ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1334 จากทั้งหมด 6222 หน้า แสดงรายการที่ 26661 - 26680 จากข้อมูลทั้งหมด 124436 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 26661 | มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับขั้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับเงินได้สุทธิที่ได้รับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ ๒๐ ออกไปอีก ๑ ปี สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๘ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ และให้จัดเก็บอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๙ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาด้วยว่าร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชนและลดภาระค่าครองชีพสมควรจะออกเป็นประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติแทนหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีรัฐธรรมนูญและการตราพระราชกฤษฎีกาจะต้องอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งปฏิรูปโครงสร้างและระบบภาษีอากรทั้งระบบ เพื่อให้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการคลังที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเป็นธรรม การส่งเสริมพฤติกรรมการผลิตการบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่นำไปสู่นวัตกรรมและเพิ่มผลิตภาพในภาคการผลิตและบริการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละประเภทเพื่อขยายฐานภาษีและรายได้ของรัฐอย่างยั่งยืนในระยะยาว และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำประมาณการมูลค่าการขาดรายได้ในแต่ละกรณีให้ชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณาวางแผนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26662 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงประเภทหรือชนิดของโรงงาน ลำดับที่ ๘๘ โรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยแยกประเภทหรือชนิดของโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าของแต่ละพลังงานเป็น ๔ ประเภท คือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ และพลังงานลม โดยยกเว้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ไม่เป็นโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการในการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานทดแทนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศให้ยั่งยืน ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ (เรื่อง พลังงานของไทย) ให้เป็นระบบ ลดความซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงาน และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงพลังงานทดแทนอื่น ๆ นอกเหนือจากพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ พลังงานลม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานกำกับกิจการผลิตไฟฟ้าดำเนินการออกกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม จากการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดรวมกันไม่เกิน ๑,๐๐๐ กิโลวัตต์ ต้องติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์จำนวนมาก ซึ่งเมื่ออุปกรณ์หมดอายุการใช้งานจะทำให้เกิดของเสียอันตรายจำนวนมาก อาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการของเสียอันตราย และในการกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็นโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ควรยกเว้นให้การผลิตพลังงานทดแทนดังกล่าวในปริมาณที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมมิให้เป็นโรงงาน นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวนนโยบายและข้อกฎหมายในการควบคุมกำกับดูแลผู้ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างเป็นระบบเพื่อให้มาตรฐานในการกำกับดูแลที่ไม่ด้อยกว่ามาตรฐานการกำกับดูแลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิม การพิจารณารายละเอียดให้ครอบคลุมพลังงานทดแทนประเภทเชื้อเพลิงอื่น ๆ การออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการจัดการอบรมและจัดทำคู่มือ มาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีด้านพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบกิจการ เพื่อให้การดำเนินนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลตามมาตรฐานสากลที่ยอมรับโดยทั่วไป ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย และให้นำเสนอคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 26663 | กำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. กำหนดให้วันจันทร์ที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ๒. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในกรณีหน่วยงานใดที่มีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็นหรือราชการสำคัญในวันดังกล่าวโดยได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการและประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 26664 | ขอความเห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... | คค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้อบังคับนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๑.๒ กำหนดให้ยกเลิกข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารสำหรับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ กำหนดให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล เป็นไปตามตารางอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าท้ายข้อบังคับนี้ (เริ่มต้นที่ ๑๖ บาท สูงสุด ๔๒ บาท) ๑.๔ กำหนดประเภทบุคคลที่ลดหย่อนค่าโดยสารและได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสาร ๑.