ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1012 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 20221 - 20240 จากข้อมูลทั้งหมด 124195 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
20221 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดบึงกาฬ ) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20222 | การจัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับ ภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี 2559 | กต | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จัดทำความตกลงระหว่างไทยกับสหประชาชาติในรูปแบบของหนังสือแลกเปลี่ยนสำหรับการฝึกอบรมหลักสูตรกฎหมายระหว่างประเทศระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ (United Nations Regional Course in International Law) ประจำปี ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๗ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออบรมกฎหมายระหว่างประเทศให้กับผู้ที่มีภูมิหลังด้านกฎหมายหรือประสบการณ์ในการทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งไทยสามารถส่งผู้แทนเข้าอบรมได้ไม่เกิน ๕ คน จากจำนวนผู้เข้าอบรมไม่เกิน ๓๐ คน รวมทั้งรายละเอียดเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เอกสิทธิและความคุ้มกันแก่ผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ผู้บรรยายที่ได้รับเชิญจากสหประชาชาติ และพนักงานของสหประชาชาติที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวเนื่องกับการฝึกอบรมฯ การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตรา และการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วม รวมถึงเงื่อนไขการดำเนินการในกรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการตีความหรือการปฏิบัติตามความตกลงฯ ด้วย ๑.๒ ให้นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรด้านการทูตและการต่างประเทศที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ในวงเงิน ๓๒,๘๓๔,๕๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ การใช้จ่ายงบประมาณรายการดังกล่าวให้สามารถดำเนินการได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกาศใช้บังคับแล้ว ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย |
|||||||||||||||||||||
20223 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดชลบุรี) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20224 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนและพัฒนาชนชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ | ศธ | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่อนุมัติให้มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์เปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างอาคารเรียนและพัฒนาชนชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ จากตำบลทุ่งศรีเมือง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน เป็นตำบลป่าเซ่า อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ภายในวงเงิน ๒๓๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท โดยผ่อนผันให้มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์สามารถลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างรายการดังกล่าวภายหลังวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ได้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์) เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันและดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20225 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | สว | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีข้อสังเกตว่า การแจ้งสิทธิการได้รับค่าตอบแทนสมควรที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะได้ขอความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชนเพื่อช่วยเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียหายและจำเลยตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์อาจพิจารณาแต่งตั้งแพทย์ จำนวน ๒ คน โดยมาจากภาคเอกชนคนหนึ่งและหน่วยงานของรัฐอีกคนหนึ่ง รวมทั้งการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาอาจพิจารณาแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม หรือเจ้าหน้าที่ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน เนื่องจากผู้แทนของหน่วยงานทั้งสองอาจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลผู้เสียหายหรือจำเลยในคดีอาญา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20226 | ร่างกฎกระทรวงให้ใชับังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดปัตตานี) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20227 | ร่างกฎกระทรวงให้ใชับังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดสุโขทัย) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20228 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เพื่อขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ กับซอยกาญจนาภิเษก ๓๙ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการในการกำหนดราคาและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (เรื่องเสร็จที่ ๔๗๔/๒๕๕๑, ๘๕๓/๒๕๓๕) ประกอบกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๙๙/๒๕๔๕ และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้างเพื่อมิให้เกิดปัญหาด้านการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรพิจารณาแผนการก่อสร้างโครงข่ายถนนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบเพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามความจำเป็นเร่งด่วนและสามารถแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่เขตเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แนวเขตที่ที่จะเวนคืนตามร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ได้เคยมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และแขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมระยะเวลาทั้งสิ้น ๔ ปี จึงเห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับใหม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
