ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 29 จากทั้งหมด 6210 หน้า แสดงรายการที่ 561 - 580 จากข้อมูลทั้งหมด 124181 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
561 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... | มท. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนคอนสาร
จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลทุ่งนาเลา ตำบลคอนสาร และตำบลดงบัง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา การดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ
และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทต่าง ๆ ควรคำนึงถึง กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
562 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการชาวต่างชาติแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน | กต. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการชาวต่างชาติแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกรอบความร่วมมือในการประชุมปรึกษาหารือทางการเมือง
เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
และหากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการปรับแก้บันทึกความเข้าใจฯ
พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
563 | แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์สู่หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | กต. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
(Joint Statement on the Elevation to a
Comprehensive Strategic Partnership between Thailand and
Viet Nam) โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือใน
๓ เสาหลัก ได้แก่ ๑) หุ้นส่วนเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืน เช่น
เพิ่มพูนความร่วมมือในด้านการเมือง การป้องกันประเทศ และความมั่นคงปลอดภัย ๒)
หุ้นส่วนเพื่อการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น เพิ่มพูนความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ
และ ๓) หุ้นส่วนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เช่น ส่งเสริมความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยจะมีการรับร่างถ้อยแถลงการณ์ร่วมฯ ในห้วงการเดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีระหว่างวันที่
๑๕ - ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติตตาม ประเมินผล
และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
564 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข | สธ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซียและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง
ๆ เช่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพและระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ
การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ความมั่นคงด้านยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์
การเงินการคลังด้านสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
565 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ที่ปรับปรุงใหม่ | พณ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับปัจจุบันเพื่อให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน
เนื่องจากมีการปรับชื่อหน่วยงานของเวียดนามที่รับผิดชอบภารกิจด้านความร่วมมือทางการค้าทวิภาคีกับไทย
การปรับปีเป้าหมายของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนจากปี ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นปี ค.ศ. ๒๐๔๕
รวมถึงการปรับถ้อยคำเพื่อให้สะท้อนถึงการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี
เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านในปี ๒๕๖๘ ณ ประเทศเวียดนาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด ที่ กต ๐๘๐๔/๓๕๒ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ควรเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ควรให้ครอบคลุมความร่วมมือในการป้องกันการสวมสิทธิการส่งออกสินค้าของประเทศที่สาม
(Transshipment หรือ Origin
Fraud) โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยและรูปแบบการกระทำความผิด
รวมถึงการเฝ้าระวังแนวโน้มการกระทำความผิดในรูปแบบใหม่
อันจะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
566 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2568 | ปสส. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ซึ่งพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา
ได้แก่ เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา
พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. .... ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
567 | การขออนุมัติวิธีการกู้เงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ | กค. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token : G Token) ตามมาตรา ๑๐
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. ....
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการให้อำนาจกระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพ
และภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น
ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าอยู่ในอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาอนุมัติวิธีการกู้เงินในรูปแบบการออกโทเคนดิจิทัลได้ตามที่เห็นสมควร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เห็นว่าการดำเนินการเกี่ยวกับการออกเสนอขายโทเคนดิจิทัลและการจัดทำทะเบียนโทเคนดิจิทัลของกระทรวงการคลังอาจพิจารณากำหนดกลุ่มหรือประเภทผู้ดำเนินการ
รวมถึงขอบเขตในการดำเนินการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
และอาจต้องประสานกับผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับความประสงค์ให้การโอนโทเคนดิจิทัลสมบูรณ์
เมื่อได้ดำเนินการตามวิธีการที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลกำหนด เนื่องจากพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๑ ไม่ได้กำหนดแบบในการโอนโทเคนดิจิทัลไว้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อทุกกลุ่มให้เป็นไปอย่างโปร่งใส
ตรวจสอบได้ และเป็นธรรม
รวมทั้งกำหนดกลไกในการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโนโอกาสแรกต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
568 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | สธ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง
ๆ ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
569 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา | สว. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว
เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
570 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลปกครอง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 | ศป. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลปกครอง
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
571 | ข้อเสนอแนะตามรายงานคู่ขนานการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และข้อสังเกตเชิงสรุปของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานต่อรายงานประเทศ ฉบับที่ 2 | สนง. กสม. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะตามรายงานคู่ขนานการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย
ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี
และข้อสังเกตเชิงสรุปของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานต่อรายงานประเทศ ฉบับที่ ๒
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
572 | ร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กและผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง ตามนโยบายการสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศและนโยบายการยกระดับการบริการภาครัฐ | กค. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการผลิตสุรา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการผลิตสุรา
พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยการแก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของผู้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราจากโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
แก้ไขหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็ก และโรงอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
เช่น สถานที่ตั้งของโรงอุตสาหกรรมสุรากลั่น และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้มีความสอดคล้องกัน
รวมทั้งแก้ไขคำนิยามเกี่ยวกับโรงอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ
สถานที่ผลิต เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันทางการค้า การสร้างรายได้
และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดเล็กและผู้ประกอบอุตสาหกรรมสุราขนาดกลาง
ตามนโยบายการสร้างโอกาสต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ
โดยการปรับใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านและสุราชุมชน และนโยบายการยกระดับการบริการภาครัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นควรคำนึงถึงสุขลักษณะความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
ความสามารถในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ และผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยสามารถต่อยอดสร้างการกระจายรายได้
และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
573 | กรแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒
รายเพิ่มเติม ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(นายพิชัย ชุณหวชิร) ๒. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์
ศิรินิล)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
574 | ร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมของการหารือระดับผู้นำครั้งที่ 1 ว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ | กต. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมของการหารือระดับผู้นำครั้งที่
๑ ว่าด้วยการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
และให้นายกรัฐมนตรีร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมฯ ในการหารือระดับผู้นำครั้งที่
๑ ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘ โดยร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศในการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์
และติดตามความคืบหน้าความร่วมมือระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในมิติที่สำคัญ ได้แก่ ๑)
ด้านการเมืองและความมั่นคง เช่น การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ๒) ด้านเศรษฐกิจ เช่น
การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน
๓) ด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น ความร่วมมือด้านการศึกษาวัฒนธรรม และ ๔)
ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี โดยเฉพาะในกรอบอาเซียนรวมถึงการสนับสนุนในเวทีพหุภาคีอื่น
ๆ เช่น BRICS องค์การสหประชาชาติเพื่อรับมือกับความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับโลกร่วมกัน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรติดตามประเมินผล และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
575 | ทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2568-2570 | ศธ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ พ.ศ.
๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานให้ทุนและหน่วยงานทำวิจัยนำทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐
ไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ทุนและจัดทำงานวิจัยทางการศึกษาตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการ สภาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรให้มีการติดตามและประเมินผลที่เชื่อมโยงกับตัวชี้วัดสากลด้านความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษาและภาพรวมของประเทศ
และให้ความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะกำลังคนที่มุ่งเน้นทักษะดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดและสร้างพลเมืองดิจิทัล กระทรวงแรงงาน เห็นควรให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษาและตลาดแรงงานอย่างเป็นระบบ
โดยเฉพาะการพัฒนาแรงงานให้มีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม
เพื่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร
รูปแบบ แนวทาง การจัดการศึกษา และการจัดการเรียนการสอน ให้ชัดเจน เหมาะสม
และมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งมีการประเมินผลและการกำหนดตัวชี้วัดในเรื่องต่าง
ๆ ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล เช่น การประเมินจากโปรแกรมการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล
(Programme for International Student
Assessment : PISA)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
576 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | บจธ. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการยุบเลิกสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ออกไปเป็นภายในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
เพื่อศึกษาทบทวนบทบาทภารกิจและความจำเป็นในการมีอยู่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) โดยในช่วงการขยายระยะเวลาดังกล่าวนี้ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ปฏิบัติภารกิจเท่าที่จำเป็นและไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น
ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ทั้งนี้
ตามมติของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ และให้ปรับแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ให้สอดคล้องกับการขยายระยะเวลาการยุบเลิกสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
577 | นายกรัฐมนตรีลากิจในวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 และวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 | นร 05 | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งว่า
นายกรัฐมนตรีจะลากิจในวันอังคารที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น.
เป็นต้นไป และวันพุธที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๒.๐๐ น.
ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรี ให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
578 | ขอความเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล FIVB Women's World Championships 2025 | กก. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล
FIVB Women’s World Championships 2025
ภายในกรอบวงเงินทั้งสิ้น ๑,๑๒๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยใช้จ่ายจากเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ วงเงิน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รายได้ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดและโซเชียลมีเดียภายในประเทศ
รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน การสนับสนุนจากภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ
ที่ได้ประมาณการไว้วงเงิน ๔๗๔,๕๐๐,๐๐๐
บาท และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๔๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความจำเป็นและเหมาะสม และเป็นไปตามขั้นตอนของตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๓/๔๕๗ ลงวันที่
๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘) ทั้งนี้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าการดำเนินงานต้องควบคุมและกำกับการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด
เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้
กระทรวงสาธารณสุขจะเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขรองรับการจัดงานในช่วงเวลาดังกล่าว
เพื่อให้การแข่งขันดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยสูงสุดกับเจ้าหน้าที่ นักกีฬา
และประชาชนที่เข้าชม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
579 | แนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) | นร.10 | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
(Outstanding Development
Opportunity Scholarship : ODOS) เพื่อให้นักเรียนซึ่งขาดแคลนโอกาส
มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีศักยภาพ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี
รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนโอกาส
ให้เข้าถึงการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ และปลูกฝังทัศนคติให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศในการพัฒนาตนเองอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง
ตามที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศเสนอ ให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรให้มีการกำหนดแนวทางแผนรองรับภายหลังสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนที่มีความชัดเจนและรัดกุม
โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนในการสนับสนุนเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐและภาคเอกชน
ให้มีความสอดคล้องตามความต้องการท้องถิ่นและทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการดังกล่าวในทุกปีการศึกษา เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรคและนำผลการติดตามประเมินผลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการและจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไปด้วย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
580 | ขออนุมัติปรับชื่อ วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมาย โครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี | พม. | 13/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การเคหะแห่งชาติปรับชื่อโครงการ
วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายโครงการบ้านสวัสดิการ (เช่าซื้อ) จังหวัดสงขลาและจังหวัดปัตตานี
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และการเคหะแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๐๖/๒๘๐๕ ลงวันที่ ๙
พฤษภาคม ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากโครงการดังกล่าวมีเนื้อที่เกินกว่า
๑๐๐ ไร่ จะเข้าข่ายการจัดทำและเสนอรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามขั้นตอนของกฎหมายกำหนดต่อไป
ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ
หรือการดำเนินการซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไข ในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๖ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |