ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 75 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1481 - 1500 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1481 | กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน | สผ | 23/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบกระทู้
ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ที่มีฐานะยากจน ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ทั้งในเขตเทศบาลและ นอกเขตเทศบาล ไม่แตกต่างกัน โดยกรมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการ พัฒนาสังคม ฯ ได้จัดบริการ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยให้การดูแล และรับเข้าสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานสงเคราะห์คนชรา จำนวน 20 แห่ง ทั่วประเทศ จัด บริการให้แก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครอบครัวและชุมชน สนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุโดยชุมชน ให้การ สงเคราะห์เป็นเงิน และเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็น ชอบแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนและดำเนินงานด้านผู้ สูงอายุของประเทศ และมีมาตรการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การสงเคราะห์ครอบครัวเป็นค่า เครื่องอุปโภคไม่เกิน 2,000 บาท ต่อคนต่อครั้ง ฯลฯ สำหรับการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รัฐบาลได้มอบ หมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ ถ่ายโอนงานดังกล่าวให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสอดรับกับการกระจายอำนาจ และให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมใน การจัดสวัสดิการและดูแลผู้สูงอายุ โดยได้ดำเนินการถ่ายโอนงานดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2545 ในส่วนกลางถ่ายโอน งานให้แก่กรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาคถ่ายโอนงานให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ทั้งนี้ จาก ปัญหาการรับเงินเบี้ยยังชีพล่าช้าของผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ จะได้นำเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะ กรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ใน ส่วนของการขอเพิ่มจำนวนการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุให้ครบทุกคนทุกหมู่บ้าน เป็นบทบาทหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาขอจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติม ตามขั้นตอนการขอรับงบประมาณจากรัฐบาล |
||||||||||||||||||
| 1482 | กระทู้ถามที่ 1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน | สผ | 16/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้านมีระบบประปาหมู่ บ้านสำหรับจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล รวมทั้งพื้นที่ชุมชนหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบล โพธิ์เก้าต้น หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านข่อย และหมู่ที่ 7 ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทั้งนี้ ตามพระ ราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ โครงการระบบประปาหมู่บ้านเป็นงานภารกิจที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะติดตั้งระบบประปาชุมชนต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงต่อไป และในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณตามภารกิจดังกล่าวเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อส่งเสริม และพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด |
||||||||||||||||||
| 1483 | การยกเว้นค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 โดยให้เทศบาล ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ควบคู่ไปกับการรับการ ถ่ายโอนภารกิจงานบำรุงรักษาทางหลวงจากกรมทางหลวง เช่นเดียวกับที่กรมทางหลวงเคยได้รับสิทธิพิเศษนี้จาก กฟภ. ทั้งนี้ การได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ถือเป็นมาตรการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่านั้น และ ให้ กกถ. เร่งดำเนินการจัดสรรเงินเพื่อให้เทศบาลสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เองโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1484 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 16/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
เสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยอำนาจในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุญาต ขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงและแม่น้ำทั้งหมดในเขตพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นอำนาจของกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชย์นาวี นั้น ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้น แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการขนส่งทางน้ำ) โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธี การเกี่ยวกับการอนุญาตให้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2536 ส่วนกรวดหิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา 9 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินการ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง และลำน้ำต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ตามความจำเป็นเหมาะสม โดยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 1485 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 | ทส | 02/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบร้อย แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 15 เรื่อง และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม โดยขอเปลี่ยนถ้อยคำในมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 เรื่องที่ 1 เกี่ยวกับการเพิ่มเติมรองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จากเดิม "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาห กรรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" เป็น "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรอง ประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการน้ำเสีย และการจัดการ ขยะมูลฝอย เป็นภารกิจที่เดิมจะต้องมอบให้องค์กรปกครองท้องถิ่นรับผิดชอบดำเนินการ แต่ขณะนี้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อม จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับ (ร่าง) แผนการจัดการ น้ำเสียชุมชน และ (ร่าง) แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมในภาพรวมทั้ง ด้านการจัดโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินการก่อนที่หน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการตามมติคณะกรรม การสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ต้องกำหนดให้มีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสมถูก วิธีสำหรับขยะแต่ละประเภทควรมีการแยกขยะแต่ละชนิด โดยอาจขอความร่วมมือเพื่อใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในความดูแลของทหารมาใช้เพื่อการนี้ได้ตามความเหมาะสม และมอบให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการ ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบ ติดตาม และกำกับการดำเนินการแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการจัดการขยะและการจัดการน้ำเสียในจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับแนวทาง ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||
| 1486 | ส่งรายงานประจำปี 2545 | นร | 02/12/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2545
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้ความเห็นชอบ แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546 โดยมีสาระสำคัญ 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่ 3 ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 4 ผลการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเขตของกรุงเทพมหานครเพื่อ จัดตั้งเป็นนครธนบุรี ส่วนที่ 5 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ส่วนที่ 6 การตอบข้อหารือและคำถามที่ได้รับจากการสัมมนา ส่วนที่ 7 ภาคผนวก (กฎหมาย คำสั่ง ประกาศเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) |
||||||||||||||||||
| 1487 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง
รับการเปลี่ยนแปลง ตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการสนับ สนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ หรือมาตรการชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี มาตรการสำหรับ ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ (recommended retirement) และมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็น ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว เมื่อจะจัดทำเป็น โครงการเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ข้าราชการได้รับรู้โดยทั่วกันควรกำหนดชื่อของมาตรการ/โครงการ ให้ เหมาะสม สื่อความหมายที่ดีและชัดเจน รวมทั้งควรระบุสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการซึ่งเข้าร่วมมาตรการในแต่ ละมาตรการพึงได้รับ ให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ดำเนิน การด้านประชาสัมพันธ์และบริหารโครงการ โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้จากเงินงบประมาณ ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 20 ล้านบาท กับ ให้กำหนดเป้าหมายรวมของจำนวนข้าราชการของทุกส่วนราชการ และของแต่ละส่วนราชการที่จะเข้าร่วมตาม มาตรการแรก เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการทั้งหมด โดยให้ใช้หลักสมัครก่อน ได้สิทธิก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการสมัครเกินร้อยละ 10 ในขณะที่ส่วนราชการอื่น ๆ มีข้าราชการสมัครน้อยกว่าร้อยละ 10 หากส่วนราชการเจ้าสังกัดที่มีผู้สมัครเกินจำนวนเห็นชอบ ก็ให้ข้าราชการที่สมัครได้รับสิทธิเข้าร่วมโครง การโดยใช้โควตาของส่วนราชการอื่นที่เหลืออยู่ได้ โดยจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นจะต้องไม่ทำให้ จำนวนรวมเกินเป้าหมายรวมที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ด้วย ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไม่รวมถึง ข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถ พิจารณาดำเนินการได้เองตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ซึ่งเดิมมีโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด โดยได้รับสิทธิประโยชน์ในการได้รับพระราชทานชั้นยศเพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกอยู่ ด้วยนั้น ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาความเหมาะสมว่า ประสงค์จะยังคง ดำเนินโครงการตามแนวทางเดิม เป็นทางเลือกของข้าราชการในสังกัดต่อไปด้วย หรือจะเข้าร่วมดำเนินการ ตามมาตรการนี้เพียงทางเดียว โดยจะต้องไม่มีผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในภาพรวมทั้ง ระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์จูงใจอื่น ในส่วนของการได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 1488 | การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 29/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินการ ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องสร้าง ความเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้องตรงกันทั้งในส่วนของราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ รับการถ่ายโอนภารกิจว่า ภารกิจใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ และภารกิจใดราชการบริหาร ส่วนกลางยังคงต้องเป็นผู้ทำ มิฉะนั้นภารกิจบางอย่างอาจเกิดปัญหาขาดเจ้าภาพที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ่ายโอนภารกิจจะต้องคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม ตลอดจนขีดความสามารถของแต่ละ ท้องถิ่นในการดำเนินการ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เช่น ภารกิจ เกี่ยวกับการบริหารสถานีรถโดยสาร และงานทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น ส่วนที่ สามารถถ่ายโอนให้ท้องถิ่น ได้แก่ การบริหารสถานีรถโดยสารที่วิ่งอยู่ในท้องถิ่นหรือภายในจังหวัดนั้น ๆ และการกำหนดสถานที่จอดและการเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถานีรถโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ระหว่างจังหวัดยังคงให้กรมการขนส่งทางบกดูแลรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้การจัดระบบการขนส่งในภาพรวม ของประเทศสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมิให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ สำหรับงานทะเบียนรถยนต์ซึ่ง ในปัจจุบันได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้สามารถให้บริการเกี่ยวกับ ทะเบียนรถยนต์แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว หากถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ก็จะกระทบกับการให้บริการประชาชนโดยตรง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีระบบ ฐานข้อมูลรองรับการดำเนินการได้ รวมทั้งการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อนด้วย จึงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) รับไปหารือกับรองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1489 | รายงานผลการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการดำเนินการกระจาย
อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ออกประกาศคณะกรรมการ ฯ เรื่อง กำหนดอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบบริการสาธารณะขององค์การ บริหารส่วนจังหวัด มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2546 และจากการออกประกาศ ฯ เป็นผลให้การดำเนิน การตามอำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในเขตจังหวัด ไม่เกิดความซ้ำซ้อนกับการดำเนินการตาม อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นในจังหวัด พร้อมทั้งได้แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการ จังหวัดทุกจังหวัดซึ่งกำกับดูแลองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศ ฯ แล้ว ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ในการดำเนินการบริหารจัดการท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในบางกรณียังเกิด ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หน่วยราชการส่วนกลางซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในท้องถิ่น ควรประสานและกำกับดูแล ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามสมควรด้วย เช่น กรณีหาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต มีการถมที่ดินในทะเล ทำให้เกิดผล กระทบต่อสภาพแวดล้อมและสภาพธรรมชาติในบริเวณนั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะอนุญาต/อนุมัติให้กระทำได้ แต่เป็นกรณีที่ผู้ดำเนินการจะต้องจัดทำรายงานการ วิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาเห็นชอบก่อนตาม ประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจ การของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) เป็นต้น จึงให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อติด ตาม ดูแล แก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ถูกต้อง และเป็นไปตามบทบัญญัติของ กฎหมายต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 1490 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการใหัสัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... | มท | 25/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่มี
มติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ สัมปทานในที่ดินของรัฐ พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็น ของ คกก.7 และความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับความเห็น ของ คกก.7 เห็นว่า องค์ประกอบของคณะกรรมการในการพิจารณาการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎ กระทรวง ฯ นี้ควรมีผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ด้วย เพราะในบริเวณที่ดินของรัฐที่จะให้สัมปทานอาจจะยังมีพื้นที่ป่าซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติ ฯ รวมอยู่ด้วย ส่วนกรณีการให้สัมปทานในที่ดินของรัฐตามร่างกฎกระทรวง ฯ จะอยู่ในข่ายต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 หรือไม่ นั้น โดย ที่คำนิยาม "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหมายความถึง การร่วมทุนกับภาคเอกชนไม่ว่า โดยวิธีใดหรือมอบให้เอกชนลงทุนแต่ฝ่ายเดียวโดยวิธีการอนุญาต หรือให้สัมปทาน ดังนั้น การนำที่ดินของรัฐซึ่งมิ ได้มีบุคคลใดมีสิทธิครอบครองไปให้สัมปทานตามมาตรา 12 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นการ "ร่วมงานหรือดำเนินการ" ตามพระราชบัญญัติ ฯ และหากเป็นการลงทุนที่มีวงเงินหรือทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้าน บาทขึ้นไป ก็น่าจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติ ฯ ด้วย นอกจากนี้ องค์ประกอบของคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องราวการให้สัมปทาน ฯ ประจำจังหวัด ควร เพิ่มให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกินสามคน ร่วมเป็นกรรมการ โดยกำหนดที่มาและกระบวนการสรรหาให้เหมาะสม ด้วย สำหรับการกำหนดให้ค่าตอบแทนที่ผู้ได้รับสัมปทานต้องชำระให้ตกเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่ง ท้องที่ที่ขอสัมปทานนั้น ให้นำส่งเข้าบัญชีเงินคงคลังตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ส่วนการที่จะจัด สรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างไรนั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 บัญญัติไว้ แม้มาตรา 28 (13) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจมีรายรับจากรายได้จาก ทรัพย์สินของแผ่นดินก็มิได้เป็นบทบังคับให้ทุกกฎหมายต้องบัญญัติความให้ต้องโอนรายได้ให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเสมอไป อีกทั้งการโอนรายได้ไปดังกล่าวทำให้ส่วนกลางไม่ทราบเม็ดเงินที่แท้จริง ทำให้เกิดปัญหาการ จัดสรรในภายหน้าได้ ประกอบกับการกำหนดดังกล่าวเป็นการเกินอำนาจกฎหมายแม่บทตามมาตรา 12 ของ ประมวลกฎหมายที่ดิน หรือไม่ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับประเด็นกฎหมายดังกล่าวไปพิจารณา ต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1491 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 25/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....)
ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 และ กำหนดให้นายกเทศมนตรีเทศบาลนคร ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "น" ลงยาสีขาว นายกเทศมนตรีเทศบาลเมือง ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "ม" ลงยาสีน้ำเงิน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบล ให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "ต" ลงยาสีแดง และนายกเมืองพัทยาให้มีสายสร้อยสีทองลงยาเป็นลายดอกรัก กลางสายสร้อยมีอักษร "พ" ลง ยาสีขาว ห้อยดวงตราเครื่องหมายประจำเทศบาลหรือเมืองพัทยาคล้องคอ เครื่องหมายนี้ให้ประดับได้ในโอกาส อันควร |
||||||||||||||||||
| 1492 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 25/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจ
ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น โดยให้ส่วนราชการที่ยังไม่ถ่ายโอนภารกิจเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจตามที่แผนปฏิบัติการดังกล่าว กำหนดไว้ โดยให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2546 สำหรับผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว ส่วนราชการต่าง ๆ ได้แจ้งผลการดำเนินการถ่ายโอนภารกิจ สรุปได้ดังนี้ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 87 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 69 ภารกิจ ด้านงานส่งเสริม คุณภาพชีวิต ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 103 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 65 ภารกิจ ด้านการจัดระเบียบชุมชน/สังคม และ การรักษาความสงบเรียบร้อย ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 1 ภารกิจ ด้านการวางแผน การส่ง เสริมการลงทุน พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยว ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 19 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 14 ภารกิจ ด้าน การบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 17 ภารกิจ ถ่ายโอนแล้ว 13 ภารกิจ และด้านศิลปะ วัฒนธรรมจารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น ภารกิจที่ต้องถ่ายโอน 2 ภารกิจ ถ่าย โอนแล้ว 2 ภารกิจ
|
||||||||||||||||||
| 1493 | ขออนุมัติบรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรีเข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ | กษ | 25/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติ
อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการบรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัด ลพบุรีเข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องจากพระราชดำริ ทั้งนี้ เพื่อปรับลดค่างาน ก่อสร้างระบบชลประทานจากเดิม 4,000 ล้านบาท เหลือ 2,710 ล้านบาท ลดลง 1,290 ล้านบาท รวมทั้ง บรรจุงานก่อสร้างโครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตรจังหวัดลพบุรี มูลค่าโครงการรวม 1,173 ล้านบาท แยก เป็นการลงทุนในโครงสร้างหลักจำนวนเงิน 1,053 ล้านบาท และการลงทุนในส่วนขยายจำนวนเงิน 120 ล้านบาท เข้าในแผนงานก่อสร้างโครงการพัฒนาลุ่มน้ำป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และระยะเวลาก่อ สร้างโครงการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2548 ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2543 โดย ให้ประชาชนผู้ใช้น้ำและองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมีส่วนรับภาระค่าบำรุงรักษาและค่าสูบน้ำของโครงการ ฯ ด้วย |
||||||||||||||||||
| 1494 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 18/11/2546 | |||||||||||||||
|
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ
พิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ พิจารณาเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ ดังนี้ การให้สมาชิกภาพของสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสิ้นสุดลงในกรณีที่ถูกราษฎรผู้มีสิทธิเลือก ตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัดเข้าชื่อถอดถอนเพราะเหตุที่ไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไป นั้น ตามพระราช บัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บัญญัติให้ ถือเกณฑ์จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติองค์การ บริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 กำหนดให้เขตขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งการเข้าชื่อถอดถอนหรือลง คะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเกณฑ์ แต่การ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้ถือเขตอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่งไม่สอดคล้อง กัน จึงเห็นควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเลือกตั้งและการถอดถอนใช้เขตเลือกตั้งเดียวกัน ส่วนใน กรณีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลาออกก่อนครบวาระโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและก่อให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ควรมี บทบัญญัติในกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย และปัจจุบันอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหาร ส่วนจังหวัดมีหลายประการที่ซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น เพื่อให้การกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ควรแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อ กำหนดบทบาท ขอบเขต อำนาจและหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้มีความชัดเจน เพื่อมิให้ซ้ำซ้อนกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น และมอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ แล้ว แจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1495 | กระทู้ถามที่ 1198 ร. เรื่อง การมอบหมายหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดิน อาคารสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ และยานยนต์ระหว่างหน่วยงาน | สผ | 18/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1198 ร.
เรื่อง การมอบหรืออนุญาตให้ใช้ที่ดินอาคารสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ และยานยนต์ระหว่างหน่วยงาน ของนายพงษ์ศักดิ์ วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อ ไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การมอบหรือการอนุญาตให้ใช้ทรัพย์สินที่เป็นที่ราชพัสดุ (เฉพาะส่วน ที่เป็นที่ดินและหรืออาคารสิ่งปลูกสร้าง) เพื่อประโยชน์ในทางราชการ จะพิจารณาให้ส่วนราชการต่าง ๆ ใช้ ประโยชน์ตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากภารกิจของหน่วยงานและความเหมาะสมตามสภาพทำเลของพื้นที่ ที่ราชพัสดุที่ขอใช้ และการใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุบริเวณพื้นที่ศูนย์ราชการ ได้กำหนดแนวทางถือปฏิบัติแก่ส่วน ราชการผู้ใช้ประโยชน์ว่าต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 157 (3) กำหนดหลักเกณฑ์ให้ส่วนราชการซึ่งมี พัสดุที่หมดความจำเป็นหรือหากใช้ราชการต่อไปจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก จำหน่ายพัสดุโดยการโอนให้แก่ส่วน ราชการ หน่วยงานตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานอื่นซึ่งมีกฎหมายบัญญัติ ให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจหรือองค์การสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) แห่ง ประมวลรัษฎากรได้ ดังนั้น หน่วยงานของรัฐที่ใหญ่กว่าจึงสามารถมอบพัสดุให้กับหน่วยงานที่เล็กกว่าได้ตาม ระเบียบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การมอบอาคารและที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ราชพัสดุและกฎระเบียบหลักเกณฑ์ที่กรมธนารักษ์กำหนดด้วย นอกจากนี้ การใช้ที่ราชพัสดุของส่วนราชการ หากผู้ใช้ที่ราชพัสดุเลิกใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุ หรือมิได้ใช้ประโยชน์ที่ราชพัสดุตามที่ได้รับอนุญาต รวมถึงการใช้ ประโยชน์ที่ราชพัสดุไม่ครบถ้วนตามที่ได้รับอนุญาต ให้ผู้ใช้ประโยชน์นั้น ๆ ส่งคืนที่ราชพัสดุดังกล่าวแก่กรม ธนารักษ์ เมื่อผู้ใช้ที่ราชพัสดุคืนที่ราชพัสดุให้แก่กรมธนารักษ์แล้ว ส่วนราชการอื่น ๆ ที่ประสงค์จะใช้ที่ราชพัสดุ ดังกล่าวก็สามารถดำเนินการขอใช้กับกรมธนารักษ์ได้ และในกรณีที่ส่วนราชการผู้ใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุไม่ ได้ส่งคืนที่ราชพัสดุ แต่ถ้ายินยอมให้ส่วนราชการอื่นเข้าใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุแล้ว ก็ให้ส่วนราชการผู้ได้รับ ความยินยอมทำความตกลงการขอใช้ที่ราชพัสดุนั้นกับกรมธนารักษ์ต่อไปเช่นเดียวกัน |
||||||||||||||||||
| 1496 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | นร | 18/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่
กระทรวงมหาดไทยเสนอ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งได้ปรับ ปรุงแก้ไขตามมติคณะรัฐมนตรีแล้วนั้น ยังมีหลักการสำคัญบางประการที่สมควรได้รับการพิจารณาทบทวนเพื่อ ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างขององค์กร อำนาจหน้าที่ขององค์ กรและพนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งรายได้และระบบบริหารงานการเงินขององค์กร จึงให้กระทรวงมหาดไทยนำ ร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ดังนี้ ในการ กำหนดอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ของกรุงเทพมหานครและนครควรพิจารณาให้สอดคล้องกับแนวทางตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และ ควรนำอำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศ บาลมาประกอบการพิจารณาด้วย ในส่วนของตำแหน่งผู้บริหารกรุงเทพมหานครและนคร ควรมาจากผู้มีคุณ สมบัติด้านการบริหารจัดการ สำหรับหลักการต่าง ๆ ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรคำนึงถึงประโยชน์ที่ จะเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมทั้งให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาด้วย ว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ยังมีการทับซ้อนของอำนาจการจับกุม และสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าที่ของ กรุงเทพมหานครและนครในบางส่วน และในกรณีที่อำนาจหน้าที่ทับซ้อนกัน ควรมีกลไกกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
| 1497 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาต มามอบให้แก่ทางราชการ พ.ศ. .... | สผ | 11/11/2546 | |||||||||||||||