20229 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557 | คค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินและงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของกองทุนฯ แล้วมีความเห็นว่า งบการเงินแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกัน ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด สำหรับรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินกองทุนฯ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะด้านการดำเนินงาน การบริหารแผนงบประมาณ การใช้จ่ายเงินตามแผนงานโครงการหรือแผนงาน การใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อทรัพย์สิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินการเพื่อนำเสนอรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุน ฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
|
|||||||||||||||||||||
20230 | ร่างกฎกระทรวงให้ใชับังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดสกลนคร) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20231 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา ติดตาม และแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | ทส | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา ติดตาม และแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้พิจารณาประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น ควรปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรน้ำให้มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติต้องกำหนดนโยบายการวางแผนทรัพยากรน้ำในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมทั้งควรจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางทำหน้าที่ประสานงานและบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20232 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม 35 ฉบับ (จังหวัดสตูล) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัด รวม ๓๕ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครพนม จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดหนองคาย จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดตาก จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดลพบุรี จังหวัดพิจิตร จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดลำพูน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดปัตตานี จังหวัดสุโขทัย จังหวัดชัยนาท จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงฯ ตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่ (๑) การกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้ข้อบังคับข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินในกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสำหรับบางพื้นที่ (๒) การยกเว้นหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับเอกชนเป็นการเฉพาะราย และ (๓) ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอื่นในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการยกเว้นในเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภทให้สามารถพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนบางประเภทซึ่งมีลักษณะเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ส่วนข้อกำหนดของร่างกฎกระทรวงฯ อาจส่งผลให้ไม่สามารถตั้งหรือขยายโรงงานได้ รวมทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อม พื้นที่ชุ่มน้ำ แหล่งศิลปกรรมอันมีคุณค่าแก่การอนุรักษ์ และการตรวจสอบพื้นที่เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ นอกจากนี้ เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้แล้ว ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญต่อการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเข้มงวด ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับกฎกระทรวงฯ รวม ๓๕ ฉบับดังกล่าวแล้ว ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตามแนวทางการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยเร็วต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20233 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีคัดค้านโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ | พน | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชนกรณีคัดค้านโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงพลังงานรายงานว่า ปัจจุบันนี้กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการริเริ่มพัฒนาโครงการโดยชุมชน และเนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง จึงไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เว้นแต่สถานที่ตั้งของโครงการจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำหลัก ประกอบกับควรส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นโครงการที่ลงทุนและดำเนินการโดยชุมชน เพื่อประโยชน์จะได้ตกแก่ชุมชนโดยตรง รวมทั้งเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ต่อพื้นที่เกษตรกรรมและประชาชนในพื้นที่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสามารถพิจารณาอนุญาตให้ใช้ที่ดินได้ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาตและการให้ผู้รับอนุญาตถือปฏิบัติในการใช้ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์สำหรับกิจการที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๔๑ และตามข้อ ๑.๕ ของประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามมาตรา ๓๐ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
