ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 653 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 13041 - 13060 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13041 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (จำนวน 4 คน 1. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ฯลฯ) | มท | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอัจย์แห่งประเทศไทย จำนวน ๔ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งจะครบวาระสองปี ในวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ๒. นายอรุณ บุญชม ๓. นายปริญญา ประหยัดทรัพย์ ๔. นายวิรุฬห์ พรพัฒน์กุล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13042 | ร่างพระราชกำหนดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร09 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชกำหนดการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชกำหนดดังกล่าวไปพิจารณาทบทวนเหตุความจำเป็นที่ต้องตราเป็นพระราชกำหนด และให้รับความเห็นของกลุ่มองค์กรวิชาชีพครูต่าง ๆ เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเสร็จแล้วไปยังประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยเห็นว่า (๑) ไม่ควรเปลี่ยนชื่อตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” เป็น “ครูใหญ่” (๒) ให้ยกเลิกตำแหน่ง “ผู้ช่วยครูใหญ่” และให้เป็น “รองผู้อำนวยการสถานศึกษา” ดังเดิม (๓) ไม่ควรเปลี่ยนคำว่า “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบรับรองความเป็นครู” (๔) ควรเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียได้แสดงความคิดเห็นในการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ และ (๕) ควรชะลอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจนกว่าจะมีรัฐสภาชุดใหม่ ไปพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13043 | การแต่งตั้งประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (จำนวน 13 คน 1. ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว ฯลฯ) | นร11 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว เป็นประธานสภา ๒. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายคณิศ แสงสุพรรณ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายเทวินทร์ วงศ์วานิช เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. รองศาสตราจารย์ศักรินทร์ ภูมิรัตน เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นางเสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ เป็นกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13044 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์) | กค | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เป็นผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13045 | ขอความเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (จำนวน 5 คน 1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์จรูญศักดิ์ นวลแจ่ม ฯลฯ) | ยธ | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา จำนวน ๕ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จรูญศักดิ์ นวลแจ่ม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์ ๒. นายวิทัศน์ เตชะบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. นางสาวศุภมาศ พยัฆวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ๔. นายพิทยา จินาวัฒน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายชนะพล มหาวงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13046 | ขอถอนร่างพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่ดินที่ได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยที่ดินที่ได้รับการยกเว้นภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13047 | แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี | นร04 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13048 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 | กษ | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเห็นชอบแนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) โดยให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง รวมทั้งเห็นชอบให้หน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ ตามข้อเสนอแนวทางของคณะกรรมการด้านปาล์มน้ำมันและพืชพลังงาน ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเพื่อบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด รัดกุม โปร่งใส ตรวจสอบได้ สอดคล้องกับหลักการขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และพันธกรณีระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินงานตามแนวทางการดูดซับน้ำมันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) และแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำอย่างใกล้ชิด และให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานที่ทันต่อเหตุการณ์อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันเกษตรกร และเกษตรกร ในการรักษาสมดุลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มภายในประเทศให้มีเสถียรภาพ โดยเฉพาะการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มทั้งระบบอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง และการควบคุมพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพื่อเป็นการลดปริมาณน้ำมันปาล์มในระบบ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ส่งเสริมให้ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน เพื่อยกระดับราคาปาล์มน้ำมันในประเทศ นอกจากนี้ ควรพิจารณาศึกษาแนวทางในการปรับโครงสร้างการผลิตปาล์มน้ำมันให้สอดคล้องกับสถานการณ์การตลาดของโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกรณีของสหภาพยุโรปที่จะเลิกใช้น้ำมันปาล์มในปี ๒๐๒๐-๒๐๒๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13049 | ผลการเยือนมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะ ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ โดยสาระสำคัญของผลการเยือนในครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะได้หารือกับเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ประจำมณฑลเหอหนาน และผู้ว่าการมณฑลเหอหนาน เกี่ยวกับการประชุม