ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 773 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15441 - 15460 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15441 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS ครั้งที่ 3 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Meeting of ACMECS Tourism Ministers) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๖-๘ กันยายน ๒๕๖๐ ณ เมืองโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รองศาสตราจารย์ ดร.ชวนี ทองโรจน์) เข้าร่วมการประชุม ซึ่งที่ประชุม ACMECS ครั้งที่ ๓ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสท่องเที่ยวยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ครั้งที่ ๓ (The 3rd Meeting of ACMECS Senior Officials) และหารือแนวทางการดำเนินงานความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ACMECS เช่น (๑) การให้ความสำคัญกับกลไกกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [Greater Mekong Subregion (GMS)] โดยการอำนวยความสะดวก การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาคของกลุ่มประเทศ ACMECS ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ (๒) การส่งเสริมสนับสนุนผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวที่สำคัญที่เชื่อมโยงในกลุ่มประเทศ ACMECS เช่น Southern Coastal Corridor (กัมพูชา-เมียนมา-ไทย-เวียดนาม) Northern Heritage Trail (ลาว-ไทย-เวียดนาม) และ (๓) ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เช่น การประชุม ACMECS ครั้งที่ ๔ และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส ACMECS ครั้งที่ ๔ เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุม ACMECS ครั้งที่ ๓ รับทราบการออกแบบตราสัญลักษณ์ของ ACMECS Tourism เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศ ACMECS รวมทั้งเห็นชอบให้สนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว “5 Countries 1 Destination” สนับสนุนการสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศสมาชิก ACMECS และเห็นชอบในประเด็นที่ผู้แทนประเทศไทยเสนอเพิ่มเติมในการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในกลุ่มประเทศสมาชิก ACMECS และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เห็นควรให้มีการส่งเสริมการสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแก่นักท่องเที่ยวและการประเมินผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาค ACMECS ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15442 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2561 | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทย (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๓ ติดต่อกัน อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๕ สูงขึ้นร้อยละ ๔.๙ (YoY) โดยสาขาบริการสำคัญที่ขยายตัวสูงขึ้น ได้แก่ การขายส่งและขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร โดยปัจจัยที่ทำให้ภาคบริการขยายตัว มาจากการขยายตัวสูงของจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนเพิ่มทุน มูลค่าส่งออกบริการ และดัชนีราคาหุ้นภาคบริการในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของมูลค่าทุนจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มทุน จำนวนนิติบุคคลและมูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สุทธิ เงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ และความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขา มีสาขาภาคบริการที่ขยายตัว จำนวน ๘ สาขา โดยสาขาที่ขยายตัวเร่งขึ้น ได้แก่ การขายส่งและการขายปลีก การเงินและการประกันภัย การขนส่งและสถานที่จัดเก็บสินค้า ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และศิลปะ ส่วนสาขาที่ยังคงขยายตัวแต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ กิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์ และการศึกษา ขณะที่สาขาที่หดตัว ได้แก่ การก่อสร้าง ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร กิจกรรมด้านสุขภาพ กิจกรรมการบริหาร และกิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเห็นการปรับรูปแบบการบริการที่ชัดเจนมากขึ้น เพื่อรองรับยุคดิจิทัล สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพและแนวโน้มขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาการขายส่งและขายปลีก สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาสุขภาพ และสาขาอสังหาริมทรัพย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15443 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 | ดศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ซึ่งผ่านการรับรองจากคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยการประชุมฯ ประกอบด้วย ๑.๑ เรื่องเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐ และการขอขยายโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๑.๒ เรื่องเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของคณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การดำเนินงานของคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการขยายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และการดำเนินงานอื่น ๆ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการขยายโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (โครงการเน็ตประชารัฐ) รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการเปิดให้ประชาชนในพื้นที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15444 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ 2561 และแนวโน้มไตรมาสที่ 2 ปี 2561 | อก | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และแนวโน้มไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ ๔.๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันพืช และ Hard Disk Drive ด้านการนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า ๑,๓๙๕.๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๓.๔ (YoY) ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๙๐๒.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ ๑๗.๖ (YoY) สำหรับสถานสภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ การประกอบกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการ ๒๗๘ โรงงาน ลดลงร้อยละ ๑๘.๒๔ และมียอดเงินลงทุนรวม ๑๓,๗๘๓ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๙.๙๑ ขณะที่การเลิกกิจการ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) : มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ ๙๖ ราย ลดลงร้อยละ ๓๐.๔๓ และมีเงินทุนของการเลิกกิจการมีมูลค่ารวม ๙๐๔ ล้านบาท ลดลงร้อยละ ๗๕.๔๔ ๒. คาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทย ไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวเป็นบวกในช่วงร้อยละ ๓.๕-๔.๐ (YoY) ขยายตัวมากกว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ ๒/๒๕๖๐ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐.๘ (YoY) โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่คาดว่าจะขยายตัว ได้แก่ รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร โดยมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แรงขับเคลื่อนในการลงทุนภาครัฐ และการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15445 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๓๕,๓๗๓ ครั้ง รวมจำนวน ๑๙,๙๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย บ่อนการพนัน ไฟฟ้า และยาเสพติด ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๑๗,๓๖๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๑๗ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๕๕๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๘๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้เกี่ยวข้องในประเด็นข้อสงสัยหรือข้อขัดข้องที่ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ให้เสร็จสิ้นได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15446 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมน | กต | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) ที่ ๒๔๐๒ (ค.ศ. ๒๐๑๘) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เพื่อต่ออายุมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยมีสาระสำคัญเป็นการห้ามการเดินทางและการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนข้อยกเว้นที่เกี่ยวข้องออกไปจนถึงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ๒. กรณีที่ UNSC ได้ออกข้อมติเพื่อคงไว้ซึ่งมาตรการลงโทษเกี่ยวกับสาธารณรัฐเยเมนเป็นประจำทุกปี และเนื้อหาของข้อมติใหม่มิได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของมาตรการลงโทษที่มีอยู่เดิม เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และหากกรณีที่ UNSC จะรับรองข้อมติเพื่อเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษกรณีสาธารณรัฐเยเมน เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญหรือยกเลิกมาตรการลงโทษดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษสาธารณรัฐเยเมน โดยเฉพาะรายชื่อบุคคลและองค์กรที่ต้องถูกมาตรการลงโทษ (ห้ามเดินทางและอายัดทรัพย์สิน) ให้ทันสมัยตามข้อมูลเว็บไซต์ของสหประชาชาติ (United Nations : UN) (http://www.un.org/sc/suborg/en/sanctions/2140) รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อ UN ต่อไป ทั้งนี้ UN จะปรับปรุงรายชื่อบุคคล องค์กรภายใต้หัวข้อ “Sanctions List Materials” เป็นระยะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15447 | หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) | ปช | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑ เห็นชอบหลักการเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรอุดมศึกษา หลักสูตรกลุ่มทหารและตำรวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและวิสาหกิจ และหลักสูตรโค้ช มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต โดยแต่ละหลักสูตรจะมีเนื้อหา ๔ ชุดวิชา ได้แก่ (๑) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม (๒) ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต (๓) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ (๔) พลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปพิจารณาปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ต้องนำหลักสูตรดังกล่าวไปดำเนินการรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา เช่น หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานควรกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัยให้ชัดเจนและจัดทำแนวทางดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ส่วนวิธีการนำไปปฏิบัติให้สถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการในแนวทางใด รวมทั้งควรมีหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้กลุ่มสื่อสารมวลชนเข้ามามีส่วนร่วม และควรให้ความสำคัญกับการประเมินผลการเรียนรู้ทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย โดยให้ประสานงานกับสำนักงาน ป.ป.