ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 497 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 9921 - 9940 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
9921 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง
และตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบึง และตำบลบ่อวิน
อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อขยายทางหลวงชนบท ชบ.๓๐๐๙ ในการขนส่งสินค้า
ลดอุบัติเหตุและแบ่งเบาปริมาณการจราจรของถนนสายหลัก
เพื่อเป็นการรองรับความเจริญเติบโตของจังหวัดชลบุรีในอนาคต
และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางให้กับประชาชนผู้ใช้เส้นทาง และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ก่อนการก่อสร้างทางหลวงชนบททุกเส้นทาง
ขอให้กรมทางหลวงชนบทให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงชนบทกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติทำให้ระบายน้ำไม่ทัน
และอาจเกิดอุทกภัยในอนาคต
และควรให้กรมทางหลวงชนบทร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาโครงข่ายถนนในความรับผิดชอบตามความจำเป็นเร่งด่วนและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่
เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9922 | การปรับลดพื้นที่อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงและการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2563 ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2563) | นร.08 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่อำเภอไม้แก่น
จังหวัดปัตตานี ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อนำพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑
มาบังคับใช้แทน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ยกเว้นอำเภอแม่ลาน อำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก
อำเภอสุคิริน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน
๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๓.
เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ รวม ๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ซี่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๓.๑ เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโก-ลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง
และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอไม้แก่น และอำเภอแม่ลาน และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๓.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ
และร่างประกาศ เรื่อง ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่อำเภอไม้แก่น
จังหวัดปัตตานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9923 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ฯลฯ รวม 26 ราย) | มท. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๖ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่าง สับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓
เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9924 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. .... | ลต. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติและควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของศาลจังหวัด หรือศาลแพ่ง
หรือศาลที่มีอำนาจวินิจฉัยในกรณีที่จะให้เพิ่มชื่อในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงตามที่ได้รับคำร้องตามพระราชบัญญัตินี้
องค์คณะผู้พิพากษา ตลอดจนบุคคลซึ่งองค์คณะผู้พิพากษามอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ ควรมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทน
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของศาลฎีกา
ศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาคเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป และให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด
๑๖ การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ๓.
ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
การยกร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการตรากฎหมายที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
จึงต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ตามนัยมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น หากร่างพระราชบัญญัตินี้ประกาศบังคับใช้
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามภารกิจเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายตามขั้นตอนต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9925 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน ให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา และค่าควบคุมงานปรับปรุงอาคารฯ | นร. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา
และค่าควบคุมงานปรับปรุงอาคารฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๕๐,๖๔๖,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ๒ รายการ
ได้แก่ (๑) ค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา
จำนวน ๔๖,๖๗๘,๘๐๐ บาท โดยผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๙,๖๐๙,๘๐๐ บาท
และผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ จำนวน ๓๗,๐๖๙,๐๐๐
บาท และ (๒)
ค่าควบคุมงานปรับปรุงอาคารเรียนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา
จำนวน ๓,๙๖๗,๗๐๐ บาท โดยผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๘๑๖,๘๐๐ บาท
และผูกพันปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ จำนวน ๓,๑๕๐,๙๐๐ บาท
ตามที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเสนอ
๒.
ให้สำนักงานราชบัณฑิตยสภารับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงวัฒนธรรมที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแล โครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
และควรให้มีการเก็บข้อมูลระหว่างการดำเนินการโดยละเอียด
ตั้งแต่ขั้นตอนการสำรวจพื้นที่ การบูรณปฏิสังขรณ์ การก่อสร้าง และรวบรวมข้อมูลไว้
ณ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตามระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ.
