ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 658 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13141 - 13160 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13141 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางรมณีย์ ขัดเงางาม) | สธ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางรมณีย์ ขัดเงางาม ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13142 | ข้อเสนอการปรับปรุงอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจและกรรมการอื่นในคณะกรรมการชุดย่อย คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานอื่น | กค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจและกรรมการอื่นในคณะกรรมการชุดย่อย คณะอนุกรรมการ หรือคณะทำงานอื่น เพื่อให้กระทรวงการคลังดำเนินการแจ้งเวียน และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับรัฐวิสาหกิจเพื่อถือปฏิบัติต่อไป โดยให้รัฐวิสาหกิจปฏิบัติตามร่างอัตราและหลักเกณฑ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งควรพิจารณากำหนดค่าตอบแทนรายเดือนและเบี้ยประชุมกรรมการให้สอดคล้องกับผลประกอบการและฐานะการเงิน รวมทั้งอาจพิจารณากำหนดแรงจูงใจอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงินในสัดส่วนที่เหมาะสมและไม่สร้างภาระให้กับองค์กรในระยะยาวด้วย นอกจากนี้ กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจควรเตรียมการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นในการปรับปรุงร่างอัตราและหลักเกณฑ์ดังกล่าวแก่ประชาชนทั่วไปเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ ในส่วนของอัตราและหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนและเบี้ยประชุมกรรมการรัฐวิสาหกิจ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13143 | มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยในจังหวัดสตูล | กค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยในจังหวัดสตูลไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกันกับมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยในภาคใต้ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยอนุโลมด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13144 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร | กษ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินโครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้เกษตรกร สมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร เพื่อชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ระยะเวลา ๑ ปี (๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒) ภายในกรอบวงเงิน ๑,๒๓๒,๕๙๕,๖๔๐ บาท โดยให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งรัดปรับปรุงข้อมูลมูลหนี้รายสัญญาให้เป็นปัจจุบันยิ่งขึ้น เนื่องจากการลดลงของจำนวนมูลหนี้ที่เสนอในการพิจารณาครั้งนี้ยังไม่สอดคล้องกับจำนวนสมาชิกที่ลดลง และดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบความถูกต้องของมูลหนี้รวมกับระยะเวลาสัญญาเงินกู้ วัตถุประสงค์ของการกู้ยืมเพื่อการเกษตรและความซ้ำซ้อนกับโครงการของภาครัฐที่ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน และมีความจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณากลุ่มเป้าหมาย และประโยชน์ที่ได้รับอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์อย่างเคร่งครัด การกำกับดูแลการดำเนินตามโครงการฯ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และผลประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรอย่างแท้จริง รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ การกำหนดวิธีการจัดลำดับความสำคัญของเกษตรกรสมาชิก สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ไว้คู่มือการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วน และสอดคล้องกับกรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการคลังมากเกินความจำเป็น รวมทั้งการติดตามประเมินผลโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13145 | ความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | ปปท. | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) โดยคณะกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) (คณะกรรมการ กปนร.) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า (๑) หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบที่ดินของรัฐได้แจ้งยืนยันรับรอง และรับทราบข้อมูลจำนวนที่ดินของรัฐที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบซึ่งเป็นข้อมูลจำนวนที่ดินของรัฐก่อนการดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map ปรากฏว่า มีที่ดินของรัฐที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานรวม ๔๖๕.๐๘ ล้านไร่ แต่ที่ดินของไทยมีเนื้อที่จริงประมาณ ๓๒๐.๗๐ ล้านไร่ (รวมที่ดินของรับและเอกชน) ซึ่งเกิดจากการมีกฎหมายกำหนดแนวเขตประเภทที่ดินของรัฐหลายฉบับ และใช้มาตราส่วนในแผนที่แนบท้ายกฎหมายแตกต่างกัน ทำให้เกิดการประกาศแนวเขตที่ดินทับซ้อนกัน และ (๒) แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐ ประกอบด้วย ผู้ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นรองประธานกรรมการ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ เช่น เสนอนโยบายและแผนงานการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐและแผนที่ One Map ต่อคณะรัฐมนตรี ปรับปรุงแผนที่ One Map ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ให้ความเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินหรือแผนที่แนบท้ายกฎหมายให้เป็นไปตามแผนที่ One Map ออกระเบียบ คำสั่ง หรือมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการใด ๆ ในการบริหารจัดการแนวเขตที่ดินของรัฐภายในแผนที่ One Map เป็นต้น ตามที่คณะกรรมการ กปนร. เสนอ ทั้งนี้ การดำเนินการเรื่องนี้ในระยะต่อไป มอบหมายให้คณะกรรมการ กปนร. รับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอน โดยคำนึงถึงลำดับความจำเป็น ความเร่งด่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกำกับติดตามให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ [เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map)] ที่ให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลที่ดินของรัฐแต่ละประเภทดำเนินการตรวจสอบเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐให้ถูกต้อง ตรงกัน และเห็นชอบร่วมกันจนเป็นที่ยุติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการรับรองเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13146 | ขอความเห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ | พณ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลามาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ และขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท ออกไปจากเดิมสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นสิ้นสุดเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายระยะเวลามาตรการใช้น้ำมันปาล์มดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าฯ ส่วนการขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๒๕ ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการขอขยายเวลาเบิกจ่ายเงินตามวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมทั้งควรมีการจัดทำเอกสารเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบและเกิดประโยชน์กับเกษตรกรอย่างแท้จริง ตลอดจนเร่งดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มที่ประสบปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13147 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ตั้งและวันเปิดทำการศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... | ศย | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ตั้งและวันเปิดทำการศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดที่ตั้งศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาพระโขนง และศาลอาญามีนบุรี โดยให้ศาลแพ่งตลิ่งชันและศาลอาญาตลิ่งชัน ตั้งอยู่ในเขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ให้ศาลแพ่งพระโขนงและศาลอาญาพระโขนง ตั้งอยู่ในเขตบางนา กรุงเทพมหานคร ให้ศาลแพ่งมีนบุรีและศาลอาญามีนบุรี ตั้งอยู่ในเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร รวม ๖ ศาล และให้ศาลทั้ง ๖ ศาล เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13148 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 4 สายชุมพร - ระนอง | คค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๔ สายชุมพร-ระนอง มีระยะทางรวมทั้งสิ้น ๑๐๒.