Belt and Road Forum for International Cooperation (BRF) ครั้งที่ ๒ ณ กรุงปักกิ่ง โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า ยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นประโยชนต่อทุกประเทศทั่วโลกในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางด้านการค้าและการลงทุน และเห็นควรให้กระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะระหว่างมณฑลเหอหนานและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนา Aerotropolis และการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งอย่างไร้รอยต่อเพื่อให้ไทยสามารถพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและพื้นที่โดยรอบให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุด รวมถึงให้มีความร่วมมือในด้านการส่งเสริมโครงการศูนย์การบินคู่ขนานสำหรับจีนตอนกลางและภูมิภาคอาเซียน โดยมีเขตเศรษฐกิจพิเศษอากาศยานนครเจิ้วโจว (Zhengzhou Airport Economy Zone หรือ ZAEZ) และ EEC เป็นศูนย์กลาง ตามลำดับ นอกจากนี้ ได้มีการลงนามความบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือกับรัฐบาลมณฑลเหอหนาน ในการพัฒนาศูนย์การบินคู่ขนานและส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและรองผู้ว่าการมณฑลเหอหนาน โดยบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการพัฒนาศูนย์การบินคู่ขนานและส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างเหอหนานกับ EEC โดยมีขอบเขตความร่วมมือในด้านการส่งเสริมโครงการศูนย์การบินคู่ขนานสำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีนตอนกลางและอาเซียน การกระชับความร่วมมือในการวางแผนพัฒนาพื้นที่สนามบิน และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบิน อาทิ การขนส่งทางอากาศ การซ่อมบำรุงอากาศยาน การอบรมบุคลากร และการค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยี พร้อมทั้งได้ศึกษาดูงานที่ท่าอากาศยานนานาชาติเจิ้งโจว ซินเจิ้ง และ ZAEZ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13050 | มอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี | นร05 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่รัฐมนตรีหลายท่านแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่ง จึงมีมติมอบหมายผู้รักษาราชการแทน ดังนี้
๑. กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นผู้รักษาราชการแทน ๒. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นผู้รักษาราชการแทน ๓. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นผู้รักษาราชการแทน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13051 | รายงานการเงินประจำปี และรายงานของผู้สอบบัญชี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ศร | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า รายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการเงินภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13052 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 | สว | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13053 | รายงานผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสำนักงานศาลปกครอง | ศป | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงานศาลปกครอง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า รายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13054 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) | ทส | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงสิ่งแวดล้อม ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการ JCM Model Project รวม ๒๖ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๒ พันล้านบาท ก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๖ พันล้านบาท มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้ ๑๒๙,๙๕๘ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ๒. การประชุมคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วม จำนวน ๔ ครั้ง โดยที่ประชุมได้มีมติรับรองกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำเนินงานภายใต้กลไกเครดิตร่วม การรับรองระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก ๗ วิธี ขึ้นทะเบียนโครงการ ๔ โครงการ และการรับรองคาร์บอนเครดิต ๑ โครงการ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วมได้มีมติเห็นชอบการขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ตรวจประเมินโครงการทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มอีก ๑ ราย ๓. การจัดงานอบรม/สัมมนาร่วมกับหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น รวม ๑๓ ครั้ง มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด ๙๙๓ คน และมีการเข้าร่วมการประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการที่จะขอขึ้นทะเบียนโครงการ JCM จำนวน ๑๕ โครงการ รวมทั้งเยี่ยมชมโครงการซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว จำนวน ๑๖ โครงการ ๔. แผนการดำเนินการในระยะต่อไป ได้แก่ (๑) การเสนอคณะกรรมการร่วมกลไกเครดิตร่วมพิจารณาคำขอทางอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย การรับรองร่างระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจก ๓ วิธี และการขึ้นทะเบียนโครงการ ๑ โครงการ คือ Introduction of 3.4 MW Rooftop Solar Power System to Air-conditioning Parts Factories (๒) การให้ความเห็นร่างระเบียบวิธีการคำนวณปริมาณก๊าซเรือนกระจก ๓ วิธี และ (๓) การให้ความเห็นเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการ ๖ โครงการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13055 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข่าวสารของราชการ (กขร.