20234 | รายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) | อื่นๆ | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง รายงานการศึกษาธนาคารที่ดินและร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. ....) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วและมีมติเห็นตรงกันว่ารายงานของสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นรายงานที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกมิติ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการที่ดินของประเทศที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินทำกินของประชาชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และการจัดตั้งธนาคารที่ดินจะนำไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกิน การสูญเสียสิทธิในที่ดิน (ที่ดินหลุดมือ) การบุกรุกที่ดินของรัฐและเอกชน โดยเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการซึ่งไม่มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานที่มีอยู่ อันจะนำไปสู่ความมั่นคงด้านการจัดการที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป โดยยึดหลักการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มศักยภาพของที่ดิน ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติธนาคารที่ดิน พ.ศ. .... ที่ประชุมเห็นชอบด้วยในหลักการของร่างพระราชบัญญัติโดยมีข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งกระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
20235 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน 4 ฉบับ | สลธ.คสช. | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๔ ฉบับ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๔/๒๕๕๙ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง สั่ง ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๕/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองและใช้ประโยชน์ที่ดินป่าภูทับเบิก ในท้องที่ตำบลวังบาลและตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ สั่ง ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๖/๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย สั่ง ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๔. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๗/๒๕๕๙ เรื่อง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขและค่าใช้จ่ายอื่นตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สั่ง ณ วันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||
20236 | รายงานสถานการณ์ประชากรไทย พ.ศ. 2558 เรื่อง "โฉมหน้าครอบครัวไทยยุคเกิดน้อย อายุยืน" | นร11 | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงานว่า ได้ร่วมกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) จัดทำรายงานสถานการณ์ประชากรไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ เรื่อง “โฉมหน้าครอบครัวไทย ยุคเกิดน้อย อายุยืน” ขึ้น เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และเผยแพร่ให้สาธารณชนได้ใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมต่อไป โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงครอบครัวไทย รูปแบบครอบครัวไทยในปัจจุบัน นโยบายของประเทศไทย วิธีปฏิบัติที่ดีของต่างประเทศ และข้อเสนอแนะ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการกำหนดนโยบายส่งเสริมให้คนมีบุตรอย่างจริงจัง โดยในการกำหนดนโยบายควรพิจารณาในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนเพื่อให้มาตรการการเพิ่มการมีบุตรเป็นการส่งเสริมการเกิดที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง และควรพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มประชากร โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนควรพิจารณามาตรการส่งเสริมการทำงานในกลุ่มผู้สูงอายุหลังเกษียณที่มีคุณภาพและมีศักยภาพเพื่อเพิ่มกำลังแรงงานในตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ควรมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และสื่อสารต่อสังคมให้ตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุควบคู่ด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการมีงานทำหรือจัดตั้งวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) โดยให้สอดรับกับสถานการณ์ประชากรไทยในปัจจุบัน และส่งเสริมการใช้นวัตกรรม เช่น ทำงานผ่านทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหาแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ตามนโยบายที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||
20237 | รายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ประจำปี 2558 | พน | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีและรายงานงบการเงินขององค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ประจำปี ๒๕๕๘ ที่ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี (บริษัท M/s KPMG) เรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กิจกรรมที่สำคัญในปี ๒๕๕๘ มีการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแปลง A-18 รวมทั้งสิ้น ๓๑๒ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๘๕๔ ล้านลูกบาศก์ฟุต และจากแปลง B-17 & C-19 รวมทั้งสิ้น ๑๑๙ พันล้านลูกบาศก์ฟุต ในอัตราเฉลี่ยวันละ ๓๒๖ ล้านลูกบาศก์ฟุต และมีก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ส่งให้แก่ประเทศไทย จำนวน ๒๓๔ พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยผ่านท่อก๊าซทรานส์ไทย-มาเลเซียไปยังโรงไฟฟ้าจะนะที่จังหวัดสงขลา และผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นที่ ๓ ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปยังจังหวัดระยอง ๒. ผลประกอบการในปี ๒๕๕๘ ขององค์กรร่วมฯ ได้จากการขายปิโตรเลียมโดยการผลิตปิโตรเลียมจากแปลง A-18 และแปลง B-17 & C-19 ก่อให้เกิดรายได้ขององค์กรร่วมฯ ในรูปของค่าภาคหลวง ๒๙๒,๗๒๑,๕๔๗ ดอลลาร์สหรัฐ ปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไร ๗๙๔,๕๐๖,๔๙๗ ดอลลาร์สหรัฐ และรายได้อื่น ๙๗๕,๘๔๙ ดอลลาร์สหรัฐ สถานะของกองทุนองค์กรร่วมฯ ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ มียอดรวม ๔๖๕,๐๑๐,๙๘๙ ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ในปี ๒๕๕๘ องค์กรร่วมฯ ได้นำส่งรายได้จากการผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ให้แก่รัฐบาลไทย ๕๓๖,๘๙๗,๓๖๙.๓๖ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๘,๓๓๙,๓๕๕,๓๒๐.๕๙ บาท) ซึ่งเท่ากับรายได้ที่ส่งให้รัฐบาลมาเลเซีย