ช. ในรายละเอียดเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้ สำหรับภาระงบประมาณที่อาจจะเกิดขึ้นซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำหลักสูตรดังกล่าวไปปรับใช้ในโครงการหรือหลักสูตรฝึกอบรมของข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งให้พิจารณากำหนดกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตรโค้ชให้ชัดเจน โดยให้ครอบคลุมถึงบุคลากรทางการศึกษา เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษาด้วย เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรดังกล่าวสามารถนำความรู้ไปใช้ในการถ่ายทอดหรือประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการและรายงานผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ตำราเรียน ครู อาจารย์ รายละเอียดหลักสูตร เพื่อนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรอุดมศึกษา) ไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษา ทั้งนี้ ในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรดังกล่าวให้มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของการกระทำทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต ความสำคัญของการต่อต้านการทุจริต รวมทั้งจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการจัดหลักสูตรในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15448 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2561 | กษ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับสถานการณ์สับปะรด ปี ๒๕๖๑ และแนวทางการบริหารจัดการสับปะรดโรงงานในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๖๑ เช่น มาตรการนำสับปะรดส่วนเกินออกนอกระบบ มาตรการผลักดันการส่งออกและขยายตลาดต่างประเทศ และมาตรการรณรงค์การบริโภคสับปะรดผลสดเพิ่มขึ้น เป็นต้น รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลไม้ของสถาบันเกษตรกร เพื่อพิจารณาเงื่อนไขและวิธีการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการรวบรวมผลผลิตสับปะรดผ่านกลไกสถาบันเกษตรกร ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15449 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี 2560 และรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | สม | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับสิทธิต่าง ๆ ๕ ส่วนหลัก ได้แก่ (๑) สถานการณ์ด้านสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (๒) สถานการณ์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิการเมือง เช่น การทรมานและการบังคับสูญหาย สิทธิในกระบวนการยุติธรรม (๓) สถานการณ์ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เช่น สิทธิทางการศึกษา สิทธิการทำงาน (๔) สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของบุคคล ๖ กลุ่ม เช่น กลุ่มเด็ก กลุ่มสตรี และ (๕) สถานการณ์ที่เป็นประเด็นร่วม ๕ ประเด็น เช่น การค้ามนุษย์ สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) และรายงานผลการปฏิบัติงานของ กสม. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ๒ ส่วนหลัก ได้แก่ รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๐ ของ กสม. ซี่งมีภารกิจการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การตรวจสอบเรื่องร้องเรียนและจัดทำรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ โดยมีผลการพิจารณา/ตรวจสอบเรื่องร้องเรียน รวมทั้งสิ้น ๑,๐๐๙ เรื่อง และรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของ กสม. ตามที่ กสม. เสนอ ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นชอบและมีความเห็นเพิ่มเติมต่อข้อเสนอแนะของ กสม. โดยให้ส่งความเห็นของหน่วยงานดังกล่าวไปเพื่อ กสม. พิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15450 | ร่างพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๐๓ โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ให้มีอำนาจประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าและดำเนินธุรกิจหรือกิจการอื่นใดที่เป็นประโยชน์แก่ กฟภ. เพิ่มอำนาจในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของ กฟภ. ทั้งในและนอกราชอาณาจักร ปรับปรุงองค์ประกอบ อำนาจหน้าที่ ตลอดจนคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของผู้รักษาการแทนผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคให้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การดำเนินการตามวัตถุประสงค์บางประการที่ควรต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี การกำหนดขอบเขตวัตถุประสงค์ของ กฟภ. ให้ชัดเจนและไม่กว้างขวางเกินไป และการดำเนินการที่ไม่เกี่ยวกับการประกอบกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าโดยตรงต้องไม่นำมาคิดคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าของประชาชน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการให้เงินทดแทนแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15451 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ดศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารกิจการอวกาศ พ.ศ. ๒๕๕๒ เพื่อปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และแก้ไขชื่อส่วนราชการให้สอดคล้องกับการปรับปรุงส่วนราชการในปัจจุบันตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๕๙ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15452 | ร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเพิ่มกลไกในการกำกับดูแล โดยเพิ่มระบบการแจ้งการมีไว้ในครอบครองหรือใช้เครื่องกำเนิดรังสี หรือเครื่องกำเนิดรังสีที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับใช้เพื่อการวินิจฉัยทางการแพทย์และไม่มีวัสดุกัมมันตรังสีเป็นส่วนประกอบ และใช้งานในสถานพยาบาลหรือสถานพยาบาลสัตว์ เป็นอีกระบบหนึ่งในการกำกับดูแล ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้นำหลักการของร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งนายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มความเข้มแข็งของกลไกการตรวจสอบติดตามผลการประเมินเครื่องกำเนิดรังสีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ผู้รับบริการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15453 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สว | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาและข้อสังเกตร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการ [ร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งนายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติฉบับที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอมีหลักการคล้ายกับร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกร่างขึ้น โดยกำหนดให้มีกลไกในการควบคุมเครื่องกำเนิดรังสีเป็นส่วนประกอบ ซึ่งใช้งานในสถานพยาบาลหรือสถานพยาบาลสัตว์ แต่มีความแตกต่างกันในประเด็นการควบคุมเครื่องกำเนิดรังสีดังกล่าว โดยร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (นายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) เสนอได้วางกลไกให้มีกฎหมายเฉพาะในการควบคุมดูแล แต่ร่างพระราชบัญญัติที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียกร่างขึ้น (อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี) ได้กำหนดให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ เพียงแต่นำระบบแจ้งการครอบครองหรือการใช้เครื่องกำเนิดรังสีมาใช้บังคับ และกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวกับเครื่องกำเนิดรังสีดังกล่าวเท่านั้น ๑.