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) ภารกิจของ กขร. ในปี ๒๕๖๑ (๒) ภารกิจของคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ของ กขร. (๓) ภารกิจของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ (๔) ภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (สขร.) และ (๕) แผนงาน/โครงการในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของ สขร. ตามที่ กขร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13056 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Digital Ministers" Retreat) | ดศ | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Digital Ministers’ Retreat) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธาน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบการพิจารณาปรับชื่อการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Minister : TELMIN) เบื้องต้นพิจารณาปรับเปลี่ยนเป็น ASEAN Digital Ministers Meeting และการพิจารณาปรับปรุงคณะทำงานต่าง ๆ เพื่อรองรับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัล เช่น คณะทำงานศึกษาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี คณะทำงานรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๔.๐ คณะทำงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นต้น ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการจัดทำแผนแม่บทไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan) ฉบับใหม่ แทนฉบับปัจจุบันที่จะสิ้นสุดลงในปี ๒๕๖๒ โดยจะปรับชื่อเป็น ASEAN Digital Masterplan 2025 เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล รวมทั้งการดำเนินการต่าง ๆ ๓. ที่ประชุมเห็นควรให้ TELMIN ได้มีการประชุมหารือร่วมกับคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) เพื่อหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดิจิทัล การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๔ และกลไกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการประสานงานประเด็นคาบเกี่ยวกันระหว่างสาขาความร่วมมืออื่น ๔. ที่ประชุมยินดีต่อข้อริเริ่มของอินโดนีเซียในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเวทีสาธารณะอาเซียนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (ASEAN Public Private Forum on Digital Economy) ในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ และข้อริเริ่มเรื่อง ASEAN Digital Talent Scholarship โดยจะมอบทุนการศึกษาทักษะพิเศษด้านดิจิทัลอาเซียนเพื่อยกระดับ พัฒนาทักษะ และเตรียมบุคลากรให้พร้อมรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๔.๐ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของไทย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และส่งเสริมการเข้าถึงบริการในทุกระดับอย่างเท่าเทียม ๕. ที่ประชุมได้มอบหมายให้การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศพิจารณาการขยายขอบเขตการทำงานของสภาปฏิบัติการอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยบนเครือข่าย (ASEAN Network Security Action Council : ANSAC) ให้ครอบคลุมด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ในหลายมิติ พร้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ทันต่อสถานการณ์ ยกระดับการพัฒนาบุคลากรไซเบอร์ของอาเซียน และสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลที่มีความมั่นคงและปลอดภัยในอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13057 | รายงานผลการประชุมไตรภาคีระดับรัฐมนตรี เรื่องความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่าง สปป.ลาว เมียนมา และประเทศไทย | ยธ | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมไตรภาคีระดับรัฐมนตรี เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันแลปราบปรามยาเสพติดระหว่าง สปป.ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้าวสารระหว่าง สปป.ลาว เมียนมา และไทย ให้มีความแนบแน่นและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยให้หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของแต่ละประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ข่าวกรองยาเสพติด รูปแบบการกระทำความผิดหรือแผนประทุษกรรมข่าวสารจากผลการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด ๒. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดกำลังปฏิบัติการเพื่อเสริมมาตรการสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ในพื้นที่เส้นทางบก ในแม่น้ำโขง ตลอดจนพื้นที่เสี่ยงตามแนวชายแดนของแต่ละประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงให้มีการใช้กำลังปฏิบัติการเข้าเสริมภายในขอบเขตประเทศของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่เรียกได้ว่า “เข้าขั้นวิกฤติ” ๓. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีความร่วมมือในด้านการประสานงานเพื่อลดปัญหาในพิ้นที่วิกฤติของทั้งสามประเทศ ได้แก่ (๑) จังหวัดท่าขี้เหล็ก เมียนมา (๒) แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และ (๓) จังหวัดเชียงราย โดยใช้กลไกการติดต่อสื่อสารในระดับพื้นที่ของสำนักงานประสานงานแก้ไขปัญหายาเสพติดชายแดน (Border Liaison Office : BLO) ของทั้งสามประเทศ ๔. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการกำหนดบุคคลและหน่วยงานภายในของแต่ละประเทศเพื่อเป็นกลไกรับผิดชอบในการประสานงานและร่วมกันพิจารณาดำเนินการต่อกลุ่มเครือข่ายการค้ายาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์รายสำคัญของแต่ละประเทศ โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเกี่ยวกับการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่าง สปป.ลาว เมียนมา และไทย รวมทั้งการฝึกซ้อมแผนปฏิบัติการและสถานการณ์จำลองโดยใช้พื้นที่วิกฤติของทั้งสามประเทศเป็นพื้นที่สมมุติในห้วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ ประเทศไทย ๕. ที่ประชุมเห็นชอบในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของทั้งสามประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ เช่น กรอบความร่วมมือทวิภาคี กรอบแผนปฏิบัติการร่วมแม่น้ำโขงปลอดภัย กรอบบันทึกความเข้าใจ ๗ ฝ่าย ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติด กรอบการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านยาเสพติด และกรอบการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติด เป็นต้น ๖. ที่ประชุมเห็นชอบที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับการสืบสวน การปราบปราม และการสกัดกั้นยาเสพติด เคมีภัณฑ์ และสารตั้งต้น ในห้วงเดือนเมษายน ๒๕๖๒ ๗. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการพัฒนาความร่วมมือด้านการตรวจพิสูจน์ยาเสพติด เคมีภัณฑ์ และสารตั้งต้นของทั้งสามประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13058 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 7 | คค | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๗ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม (นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในระยะแรก (Memorandum of Understanding on the “Early Harvest” Implementation of the Greater Mekong Subregion Cross-Border Transport Facilitation Agreement) ของแต่ละประเทศ และเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการสิ้นสุดของการมีผลบังคับใช้การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ “ระยะแรก” ออกไปอีก ๒ ปี เป็นจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ รวมทั้งเห็นชอบให้เมียนมาร่วมดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ “ระยะแรก” ในรูปแบบของการจัดทำบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Initial Implementation of the Cross Border Transport Agreement : IICBTA) กับประเทศเพื่อนบ้าน จนถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ เห็นชอบให้สถาบันลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) ติดตามและประเมินผลการดำเนินการ “ระยะแรก” โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งและการค้า (Transport and Trade Facilitation) โดยคาดหวังว่ารายงานฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๒ ๒. ที่ประชุมฯ ได้ให้การรับรองร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเปิดเส้นทางเพิ่มเติมและการข้ามพรมแดนภายใต้พิธีสาร ๑ ของ CBTA (The Draft Memorandum of Understanding on the Opening of Additional Routes and Border Crossings Under Protocol 1 of the CBTA) และรายการแก้ไขผลของรายการเส้นทางและจุดผ่านแดนแนบท้ายบันทึกความเข้าใจฯ โดยที่ประชุมฯ มีมติให้ประเทศสมาชิกดำเนินการตามกระบวนการภายในของตน เพื่อลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในลักษณะการลงนามแบบเวียน (ad referendum) เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ และรวมอยู่ภายใต้การดำเนินงาน “ระยะแรก” ๓. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคมหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนาคมและการสื่อสารเมียนมาได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (IICBTA) ในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างไทย-เมียนมา และบทเพิ่มเติม (Addendum) ซึ่งมีผลบังคับใช้สำหรับจุดผ่านแดนแม่สอด-เมียวดี (รวมถึงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ ๑ และ ๒) และตามเส้นทางแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก รวมถึงการขยายเส้นทางไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษติลาวาในเมียนมา เมืองย่างกุ้ง กรุงเทพฯ และท่าเรือแหลมฉบังในไทย โดยกำหนดให้แต่ละฝ่ายดำเนินการออกใบอนุญาตการขนส่งทางถนน (Permit) และเอกสารนำเข้าชั่วคราว (TAD) ให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งทางถนนของตนฝ่ายละ ๑๐๐ ฉบับ และให้เริ่มการเดินรถได้ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13059 | รายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำหรับปีบัญชี 2561 | อก | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการสอบบัญชีของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำหรับปีบัญชี ๒๕๖๑ (สิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑) ประกอบด้วยงบแสดงฐานะการเงิน และงบการเงินที่แสดงเงินลงทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเร่งรัดเสนอรายงานผลการสอบบัญชีในปีต่อ ๆ ไป ต่อคณะรัฐมนตรี ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ อย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13060 | รายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี พ.ศ. 2560 | ยธ | 07/05/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย ผลการจับกุมคดียาเสพติดทั่วประเทศ รวม ๑๘๑,๘๐๖ คดี ปัญหาอุปสรรคในเรื่องการใช้อำนาจตรวจสถานประกอบการ โดยเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ไม่รายงานการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง การสอบสวนผู้ต้องหาคดียาเสพติดในกรณีเป็นจำเลยที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีชั้นศาลหรือเป็นผู้ต้องโทษแล้ว ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ การส่งหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ หรือให้ส่งบัญชีเอกสารให้ตรวจอบไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน และการใช้อำนาจควบคุมตัว โดยเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดเรื่องสถานที่ควบคุมตัวผู้ถูกจับกุม และได้มีข้อเสนอแนะ รวม ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) การใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เช่น ควรมีมาตรการในการคัดสรรเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. จากบุคคลที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่เลขาธิการ ป.ป.ส. กำหนด และต้องจัดให้มีการทดสอบวัดระดับความรู้ทั้งก่อนและหลังการอบรมเพื่อให้สามารถนำความรู้ไปใช้ปฏิบัติหน้าที่ได้จริง เป็นต้น และ (๒) การกำกับและดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. โดยควรมีมาตรการให้เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. รายงานผลการปฏิบัติหน้าที่เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบการใช้อำนาจจากองค์กรต่าง ๆ และประชาชน และสำนักงาน ป.ป.ส. หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้บังคับบัญชาต้องควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตอย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. เห็นชอบให้นำข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า รายงานดังกล่าวได้แสดงถึงปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. มาจากการขาดความรู้ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และขาดมาตรการในการควบคุม กำกับดูแล และตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะในรายงานฯ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องต่อไป เป็นข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี และนำเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
.....