดนและเส้นทางคมนาคมขนส่งทางตามข้อเสนอของฝ่ายเมียนมาร์ และกระทรวงการต่างประเทศติดตามความก้าวหน้าการยกระดับจุดผ่านแดน ๖. ฝ่ายไทยขอความร่วมมือเมียนมาร์เกี่ยวกับการปรับปรุงข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการ (Framework Agreement) ฉบับใหม่ รวมถึง Sectorial Agreement และปรับปรุงสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๗. ฝ่ายไทยขอให้เมียนมาร์แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การลงทุนที่คาดว่าจะได้รับภายใต้กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่ของเมียนมาร์ (SEZ Law) ให้แก่นักลงทุน พร้อมทั้งเร่งรัดกระบวนการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าวเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์แจ้งให้ทราบว่าได้ทำการยกร่างกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบคาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลังติดตามความคืบหน้าของฝ่ายเมียนมาร์ผ่านคณะอนุกรรมการร่วมสาขากฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๘. การจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายและสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเนปิดอว์ ฝ่ายไทยเสนอขอจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่เมืองทวายเพื่อสนับสนุนการทำงานของภาคธุรกิจและผู้เยี่ยมเยือนในอนาคต รวมทั้งขอเปิดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเนปิดอว์ และขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาร์ในการสนับสนุนการจัดหาที่ดิน ซึ่งฝ่ายเมียนมาร์รับจะพิจารณาทั้งสองเรื่องและแจ้งให้ทราบว่าได้กำหนดพื้นที่สำหรับสถานเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เนปิดอว์ไว้แล้ว หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๙. ฝ่ายไทยวางเป้าหมายการดำเนินงานว่าคณะอนุกรรมการฯ จะสามารถจัดทำรายละเอียดทั้งหมดได้แล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เสนอให้คณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint High-level Committee : JHC) พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในข้อตกลง Framework Agreement ฉบับใหม่ และ Sectorial Agreement ทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจะเริ่มระดมทุนและดำเนินการก่อสร้างโครงการได้ภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่ผู้นำทั้งสองประเทศกำหนด หน่วยงานรับผิดชอบ คณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ (Joint Coordinating Committee : JCC) ร่วมกับคณะอนุกรรมการร่วมฯ ทุกสาขา ๑๐. ฝ่ายไทยแจ้งว่าในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ จะสิ้นสุดการพิสูจน์สัญชาติ แต่ยังมีแรงงานเมียนมาร์ที่ได้ยื่นขอจดทะเบียนเพื่อเข้ากระบวนการปรับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้เข้าเมืองถูกกฎหมายคงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก จึงผ่อนผันไปอีก ๓ เดือน และขอให้ฝ่ายเมียนมาร์สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสถานะแรงงานเหล่านี้ด้วย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28709 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย | กต | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๗๗ (ค.ศ. ๒๐๑๒) เกี่ยวกับการปราบปรามการกระทำอันเป็นโจรสลัดและการปล้นโดยใช้อาวุธบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย โดยขยายเวลาการดำเนินมาตรการออกไปจนถึงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติ โดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงคมนาคม กรมประมง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28710 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร ที่เห็นว่าสมควรปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล โดยให้เพิ่มอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพและอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นกรรมการในคณะกรรมการสถานพยาบาลด้วย เนื่องจากเป็นผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลโดยตรง และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขในการรับข้อสังเกตดังกล่าวไปดำเนินการในกรณีที่มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลในโอกาสต่อไป และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28711 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์และจุดเน้นของนโยบายการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้อง เชื่อมโยงกับผลการประชุมเชิงปฏิบัติการ การบูรณาการตามยุทธศาสตร์ประเทศ (Country Strategy) และยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีฯ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์เร่งรัดการพัฒนาประเทศ และเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์การศึกษา คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมกันในสังคม ยุทธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม ยุทธศาสตร์การต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ยุทธศาสตร์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ๒. รับทราบข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ส่งคำขอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นฯ รวม ๒๗ กระทรวง/หน่วงาน เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๐๕๓,๒๔๘.๙ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาแล้วเห็นสมควรจัดทำข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นฯ จำนวน ๕๖๔,๒๕๑ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ใช้ประกอบการจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยข้อเสนอแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้น จำแนกเป็นค่าครุภัณฑ์ จำนวน ๑๔๘,๘๑๐.๑ ล้านบาท ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๔๑๕,๔๔๐.๙ ล้านบาท ๓. เห็นชอบการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28712 | ขอความเห็นชอบการดำเนินโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 | ศธ | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ ที่เห็นชอบการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน รุ่นที่ ๔ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ในกลุ่มเป้าหมายนักเรียนทุนประเภทที่ ๒ ที่เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ของครอบครัวและศึกษาในสาขาขาดแคลนเน้นด้านวิทยาศาสตร์ โดยพิจารณาเชื่อมโยงกับการดำเนินการของกองทุนเพื่อการศึกษา (กรอ.) ในการให้ทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนให้แก่นักศึกษาที่ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการหลักต่อการพัฒนาประเทศ การสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับผู้เรียนดีทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่เพื่อให้การผลิตและพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การกำหนดแนวทาง/มาตรการในการคัดเลือกหรือเตรียมความพร้อมนักเรียนที่มีศักยภาพให้สามารถเข้ารับการศึกษาจนสำเร็จหลักสูตรและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนทุนเข้าศึกษาต่อในประเทศมากขึ้น และจัดทำฐานข้อมูลการติดตามนักเรียนทุนและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการจัดสรรให้ผู้รับทุนไปศึกษาในแต่ละประเทศและสาขาวิชาควรคำนึงถึงโอกาสในการสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนเป็นสำคัญ และกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนที่จะไปศึกษาในแต่ละประเทศเพื่อให้การดูแลจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจัดทำแผนรองรับการเข้าทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชนสำหรับผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ กระบวนการคัดเลือกผู้รับทุน ให้กระทรวงศึกษาธิการเริ่มคัดเลือกนักเรียนทุนจากนักเรียนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ หรือมัธยมศึกษาปีที่ ๕ เพื่อให้ผู้รับทุนมีเวลาเตรียมความพร้อมในเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอในการไปศึกษาในต่างประเทศ เช่น การใช้ภาษา การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีกิจกรรมเข้าค่ายเป็นระยะๆ เพื่ออบรมให้ผู้รับทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาและการใช้ชีวิตในต่างประเทศปลูกฝังจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ความกตัญญู ความรับผิดชอบต่อสังคม รวมทั้งให้มีความผูกพันกับภาครัฐ ตลอดจนรับฟังปัญหาของผู้รับทุนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ทันการณ์ ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการรับทุน หากผู้รับทุนต้องการหางานทำเพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจัดหางานให้ด้วย ๓.๓ เมื่อผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว ในระหว่างที่ยังไม่มีงานทำ ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหางานให้ทำชั่วคราวไปพลางก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28713 | การดำเนินโครงการพัฒนาเมือง | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. กรอบการดำเนินงานโครงการพัฒนาเมือง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างกระบวนการการเรียนรู้ในด้านการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ของชุมชนโดยผู้มีภูมิลำเนาทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานในพื้นที่ชุมชน เพื่อการกระจายอำนาจการตัดสินใจในการพัฒนาเมืองไปสู่คนในพื้นที่ซึ่งจะส่งเสริมความเข้าใจในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองและพัฒนาเมืองให้น่าอยู่อาศัย ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ สัมพันธ์กับความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมชุมชน พื้นที่เป้าหมาย กรุงเทพมหานคร ๕๐ เขต เทศบาลเมือง/เทศบาลนคร/อำเภอเมืองในแต่ละจังหวัด รวม ๗๖ จังหวัด งบประมาณ (๑,๓๐๐ ล้านบาท) ประกอบด้วย งบสนับสนุนชุมชน ๑,๐๐๘ ล้านบาท และงบดำเนินการ ๒๙๒ ล้านบาท ๒. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๘/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการพัฒนาเมือง โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นรองประธานกรรมการ และนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้ชุมชนเมืองเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ให้สอดคล้องกับแผนงานที่กำหนดไว้บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนและการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนเมือง รวมทั้งจัดทำระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อรองรับการปฏิบัติงาน เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28714 | การให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (นายอุดม มั่งมีดี) | สว | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลงมติของที่ประชุมวุฒิสภา ในคราวประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ ๕ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ ไม่ให้ความเห็นชอบนายอุดม มั่งมีดี ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมรับไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28715 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ. 