๕ กำหนดให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยมีอำนาจออกประกาศลดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าได้เป็นครั้งคราวเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้า หรือสนับสนุนกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาล ๒. ให้กระทรวงคมนาคมแก้ไขวันใช้บังคับให้สอดคล้องกับข้อกำหนดในสัญญาที่กำหนดให้การปรับอัตราค่าโดยสารจะต้องมีการประกาศต่อสาธารณชนก่อนวันใช้บังคับไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน และสอดคล้องกับผลการเจรจาระหว่างกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) คู่สัญญา และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเร่งพิจารณาแนวทางการบริหารสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบการจัดเก็บค่าโดยสารที่จะสามารถรองรับการใช้ระบบตั๋วร่วมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่คาดว่าจะเริ่มใช้บริการภายในปี ๒๕๕๙ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในระยะแรกอาจพิจารณาความเหมาะสมของการใช้บัตรโดยสารร่วมกับโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (BTS) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26665 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ภาพรวม ๑.๑ ให้ส่วนราชการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยให้เบิกจ่ายหรือให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการต่อไปได้ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการ เพื่อขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันงบประมาณข้ามปี เพื่อให้สามารถดำเนินงาน/ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้ทุกหน่วยงานเตรียมการให้พร้อมเพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ ๑.๒ ให้ทุกฝ่ายเร่งรัดติดตามส่วนราชการในกำกับให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้แล้วเสร็จ และเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๑.๓ ให้ทุกฝ่ายพิจารณารายการงานสำคัญในเอกสารแนวทางปฏิบัติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวม ๒๑ รายการ ที่ได้แจกในที่ประชุมไปแล้ว และให้เพิ่มเติมงาน/โครงการสำคัญ รวมทั้งกำหนดกรอบระยะเวลาดำเนินการว่าจะดำเนินการในช่วงเวลาใด กล่าวคือ ระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว แล้วแจ้งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ เพื่อนำมาจัดทำแผนปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๒. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ๒.๑ ให้ส่วนราชการที่มีภารกิจในการเจรจาหรือการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศในเรื่องต่าง ๆ ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ จัดทำแผนงานการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ล่วงหน้าระยะเวลา ๖ เดือน เสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบ ๒.๑.๒ ในการขออนุมัติเพื่อไปเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ ให้ส่วนราชการจัดทำบทสรุปวิเคราะห์ สาระสำคัญของประเด็นการเจรจาหรือความตกลงระหว่างประเทศ ท่าทีของไทยในการเจรจา ผลดีและผลเสีย รวมทั้งผลกระทบในการดำเนินการต่อประเทศไทย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา หากคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตในประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องจะได้แจ้งให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบไปดำเนินการต่อไป ๒.๑.๓ กรณีที่การเจรจาหรือการจัดทำความตกลงฯ เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ให้หน่วยงานหลักในการเจรจาหรือจัดทำความตกลงฯ รายงานความคืบหน้าในการหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบด้วย ๒.๒ ให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญและระมัดระวังในการชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ของประเทศไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะในประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศ ทั้งในด้านการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ๓. เศรษฐกิจระหว่างประเทศ ๓.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการส่งออกสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น และให้พิจารณาหาแนวทางการขยายตลาดการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการส่งออกข้าวไปยังประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ เช่น ทวีปแอฟริกา เป็นต้น ๓.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนการดำเนินการในงานคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในส่วนของผลงานที่ได้รับการคุ้มครองแล้วว่ามีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ อย่างไร และผลงานที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองว่าควรคุ้มครองในเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะด้านศิลปวัฒนธรรม แล้วกำหนดแนวทางคุ้มครองสิทธิในงานทรัพย์สินทางปัญญาทั้งสองประเภทให้ชัดเจน และนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๔. พลังงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาหาแนวทางส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานความร้อน พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวภาพ เป็นต้น การใช้พลังงานที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย เช่น ถ่านหินสะอาด เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและการส่งเสริมพลังงานทดแทนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๕. กฎหมาย ให้ส่วนราชการเร่งเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การค้า เศรษฐกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่จำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน โดยเสนอให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมและฝ่ายที่กำกับดูแลพิจารณากลั่นกรองก่อน แล้วจึงเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติภายในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
| 26666 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางดวงพร รอดพยาธิ์ ฯ) | อื่นๆ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางดวงพร รอดพยาธิ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. นางอัมพวัน พิชาลัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๗ ๓. นายอดุลย์ ยุววิทยาพานิชย์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||