|
|||||||||||||||||||||
20238 | ผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ ๒ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ อนุมัติให้ดำเนินโครงการเงินกู้ฯ ภายในกรอบวงเงิน ๗๘,๒๙๔.๘๕ ล้านบาท สำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการเงินกู้ฯ จำนวน ๗๓,๘๕๙.๙๕ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดหาเงินสำหรับการดำเนินงานโครงการเงินกู้ฯ แล้วทั้งสิ้น จำนวน ๕๙,๓๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท และเงินยืมกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จำนวน ๙,๓๐๐ ล้านบาท ปัจจุบันมีผลการเบิกจ่ายเงินทั้งสิ้น จำนวน ๕๑,๙๔๙.๔๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๗๐.๓๔ ของวงเงินจัดสรร (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙) ได้แก่ (๑) แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ระยะเร่งด่วน ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (เพิ่มเติม) จำนวน ๑๗,๕๓๘.๕๔ ล้านบาท และ (๒) แผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน จำนวน ๓๔,๔๑๐.๘๗ ล้านบาท ๒. ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ มีหน่วยงานที่ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทั้งสิ้น จำนวน ๑๐ หน่วยงาน ๑๗ โครงการ วงเงินรวม ๕,๗๓๙.๗๗ ล้านบาท โดยมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานโครงการเงินกู้ฯ คือ ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ๓. โครงการเงินกู้ฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ มีโครงการที่คาดว่าจะดำเนินการเบิกจ่ายไม่แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จำนวนทั้งสิ้น ๗ หน่วยงาน ๒๒ โครงการ ซึ่งมีแผนการเบิกจ่ายผูกพันปีงบประมาณ ๒๕๖๑-๒๕๖๒ รวมทั้งสิ้น จำนวน ๑,๕๐๘.๕๒ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
20239 | แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2559 - 2563) | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งผ่านการระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทยในระยะต่อไป และเป็นการวางกรอบทิศทางในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยไทยช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓ ที่ต้องการมุ่งเน้นให้ “ระบบประกันภัยไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากประชาชน” ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย (๒) การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย (๓) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และ (๔) การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
20240 | หลักเกณฑ์การออกสลากการกุศล | กค | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักการและแนวทางการพิจารณาการออกสลากการกุศล ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศล เพื่อกำหนดแนวทางการพิจารณาและกลั่นกรองโครงการสลากการกุศลของหน่วยงานต่าง ๆ ก่อนเสนอกระทรวงการคลังเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีให้แก้ไของค์ประกอบ จากเดิม “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ” เป็น “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นประธานกรรมการ” ๑.๒ กำหนดให้มีกรอบหลักเกณฑ์และแนวทางในการพิจารณาการออกสลากการกุศล ประกอบด้วย หน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุน โครงการที่ขอรับการสนับสนุน การพิมพ์สลากการกุศล วงเงินสนับสนุนโครงการ การพิจารณาการออกสลากการกุศล รายละเอียดของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน รวมทั้งการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการ ๑.๓ หน่วยงานสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนได้ที่กระทรวงการคลัง โดยกระทรวงการคลังจะประกาศระยะเวลาการยื่นขอรับการสนับสนุนบนเว็บไซต์ และจะดำเนินการประกาศเผยแพร่รายชื่อหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุน รายละเอียดโครงการ วงเงินที่ได้รับในการสนับสนุนการออกสลากการกุศล พร้อมทั้งผลการดำเนินงานของโครงการนั้น ๆ บนเว็บไซต์ ๑.๔ สัดส่วนการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศล ๑.๔.๑ ร้อยละ ๖๐ เป็นเงินรางวัล ๑.๔.๒ ไม่เกินกว่าร้อยละ ๒๒.๕ เป็นเงินรายได้ที่ให้กับหน่วยงานเจ้าของโครงการ ๑.๔.๓ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๐.๕ เป็นค่าภาษีการพนัน ๑.๔.๔ ไม่เกินกว่าร้อยละ ๑๗ เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสภากาชาดไทยเกี่ยวกับการพิจารณากำหนดประเภทของกิจกรรมที่จะสามารถขอรับการสนับสนุนให้มีการออกสลากการกุศล และพิจารณาให้มีการกำหนดนิยามคำว่า “ลดความเหลื่อมล้ำด้านสังคม” ไว้ในหลักเกณฑ์การออกสลากการกุศล การกำหนดหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องไม่เคยได้รับการจัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศลมาก่อน และการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินรายเดือนให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาจัดสรรเงินให้กับหน่วยงาน รวมทั้งการติดตามและรายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะกรรมการฯ ควรจะดำเนินการเป็นรายไตรมาส ตลอดจนการพิจารณาเพิ่มเติมวงเงินสำหรับโครงการที่ขอรับการสนับสนุน รวมถึงวงเงินรวมในการออกสลากการกุศลแต่ละครั้ง ให้พิจารณาโดยดูจากขนาดของโครงการฯ เหตุผลและความจำเป็นของโครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ นำเสนอสามารถนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเงินที่จะออกสลากการกุศลสนับสนุนโครงการตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจะต่ำกว่า หรือสูงกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท และวงเงินรวมอาจอยู่ระหว่าง ๑๐,๐๐๐-๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อให้มีกรอบวงเงินเพิ่มเติมที่จะพิจารณาให้การสนับสนุนแก่องค์กรการกุศลได้มากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....