๒๕๒๘ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์โบราณสถานสำคัญของชาติ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9926 | แนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎร | นร. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๘ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ
วันพุธที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๓ และครั้งที่ ๒๙ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง)
วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9927 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการออกกฎกระทรวงเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยเป็นการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางในสำหรับรถจักรยานยนต์และโมเปดที่ออกสู่ท้องตลาดให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ
สร้างความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้ผู้ผลิต
ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายได้ทราบก่อนบังคับใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9928 | การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในอัตราไม่เกิน ๑๐,๗๐๐ อัตรา โดยแบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง
และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระดับดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๒.๕
ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติดโดยตรง จำนวน ๒๙๒,๕๐๖ อัตรา
คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๗,๓๑๓ อัตรา ๑.๒
ให้มีการพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ระดับดีเด่นไม่เกินร้อยละ ๑.๕
ของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกื้อกูลต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๒๒๕,๘๒๒ อัตรา
คิดเป็นอัตราไม่เกิน ๓,๓๘๗ อัตรา ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงาน
ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว
เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อน
หากไม่เพียงพอให้เบิกจ่ายจากงบกลาง
รายการเงินเลื่อนเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการเป็นลำดับต่อไป
และควรมีการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามผลงานและผลสัมฤทธิ์
รวมถึงการประเมินสมรรถนะของเจ้าหน้าที่ผู้ได้รับบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรอัตราบำเหน็จความชอบและการพัฒนาหลักเกณฑ์การพิจารณาบำเหน็จความชอบกรณีพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านยาเสพติด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9929 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 | นร.11 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ
ได้แก่ (๑) การแต่งตั้งผู้แทนสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไยท และนายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (๒)
สถานการณ์เศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ (๓) ความคืบหน้าโครงการ DR
BIZ การเงินร่วมใจ ธุรกิจไทยมั่นคง (๔) มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
(๕) มาตรการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน
(๖) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และ (๗) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9930 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. .... | คค. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลนอกเมือง
และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลนอกเมือง และตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๑๔
กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๗๗
เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง
อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
รวมทั้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ขอให้กรมทางหลวงชนบทให้ความสำคัญและตระหนักถึงแนวทางในการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดจากการก่อสร้างทางหลวงกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติทำให้ระบายน้ำไม่ทัน
และอาจเกิดอุทกภัยในอนาคต รวมทั้งให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9931 | ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม 2563 | นร.11 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ
ณ เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น
การจัดทำห่วงโซ่คุณค่าเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการจัดทำโครงการสำคัญที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของแผนแม่บทฯ
การประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๔
กรกฎาคม ๒๕๖๓ และการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบติดตามและประเมินผลแห่งชาติ (eMENSCR)
กับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP)
รวมทั้งข้อเสนอแนะประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์
เช่น ประเด็นด้านการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน
และประเด็นด้านงานบริการภาครัฐที่ปรับเปลี่ยนเป็นดิจิทัล เป็นต้น
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9932 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 | นร.14 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเพื่อทราบ ๕ เรื่อง ได้แก่
ผลการประชุมคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ จำนวน ๗ คณะ
ผลการประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำ
ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจรและนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจงานในพื้นที่
การรายงานการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในวาระที่ ๑ สภาผู้แทนราษฎร ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และข้อเสนอแนะของ นายชนะ
รุ่งแสง เรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำของภาคอีสาน
และแนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำ (ปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัย) ของชาติอย่างยั่งยืน
และ (๒) เรื่องเพื่อพิจารณา ๓ เรื่อง ได้แก่ การขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) การขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อสั่งการประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
ตามที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เช่น (๑) หากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (๒)
หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณด้านการบริหารทรัพยากรน้ำของประเทศจากการพิจารณากลั่นกรองของ
กนช. ควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงาน
เพื่อให้การใช้งบประมาณเกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่า
และประชาชนได้รับประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และ (๓)
ให้มีการบูรณาการจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศการบริหารจัดการน้ำพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) เพื่อให้มีการติดตาม เฝ้าระวัง
และเตือนภัยสถานการณ์น้ำที่ถูกต้องแม่นยำ
สามารถสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษาความเหมาะสมเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างทดแทนการสร้างเขื่อน
เช่น การขุดเจาะอุโมงค์ผันน้ำใต้ดิน เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9933 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ | กค. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง
(สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) จำนวน ๕๕ แห่ง ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ ๒๔-๒๘
สิงหาคม ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
(ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกำหนด) รัฐวิสาหกิจ ๑๔
แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยมีรัฐวิสาหกิจ ๔๑ แห่ง
ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว เท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) ทั้งนี้
จากจำนวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จำนวน ๒๗๒,๐๖๑ คน
มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จำนวน ๑๐,๐๓๔ คน หรือคิดเป็นร้อยละ ๔ ๑.๒.
การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสากิจ (การปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา) รัฐวิสาหกิจ
๒๖ แห่ง ยังคงดำเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้า
(ช่วงระหว่างวันที่ ๑๗-๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๓) โดยรัฐวิสาหกิจ ๒๖ แห่ง
มีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานเหลื่อมเวลาตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐ น.-๑๐.๐๐ น. ๒. ให้กระทรวงการคลังยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังจัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9934 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 17 | นร.10 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
(Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑๗ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๓) ซึ่งได้รับข้อมูลจาก ๑๔๗
ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๙ ของส่วนราชการทั้งหมด (๑๔๘ ส่วนราชการ)
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
มีส่วนราชการได้มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการตามปกติเพิ่มมากขึ้น
(๙๑ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๖๒) โดยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา (๘๒ ส่วนราชการ
คิดเป็นร้อยละ ๕๖) และส่วนราชการส่วนใหญ่ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาในการทำงานเป็น
๓ ช่วงเวลา (๗๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๕๒) ๑.๒
การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) มีส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการลดลง
(๕๖ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๓๘) โดยในจำนวนนี้มีส่วนราชการ ๑๑ ส่วนราชการ
(คิดเป็นร้อยละ ๗) มอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
ยุติการรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work
From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง
รายงานข้อมูลการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้คลี่คลายลง
และส่วนราชการส่วนใหญ่ได้ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว
ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งในภาพรวม
รวมทั้งวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย และข้อเสนอแนะ ต่อการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9935 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 18/2563 | นร.11 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๓
ที่ได้พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้เงินกู้หรือโครงการที่ใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
รวมถึงพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดของแผนงาน/โครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ
ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเร่งดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนของโครงการ/รายการ ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์
อัตรา และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด ไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น ๆ
ของภาครัฐ มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในส่วนของแนวปฏิบัติในกรณีหน่วยงานรับผิดชอบโครงการไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๓) นั้น ให้คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้และหน่วยงานรับผิดชอบโครงการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9936 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 7/2549/75 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/48 | พน. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท
Northern Gulf Petroleum Pte.Ltd.
โอนสิทธิ ประโยชน์ และพันธะ ซึ่งถืออยู่ทั้งหมดในอัตราร้อยละ ๑๐
ตามสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๗/๒๕๔๙/๗๕ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทย G1/48 ให้แก่บริษัท เอ็มพี จี1 (ประเทศไทย)
จำกัด โดยอาศัยความตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๔) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๗/๒๕๔๙/๗๕ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดให้กฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม
พ.ศ. ๒๕๕๕ ต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9937 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร.09 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจเป็นไปอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนาม
และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์แก่
๑๒ อุตสาหกรรมเป้าหมายว่า
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนควรพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์แต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เกี่ยวกับ Digital Economy ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น
เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น
รวมทั้งเพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนไทยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและมีส่วนร่วมในการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายดังกล่าวมากยิ่งขึ้นด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9938 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 53 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสาร
จำนวน ๑๗ ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรองและลงนามระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๓ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๙-๑๒ กันยายน
๒๕๖๓ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ประกอบด้วย (๑) ร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะรับรอง จำนวน
๑๔ ฉบับ ซึ่งเป็นเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมฯ โดยไม่มีการลงนาม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และ
(๒) ร่างเอกสารผลลัพธ์ที่จะลงนาม จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างตราสารขยายจำนวนอัครภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐคิวบา
ร่างตราสารขยายจำนวนอัครภาคีในสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
เป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรับรองการเข้าร่วมเป็นอัครภาคีอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาฯ
ของสาธารณรัฐคิวบาและสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐
ประเทศจะลงนามเพื่อให้ความเห็นชอบต่อการเข้าร่วมเป็นอัครภาคีของสนธิสัญญาฯ
ของทั้งสองประเทศ
และร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาในภูมิภาคระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(อาเซียน) โดยสำนักเลขาธิการอาเซียน และสหรัฐอเมริกา
โดยองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (ยูเอสเอด)
มีสาระสำคัญเป็นการลงนามระหว่างอาเซียนในฐานะองค์การระหว่างประเทศกับองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับโครงการด้านการพัฒนาในกรอบอาเซียน
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสาร จำนวน ๑๗ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9939 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางประไพ ดำสะกุล) | นร.05 | 08/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นางประไพ ดำสะกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
9940 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาและผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 | สผ. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ปัญหาและผลกระทบจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
ได้แก่ กรณีความไม่ชัดเจนของบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒
การคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมและมีผลกระทบต่อประชาชน
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ประกอบการ
และกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมและการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|