๒ เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยคำนึงถึงหลักการข้างต้นและนำหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (นายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) เสนอไปประกอบการพิจารณา ส่วนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่เสนอโดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น เห็นควรชะลอการพิจารณาเพื่อรอร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะรัฐมนตรีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพิจารณาไปพร้อมกันต่อไป ๒. ให้ส่งคืนร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ที่คณะรัฐมนตรีขอรับไปพิจารณาก่อนรับหลักการไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในกำหนดเวลา พร้อมให้แจ้งข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปด้วยว่า ควรชะลอการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (นายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ) เพื่อรอร่างพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา เพื่อพิจารณาไปพร้อมกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15454 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดดอนเมือง ตำบลสีกัน อำเภอดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ. .... | พศ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดดอนเมือง ตำบลสีกัน อำเภอดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ วัดดอนเมือง ตำบลสีกัน อำเภอดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ ๘ ไร่ ๒ งาน ๘๘ ตารางวา ให้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการท่าอากาศยาน ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15455 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวม 2 ฉบับ | นร09 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยร่างกฎกระทรวงทั้ง ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแบ่งส่วนราชการของกรมทรัพยากรธรณีและกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15456 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2561 | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๑ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญคือ ให้สมาชิกเอเปคยืนยันและตระหนักถึงความร่วมมือในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เช่น การสนับสนุนการค้าพหุภาคี การดำเนินการตามเป้าหมายโบกอร์ การจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ความเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การลงทุน มาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า เศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตและการค้าดิจิทัล ความสามารถทางการแข่งขันของการค้าภาคบริการ การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน มีนวัตกรรมและทั่วถึง การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างแถลงการณ์ฯ ไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ รวมทั้งในหลักการของร่างแถลงการณ์ฯ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันผลกระทบทางลบจากเทคโนโลยี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15457 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก | พณ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก โดยเห็นชอบการยกเลิกบันทึกความเข้าใจฉบับเดิมซึ่งลงนามเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างสองประเทศครอบคลุมสาขาต่าง ๆ เช่น การสำรวจทรัพยากรแร่ การส่งเสริมการลงทุนในการใช้ประโยชน์ การค้าและการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรแร่ การวิจัยและเทคโนโลยี รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างไทยและโมซัมบิก เป็นต้น โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ในระหว่างการเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกของคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้า ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศในภูมิภาคแอฟริกา รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว และหลังจากการลงนามแล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของราชอาณาจักรไทยต่อสาธารณรัฐโมซัมบิกอย่างเป็นทางการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจดังกล่าวให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมจากการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพื่อให้การกำหนดกิจกรรม โครงการ และกระบวนการการดำเนินการต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศสามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาทรัพยากรแร่ของทั้งสองประเทศในระยะต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15458 | ร่างยุทธศาสตร์ชาติ | นร11 | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบร่างยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำหนดให้วิสัยทัศน์ของประเทศไทย คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายได้ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ด้วยยุทธศาสตร์ ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านความมั่นคง กำหนดให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการักษาความสงบภายในประเทศและมีความพร้อมในการเผชิญภัยคุกคามในอนาคต (๒) ด้านความสามารถในการแข่งขัน กำหนดให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวและบริการ (๓) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ กำหนดให้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทางด้าน ใจ สติปัญญา กาย และสภาพแวดล้อม ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เพื่อให้เป็นคนคุณภาพของสังคม (๔) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค กำหนดให้มีกลไกการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี (๕) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดให้มีการใช้ รักษา และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนบนหลักการของการมีส่วนร่วมและธรรมาภิบาล และ (๖) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ กำหนดให้มีการปรับปรุงกลไกภาครัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ในการแก้ไขเพิ่มเติมร่างยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคำนึงถึงสภาวการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อาจเปลี่ยนแปลงไปและอยู่นอกเหนือการควบคุม และอาจส่งผลต่อร่างยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดไว้ เช่น สถานการณ์การเมืองโลก ภาวะเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เป็นต้น และให้พิจารณาแนวทางหรือกำหนดกลไกที่ทำให้ร่างยุทธศาสตร์ชาติสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำร่างยุทธศาสตร์ชาติที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามขั้นตอน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15459 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2561 | อื่นๆ | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วย รับทราบแนวทางการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ และแผนการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะตัวอย่างในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) การให้ความเห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ และรับทราบการแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมในคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหาร ๒. รับทราบ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยกำหนดให้การดำเนินการใด ๆ ที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือดำเนินการไปแล้ว ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒/๒๕๖๐ เรื่อง การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๘/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการนโยบายตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ จะได้มีมติให้ยกเลิกหรือกำหนดเป็นอย่างอื่น ๓. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ ในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกทราบต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการฯ เห็นควรดำเนินการตามกระบวนการด้วยความละเอียดรอบคอบตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อย่างถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นสำคัญ และในการพัฒนาเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ ควรให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงพื้นที่โดยรอบ ผลประโยชน์ของชุมชนและสังคมโดยรวม รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15460 | รายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 | มท | 22/05/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การลงพื้นที่ ครั้งที่ ๒ (วันที่ ๒๑ มีนาคม-๑๐ เมษายน ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๙๘๑,๑๔๕ คน และครั้งที่ ๓ (วันที่ ๑๑ เมษายน-๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑) มีประชาชนเข้าร่วมเวทีประชาคม ๗,๖๒๐,๕๐๑ คน และขณะนี้ทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตำบลอยู่ระหว่างลงพื้นที่ ครั้งที่ ๔ (วันที่ ๑๖ พฤษภาคม-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๑) โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงพื้นที่ที่เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับประชาชนแทนการบรรยายเพียงอย่างเดียว และเพิ่มประเด็นในการลงพื้นที่ ๒ เรื่อง คือ (๑) ให้ข้อมูลแก่เกษตรกรเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการปลูกข้าวให้มีมูลค่าสูงขึ้น และมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ เช่น การลดต้นทุนการผลิต และ (๒) ให้ตอบแบบสอบถามความเข้มแข็งและศักยภาพของหมู่บ้าน/ชุมชน ๑.๒ การวิเคราะห์แผนงาน/โครงการที่คาดว่าหมู่บ้าน/ชุมชนจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ณ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ มีโครงการที่คาดว่าจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณฯ รวม ๘๘,๔๐๐ โครงการ จาก ๗๘,๖๒๕ หมู่บ้าน/ชุมชน (คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๐๒ ของหมู่บ้าน/ชุมชนทั้งหมด) จำแนกได้ ๖ ประเภทโครงการ คือ (๑) สร้างอาชีพ สร้างรายได้ จำนวน ๑๒,๕๓๓ โครงการ (๒) แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน ๔,๘๑๑ โครงการ (๓) สาธารณูปโภค จำนวน ๖๙,๒๒๔ โครงการ (๔) สาธารณสุข จำนวน ๑๑ โครงการ (๕) สิ่งแวดล้อม จำนวน ๖๕๓ โครงการ และ (๖) อื่น ๆ จำนวน ๑,๑๖๘ โครงการ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาและการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่หมู่บ้าน/ชุมชนเสนอขอภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละสองแสนบาท) ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนและความพร้อมของหมู่บ้าน/ชุมชนแต่ละแห่งเป็นสำคัญ เพื่อให้ประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตนอย่างแท้จริง
|
.....