๕๒ กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น ๕ ตอน โดยดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้งานแล้ว ๓ ตอน ระยะทาง ๕๒.๓๒ กิโลเมตร อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ๒ ตอน ระยะทาง ๕๐.๒๐ กิโลเมตร โดยมีถนนช่วงหนึ่งตัดผ่านพื้นที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรี จังหวัดระนอง ระยะทางประมาณ ๒.๔๗ กิโลเมตร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และดำเนินการตามข้อเสนอแนะ เช่น การปรับปรุงแนวเส้นทางช่วงที่ผ่านน้ำตกปุญญบาล รวมทั้งการสำรวจและศึกษาสัตว์ป่าในบริเวณใกล้กับแนวการก่อสร้างถนนดังกล่าวเพื่อการจัดทำเส้นทางเชื่อมสัตว์ป่าและกำแพงบังคับสัตว์ป่าที่เหมาะสม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13149 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินชดเชยตามมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์) | กค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เงินชดเชยที่ได้รับตามมาตรการส่งเสริมการชำระเงินด้วยบัตรเดบิตหรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น สำหรับการซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ซึ่งได้มีการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการให้กรมสรรพากรผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเงินชดเชยดังกล่าวต้องมีจำนวนไม่เกินหนึ่งพันบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดให้มีการรายงานผลการดำเนินมาตรการและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินมาตรการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13150 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ ในการแต่งตั้งและการให้ออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... | กค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ ในการแต่งตั้งและการให้ออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการแต่งตั้งและการให้ออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับมาตรา ๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๗ (๓) จึงควรกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวไว้ในร่างข้อ ๖ ด้วยไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการเสนอกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อให้มีผลใช้บังคับภายในกำหนดระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13151 | สรุปผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 (COP 24) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ 14 (CMP 14) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ 1.3 (CMA 1.3) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองคาโตวีเซ สาธารณรัฐโปแลนด์ | ทส | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๔ (COP 24) การประชุมรัฐสภาคีพิธีสารเกียวโต สมัยที่ ๑๔ (CMP 14) การประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีส สมัยที่ ๑.๓ (CMA 1.3) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองคาโตวีเซ สาธารณรัฐโปแลนด์ โดยมีรัฐมนตรีการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ระหว่างวันที่ ๒-๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานของประชาคมโลกภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในประเด็นภายใต้พิธีสารเกียวโต ประเด็นด้านเทคนิค ด้านการดำเนินงาน และการมีผลใช้บังคับของความตกลงปารีส และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้สอดคล้องกับผลการประชุมในประเด็นต่าง ๆ และรายงานความคืบหน้าให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภารกิจที่จะดำเนินการร่วมกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว หากไม่เพียงพอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ส่วนปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่าย รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13152 | รายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 | คค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจสอบรับรองงบการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สำหรับปีสิ้นสุดวันนที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดได้ตรวจสอบและเห็นว่ารายงานดังกล่าวถูกต้องตามที่สมควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน และขอให้สังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ ๖.๓ เรื่อง สินทรัพย์/หนี้สินไม่หมุนเวียนที่ถือไว้รอโอน ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจำหน่ายทรัพย์สินและโอนภาระทางการเงินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ รฟม. จะเป็นผู้ดำเนินการบริหารงานก่อสร้างงานโยธาภายใต้เงื่อนไขตามสัญญาจ้างก่อสร้างงานโยธาของโครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดก่อนดำเนินการจำหน่ายสินทรัพย์และโอนภาระทางการเงินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ให้กับกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13153 | รายงานประจำปี 2560 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานของ สสวท. ในปี ๒๕๖๐ ซึ่งคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการประชุมครั้งที่ ๕๒๕/๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ได้มีมติรับทราบแล้ว (๒) รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของ สสวท. สิ้นสุด ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้ว และ (๓) แผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13154 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 | ดศ | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นประธาน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณาในที่ประชุม จำนวน ๒ เรื่อง ได้แก่ (๑) สถานะการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมตามผลการจัดอันดับของสถาบันนานาชาติ และแนวทางการจัดระบบข้อมูลดัชนีและตัวชี้วัด และ (๒) การจัดหาคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Service : GDCC) ๒. เรื่องที่ประชุมรับทราบ จำนวน ๑๐ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ (๒) กรอบการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Government Big Data Analytics Framework) (๓) ความคืบหน้าการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) (๔) ผลการดำเนินงานการจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงใต้ดิน ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ และแผนการจัดระเบียบสายสื่อสารและนำสายสื่อสารลงใต้ดินปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (๕) ผลการดำเนินงานการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อน 5G (๖) รายงานผลการสำรวจข้อมูลสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศของประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ (๗) รายงานความคืบหน้าเรื่องการจัดประชุมเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network : ASCN) (๘) แผนงานการพัฒนาวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น (Digital Startups) (๙) ความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และ (๑๐) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13155 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2562) | นร05 | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๒ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13156 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา 12 (1) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... | ตช | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว สำหรับกรณียื่นคำขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง เป็นการชั่วคราว และให้มีการขยายระยะเวลาการใช้บังคับต่อเนื่องจากที่ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๒ ต่อไปอีก ๖ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑) มาตรการตรวจลงตราแบบสามารถเข้าประเทศไทยได้ ๒ ครั้ง (Double Entry Visa) ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ น่าจะสามารถนำมาใช้กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยได้ทดแทนมาตรการยกเลิกการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา ๑๒ (๑) ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว เนื่องจากเป็นมาตรการที่มีความสมดุลทั้งในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวและด้านความมั่นคง ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อกระทรวงมหาดไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๒) ในการดำเนินการออกกฎกระทรวงนี้ควรต้องจัดทำเป็นกฎกระทรวงฉบับใหม่มิใช่รูปแบบของการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้ดำเนินการในชั้นการตรวจพิจารณาต่อไป และ (๓) เห็นควรให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลกระทบในด้านต่าง ๆ จากการใช้มาตรการฯ อาทิ ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำไว้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นระยะจนกว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จ ตามนัยมาตรา ๒๓ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13157 | ร่างปฏิญญาโดฮาของการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 16 | กต | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาโดฮา (Doha Declaration) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACC) ครั้งที่ ๑๖ และเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซี่งเน้นเรื่องการกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม การพัฒนาและความมั่นคง และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุมรัฐมนตรีฯ ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13158 | ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อถ้อยแถลงรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนว่าด้วยเรื่องอนาคตของงาน : การส่งเสริมเทคโนโลยีและการเจริญเติบโตแบบมีส่วนร่วม | รง | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบถ้อยแถลงรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนว่าด้วยเรื่องอนาคตของงาน : การส่งเสริมเทคโนโลยีและการเจริญเติบโตแบบมีส่วนร่วม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามรับรองถ้อยแถลงฯ รวมทั้งเห็นชอบยกระดับถ้อยแถลงฯ เพื่อเสนอต่อผู้นำเพื่อรับทราบในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ โดยถ้อยแถลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อรองรับประเด็นท้าทายอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งทางโครงสร้างประชากรและทางเทคโนโลยี โดยทำให้มั่นใจว่าแรงงานและภาคธุรกิจจะมีขีดความสามารถในการปรับตัว ตลอดจนมีการคุ้มครองเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของไตรภาคีและหุ้นส่วนทางสังคม ทั้งนี้ จะมีการลงนามรับรองถ้อยแถลงฯ ในที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนสมัยพิเศษ (Special Session of ALMM) ว่าด้วยเรื่องอนาคตของงาน ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13159 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตราย และการกำจัด สมัยที่ 14 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 9 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 9 | ทส | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ ๑๔ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ ๙ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ ๙ รวมทั้งสิ้น ๒๑ คน ประกอบด้วย (๑) อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย (๒) ประธานในคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซลฯ และอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (๓) ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ (๔) ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (๕) ผู้แทนกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (๖) ผู้แทนกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (๗) ผู้แทนศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (๘) ผู้แทนกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ เห็นชอบท่าทีของไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๔ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๙ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๙ ระหว่างวันที่ ๒๙ เมษายน-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีสาระสำคัญคือ สนับสนุนการดำเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายทั้ง ๓ อนุสัญญาดังกล่าวในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงสภาพการณ์ต่าง ๆ และความต้องการจำเพาะของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขีดความสามารถในระดับประเทศด้านการจัดการของเสียอันตรายและสารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจร โดยผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคและทางด้านการเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและการบูรณาการร่วมกันในการดำเนินงานตามพันธกรณีข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่ไทยเป็นภาคีและข้อตกลงที่สอดคล้องกับศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศ ๑.๓ หากมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขท่าทีของไทยดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดการประชุมฯ ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13160 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย - เวียงจันทน์ | คค | 24/04/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟระหว่างหนองคาย-เวียงจันทน์ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามดังกล่าวที่จะมีขึ้นในระหว่างการประชุมหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศ (Belt and Road Forum for International Cooperation) ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....