8/2550 คดีหมายเลขแดงที่ ฟ. 105/2555 ระหว่างนายมานิตย์ ชัยมงคล ฟ้องการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้อง | อส | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๘/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ. ๑๐๕/๒๕๕๐ ระหว่าง นายมานิตย์ ชัยมงคล ผู้ฟ้องคดี กับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28716 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 รวม 4 ฉบับ | พน | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง รวม ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๖ เพื่อให้ครอบคลุมถึงการประกอบกิจการน้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และก๊าซธรรมชาติ ๒. ร่างกฎกระทรวงคลังน้ำมัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบกิจการคลังน้ำมัน ๓. ร่างกฎกระทรวงระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการน้ำมัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของสถานที่ประกอบกิจการน้ำมัน ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติของผู้ทดสอบและตรวจสอบน้ำมันและผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการทดสอบและตรวจสอบน้ำมัน และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการทดสอบและตรวจสอบน้ำมัน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดคุณสมบัติของผู้ทดสอบและตรวจสอบน้ำมันและผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการทดสอบและตรวจสอบน้ำมัน และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการทดสอบและตรวจสอบน้ำมัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28717 | การดำเนินการตามมาตรการการป้องกันไฟป่าและหมอกควันประจำปี 2556 | นร | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการการป้องกันไฟป่าและหมอกควันประจำปี ๒๕๕๖ (เพิ่มเติม) โดยเปลี่ยนจากเดิม “ควบคุมการเผา” เป็น “ไม่มีการเผา” ใช้ระบบ Single Command มีคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเป็นผู้รับผิดชอบ และใช้ระบบ Area Approach มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนหน้า (Forward Command) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการในส่วนที่ได้รับมอบหมาย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28718 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) (นางสาวอัจฉรา วงศ์แสงจันทร์) | วท | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางสาวอัจฉรา วงศ์แสงจันทร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28719 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประเด็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ของประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ที่ได้ยื่นหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดตาก สุโขทัย และอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการและติดตามการดำเนินการตามข้อร้องเรียนต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้
๑. กรณีข้อร้องเรียนติดตามเงินชดเชยพิเศษกลุ่มเกษตรกรผู้ที่ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กับกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก) ให้ถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป ๒. กรณีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาราคาลำไยอบแห้งตกต่ำ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมการพิจารณาและประสานงานเพื่อเร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
28720 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี | นร07 | 21/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ โดยมีผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวน ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรเสร็จสิ้นแล้วรวม ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๓.๐๒ ล้านบาท โดยมีหน่วยงานยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) ซึ่งได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) แล้ว จึงไม่ขอรับจัดสรรฯ ๒. การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ๒.๑ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงิน ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ๒.๒ หน่วยงานขอรับการจัดสรรแล้ว จำนวน ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๗๑.๗๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๘๕ ของวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรให้แล้วทั้ง ๒๐ โครงการ วงเงิน ๓๖๙.๖๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๔๕ ของวงเงินที่ขอรับการจัดสรร ๒.๓ โครงการที่ได้รับอนุมัติงบกลางแต่ยังไม่ขอรับการจัดสรรทั้งสิ้น จำนวน ๖ โครงการ วงเงิน ๑๔๕.๖๓ ล้านบาท อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับการจัดสรร คาดว่าจะขอรับการจัดสรรได้ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๖
|
.....