| 26667 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางพรรษา ศิริมาจันทร์) | อื่นๆ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งนางพรรษา ศิริมาจันทร์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||
| 26668 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง) | กษ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นต้นไป จำนวน ๒ ราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนี้
๑. นางสาววารินทร์ ธนาสมหวัง ดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประมง (นักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ) กรมประมง ตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๖ ๒. นายบุญสนอง สุชาติพงศ์ ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและโครงการ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมชลประทาน ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||
| 26669 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 | ตช | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๕๖๗,๓๔๕,๖๐๓ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุม ในช่วงระหว่างวันที่ ๑-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗ (รวม ๑๙ วัน เนื่องจากวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตามประกาศกองทัพบก ฉบับที่ ๒/๒๕๕๗ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗) ของ ๙ หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมการปกครอง และกรมประชาสัมพันธ์ กำลังพลรวมทั้งสิ้น ๓๙,๒๖๒ นาย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง เพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรวบรวม และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายข้างต้นให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้เกิดปัญหาและข้อร้องเรียนใด ๆ ในภายหลังด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 26670 | การขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) จำนวน 3 ราย | กต | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ จำนวน ๓ ราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ กรณีการขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตดังกล่าวเป็นเรื่องที่ค้างการพิจารณาก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและเอกอัครราชทูตดังกล่าวมีภารกิจสำคัญ และจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดังนี้
๑. นายนภดล เทพพิทักษ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘ ๒. นายนรชิต สิงหเสนี เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๓. นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ต่อเวลาการดำรงตำแหน่งไปอีก ๑ ปี ครั้งที่ ๒ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||||||||
| 26671 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี 2557 | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Meeting : MRT) ปี ๒๕๕๗ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ณ เมืองชิงเต่า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม MRT ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade Statement) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การส่งเสริมการพัฒนาอย่างมีนวัตกรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเจริญเติบโต รวมทั้งการเสริมสร้างความเชื่อมโยงอย่างครอบคลุม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๒ ที่ประชุม MRT เห็นชอบแถลงการณ์แยกเฉพาะ (Standalone Statement) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ ได้แก่ การต่อต้านการกีดกันทางการค้า การดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation Agreement : TFA) ภายใต้ WTO การจัดทำแผนงานเจรจาหลังบาหลี การสนับสนุนให้การเจรจาขยายความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) และการยืนยันการดำเนินการลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมภายใต้เอเปค ๑.๓ หัวหน้าผู้แทนไทยได้หารือทวิภาคีกับ ๒ เขตเศรษฐกิจ ได้แก่ ชิลีและเปรู รวมทั้งการหารือกับคณะนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐอเมริกาขอให้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน และการสนับสนุนให้การเจรจาขยายขอบเขต ITA สรุปผลได้โดยเร็ว โดยไทยเน้นย้ำการดำเนินกระบวนการภายในประเทศอย่างเต็มที่ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด สำหรับความตกลง TFA ภายใต้ WTO ยืนยันสนับสนุนการเจรจา ITA Expansion และให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในการเปิดเสรีการค้าบริการเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะ อีกทั้งได้ให้ความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าการส่งเสริมการจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิกอย่างใกล้ชิด การผลักดันให้การดำเนินการของเอเปคเป็นไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ทั้งในแผนการดำเนินงานและการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การให้ความสำคัญกับการยกระดับผลิตภาพการผลิต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบและนโยบายด้านการแข่งขันในตลาดโดยรวมถึงกฎระเบียบที่จะสนับสนุนให้ความเชื่อมโยงทางกายภาพสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง การส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือภาครัฐเอกชนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดีในทุกระดับ การเสริมสร้างบรรยากาศการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัวมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโดยการสร้างบรรยากาศการแข่งขันและการสนับสนุนการเปิดเสรีด้านการบริการ การสร้างความแข็งแกร่งและการขยายฐานของ SMEs รวมทั้งการขับเคลื่อนการดำเนินการในด้านต่าง ๆ สู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26672 | การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้อนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครองงานวรรณกรรมและศิลปกรรม ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประเทศไทยขยายระยะเวลาการใช้สิทธิว่าด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับสิทธิในการแปลภายใต้ในบทบัญญัติที่ ๒ ของเอกสารแนบท้ายอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ฉบับแก้ไข ณ กรุงปารีส ออกไป ๑๐ ปี จากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๗ และสิ้นสุดในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าว เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการส่งเสริมและพัฒนางานด้านศิลปวิทยาการและเทคโนโลยีของไทยซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของอนุสัญญากรุงเบิร์นฯ ที่เปิดโอกาสให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถบังคับใช้สิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์บางประการได้เท่าที่จำเป็นเพื่อลดอุปสรรคในการถ่ายโอนเทคโนโลยีและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ถึงองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการ ทราบอย่างทั่วถึง เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการใช้สิทธิในการแปลฯ ดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) รับไปตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาในเรื่องต่าง ๆ ของไทย และเร่งดำเนินการปกป้อง คุ้มครองการจดลิขสิทธิ์ในเรื่องดังกล่าว ไม่ให้ถูกแสวงประโยชน์จากต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิขสิทธิ์ทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนได้ทราบอย่างทั่วถึงด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26673 | การลงนามใน Memorandum of Agreement และ Side Letter ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดคลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ | พณ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบสารัตถะของร่าง Memorandum of Agreement (MOA) ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ขอชดเชยการผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีการเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้องค์การการค้าโลกของฟิลิปปินส์ และร่าง Side Letter ยืนยันว่า เมื่อใดที่ฟิลิปปินส์มีการให้ Tax Expenditure Subsidy (TES) กับการนำเข้าข้าวจะปฏิบัติต่อข้าวของไทยไม่น้อยไปกว่าข้าวที่นำเข้าจากแหล่งอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. ให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนลงนามใน MOA ผลลัพธ์การหารือสองฝ่ายฯ และ Side Letter ๓. ให้ผู้แทนไทยพิจารณาใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสมในเรื่องอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อไทย หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามใน MOA และ Side Letter ดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการเจรจาและแสวงหาตลาดใหม่สำหรับสินค้าข้าวของไทยในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการระบายข้าว ทั้งนี้ ให้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพข้าวก่อนการส่งออก และกำหนดชนิดและระดับคุณภาพของข้าวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละประเทศที่เป็นตลาดใหม่ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26674 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เรื่อง ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (รายการก่อสร้างอาคารและชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า 1 แห่ง) | วท | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ในวงเงิน ๑,๘๙๐ ล้านบาท (รวมเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๒. อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าและค่าควบคุมงาน ได้แก่ ๒.๑ ค่าก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า วงเงิน ๗๐๐ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๓๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๓๕ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๒.๒ ค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๒ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๐.๖ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒.๖ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๓. สำหรับค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาท อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้งและค่าควบคุมงาน ได้แก่ ๓.๑ ค่าก่อสร้างชิ้นงานนิทรรศการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพร้อมติดตั้ง วงเงิน ๑,๐๖๙.๒ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๕๓.๕ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๑๒๒.๗ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ๓.๒ ค่าควบคุมงาน วงเงิน ๑๘.๘ ล้านบาท เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๐.๙ ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙.๗ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐) ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งประกาศหรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติอย่างเคร่งครัด และให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปประสานงานกับกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรองรับระบบขนส่งมวลชนจากเขตเมืองหลวงไปยังพิพิธภัณฑ์ เพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดให้ประชาชนสนใจเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงในลักษณะเครือข่ายของแหล่งท่องเที่ยวเชิงความรู้ (Edutainment Cluster) และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนรับทราบถึงการดำเนินโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า สิ่งที่จะนำมาจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ และการดึงดูดให้ประชาชนเดินทางมาเยี่ยมชม รวมทั้งควรพิจารณาดำเนินโครงการเมืองวิทยาศาสตร์ให้รอบคอบ เพื่อมิให้เกิดปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน แต่ควรให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของเงินลงทุนและภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และควรดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายของโครงการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าและเป้าหมายการเบิกจ่ายที่กำหนดไว้ โดยให้ความสำคัญกับขั้นตอนในการจัดซื้อจัดจ้างและการกำกับดูแลให้เป็นไปตามการออกแบบและการใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26675 | รายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ภาพรวมความต้องการอัตรากำลังภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรีกรณีกระทรวงกลาโหมขออนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพรานและกรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอรับการสนับสนุนอัตรากำลัง | นร10 | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเปิดบรรจุกองร้อยทหารพราน จำนวน ๑ กองร้อยทหารพราน ให้แก่กรมทหารพรานที่ ๑๒ จังหวัดสระแก้ว ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ดำเนินการในกรอบวงเงิน ๒๖,๘๔๕,๓๐๐ บาท โดยให้กองทัพบกพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติภารกิจดังกล่าวก่อน หากยังไม่เพียงพอให้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงสภาพปีถัดไป ให้กองทัพบกเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติอัตราข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเพิ่มใหม่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน ๕,๐๐๐ อัตรา ในปีแรกก่อน สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเนื่องจากต้องใช้เวลาในการเตรียมความพร้อมในการสอบคัดเลือกและการฝึกอบรมก่อนบรรจุ ดังนั้น หากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาดำเนินการก่อน และหรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับกรอบอัตรากำลังที่เหลือ จำนวน ๙,๐๐๐ อัตรา ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทบทวนบทบาทภารกิจและปรับปรุงการดำเนินงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานตามภารกิจและการใช้กำลังคนอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า พร้อมทั้งจัดทำแผนการกระจายอัตรากำลังตำรวจชั้นประทวนตามพื้นที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับปริมาณงานและความจำเป็นของภารกิจเสนอให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และให้รับความเห็นของฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เกี่ยวกับการปรับบทบาทภารกิจ การบริหารจัดการงาน และการใช้อัตรากำลัง ในส่วนที่เป็นงานอำนวยการ งานสนับสนุน หรืองานที่สามารถถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปดำเนินการ แยกออกจากงานภารกิจหลักด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมประเภทต่าง ๆ ให้ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ การดำเนินการข้างต้นอยู่ภายใต้กรอบอัตรากำลังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ คปร. ยุบเลิก จำนวน ๑๔,๐๐๐ อัตรา ๓. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังชั้นประทวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีสาเหตุประการหนึ่งเกิดจากการเลื่อนและแต่งตั้งข้าราชการตำรวจชั้นประทวนไปเป็นข้าราชการชั้นสัญญาบัตรจำนวนมาก ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวควรจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นเหมาะสม ภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งที่เลื่อนขึ้น โดยจะต้องพิจารณาถึงการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26676 | ขออนุมัติจัดซื้ออากาศยานเครื่องบินปีกติด เพิ่มเติม จำนวน 1 ลำ โดยวิธีพิเศษ | ตช | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินโครงการจัดหาอากาศยานเครื่องบินปีกติด เพิ่มเติม จำนวน ๑ ลำ ภายในวงเงิน ๑,๑๔๙,๘๐๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๙๗๗,๓๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอขอตั้งงบประมาณรองรับให้ครบค่างานตามสัญญาต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาจัดสรรบุคลากรที่มีศักยภาพเพื่อเข้ารับการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อให้บุคลากรดังกล่าวสามารถนำความรู้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้ปฏิบัติงานได้อย่างแท้จริง และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับบุคลากรรุ่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 26677 | ขอความเห็นชอบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในโครงการจัดสร้างระบบบริการตรวจวินิจฉัย ผ่าตัด และรักษาพยาบาล อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ระยะที่ 1 ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วแต่ยังมิได้ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ | สกช | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติอนุมัติให้สภากาชาดไทยก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการจัดสร้างระบบบริการตรวจวินิจฉัย ผ่าตัด และรักษาพยาบาล อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ระยะที่ ๑ ภายในวงเงิน ๑,๗๓๘,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๑,๒๑๗,๑๖๐,๐๐๐ บาท และเงินนอกงบประมาณสมทบ จำนวน ๕๒๑,๖๔๐,๐๐๐ บาท สำหรับในส่วนของเงินงบประมาณให้เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว จำนวน ๑๘๕,๘๘๓,๖๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑,๐๓๑,๒๗๖,๔๐๐ บาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยให้สภากาชาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่าย และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบรองรับให้ครบถ้วนตามค่างานของสัญญาต่อไป ทั้งนี้ ให้สภากาชาดไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 26678 | ขออนุมัติจัดจ้างก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ตามแผนการจัดจ้างของกรมราชทัณฑ์1.2 | ยธ | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ดำเนินการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต พร้อมส่วนประกอบ ๑ แห่ง ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวงเงิน ๑,๐๕๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน ๕๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๑,๑๐๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเมื่อกรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าวครบถ้วนและต่อรองราคาจนถึงที่สุดแล้ว ให้ขอทำความตกลงกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างตามนัยระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามประกาศหรือคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการด้วย ๒. ในส่วนของการใช้ประโยชน์พื้นที่เรือนจำจังหวัดภูเก็ตเดิมเมื่อย้ายไปแล้ว ให้กรมราชทัณฑ์รับไปประสานกับจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดทำเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนโดยรวม และสอดคล้องกับมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ [เรื่อง การชี้แจงของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)] เกี่ยวกับโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกินรวม ๑,๐๐๐ ล้านบาท ที่ให้ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งรวมถึงโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ ให้กรมราชทัณฑ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์จัดเตรียมแผนอัตรากำลังบุคลากรเพื่อรองรับภารกิจงานที่เพิ่มมากขึ้นของเรือนจำแห่งใหม่ และสำหรับพื้นที่เรือนจำเดิมเมื่อย้ายไปแล้ว ควรมีการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินของเรือนจำเดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาจัดทำมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบเรือนจำแห่งใหม่อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26679 | การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2557/58 | กค | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการผลิตแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๒,๒๙๒ ล้านบาท ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ขอชดเชยจากภาครัฐ จากเดิมร้อยละ ๔ เป็นร้อยละ ๓ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๗๐๐ ล้านบาท ๓. เห็นชอบหลักเกณฑ์โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๗/๕๘ โดยให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยค่าบริหารสินเชื่อของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิมร้อยละ ๒.๕๐ เป็นร้อยละ ๒.๒๕ และอนุมัติในหลักการงบประมาณในการดำเนินการตามโครงการฯ ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑,๑๒๐.๘ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธ.ก.ส. เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ และปีต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นและเหมาะสมและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังติดตามและตรวจสอบการดำเนินการโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และให้รายงานผลการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อรวบรวมรายงานต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป ๕. ให้กระทรวงการคลัง ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาให้สินเชื่อแก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร กระทรวงการคลังควรคำนึงถึงศักยภาพและความพร้อมในการดำเนินงาน เช่น ยุ้งฉางของเกษตรกร การบริหารจัดการแปรรูปและจำหน่ายข้าวของสหกรณ์ และความพร้อมของบุคลากรในการติดตามตรวจสอบปริมาณข้าวของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ และในระยะต่อไป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางแผนการเพาะปลูกข้าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตลอดจนการพัฒนาผลิตภาพการผลิตข้าวของไทยในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น แหล่งน้ำ ระบบขนส่ง ยุ้งฉาง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 26680 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม 2557 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๐.๗ แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๗.๐ อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ ปูนขาวและปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น ๑.๒ สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ลดลงจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๒.๓ และลดลงร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ ยานยนต์ เบียร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน Hard Disk Drive ๑.๒.๒ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอคาดว่าอาจจะชะลอตัวตามความต้องการใช้ในประเทศที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในส่วนของการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าแฟชั่นที่สวมใส่สบาย และชุดกีฬา คาดว่าจะกระเตื้องในทิศทางบวกจากตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ๑.๒.๓ อุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการขยายตัวของเครื่องปรับอากาศที่สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๗๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกลุ่ม Semiconductor และ IC ที่เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียนและญี่ปุ่น ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตว่า รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดังกล่าวควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันด้วยว่าเป็นสภาวการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้ามาบริหารประเทศ สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายไตรมาสที่สองเป็นต้นมามีแนวโน้มว่าเริ่มจะปรับตัวดีขึ้น อันเป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น และหากการดำเนินการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศดียิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจปรับตัวสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ ๑-๑.๕
|
||||||||||||||||||||||||
.....