|
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติยกเว้นความผิดทางอาญาให้แก่ผู้นำอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุ ระเบิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือที่กฎหมายห้ามออกใบอนุญาต มามอบให้แก่ทางราชการ พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยคณะกรรมาธิการ ฯ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ฯ ดังกล่าวแล้วเห็นว่า รัฐบาลควรดำเนินการออก ประกาศกระทรวงให้ทันในวันบังคับใช้พระราชบัญญัตินี้ และทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อของภาครัฐให้ ประชาชนได้ทราบข้อมูลอย่างทั่วถึงทุกชุมชนทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ โดยผ่านทางองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย รวมทั้งควรจะทำการตรวจสอบอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่นำมามอบให้ ว่าเป็นอาวุธที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ เพราะพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้ยกเว้นการกระทำความผิดอื่น นอก จากนี้ การเพิ่มคำว่า หรือผู้ต้องหา เข้าไปในมาตรา 3 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวทำให้กฎหมายมีความ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่บุคคลที่ไม่ได้ถูกจับกุมและไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องหา จะมีการดำเนินการอย่าง ไร ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนัก งานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขา ธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1498 | ขอนำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (เรื่อง รายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว) | พม | 11/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมพัฒนา
สังคมและสวัสดิการรายงานผลความก้าวหน้าในการเตรียมการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว โดยกำหนด กรอบภารกิจ ดังนี้ จัดทำแนวทางการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินงานของ หน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งประกอบด้วย การฟื้นฟูศักยภาพของผู้ประสบอุทกภัยและ ครอบครัว สร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ รวมทั้งประสานความร่วมมือกับองค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ สมาคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการให้การสงเคราะห์ ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพแก่ผู้ประสบภัยหลัง น้ำลดได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของการสร้างความมั่นคงทางด้านอาชีพและรายได้ ได้จัดทำโครงการสร้างความมั่นคงด้านอาชีพและรายได้ผู้ประสบภัยหลังน้ำลด โดยขออนุมัติใช้เงินงบประมาณ รายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2547 ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ รายการ ค่าแรงงานสตรี (20 ล้านบาท) และรายการเงินอุดหนุนสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและผู้ไร้ที่พึ่ง (20 ล้านบาท) จำนวนทั้งสิ้น 40 ล้านบาท กับมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาสังคมและสวัสดิการจังหวัด และหน่วย งานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ และจัดทำ แผนการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย เพื่อการประสานการทำงานร่วมกัน รวมทั้งได้เตรียมการแต่งตั้งคณะกรรมการ บูรณาการการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โดยปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานกรรมการ และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้ ได้ จัดประชุมร่วมระหว่างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และพัฒนาสังคม และสวัสดิการจังหวัด ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่ประสบปัญหาอุทกภัย (จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์) เพื่อจัดทำแผนเตรียมการฟื้นฟูศักยภาพผู้ประสบอุทกภัยและครอบครัว อย่างเป็นองค์รวมและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||
| 1499 | กระทู้ถามที่ 857 ร. เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวง สายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล | สผ | 04/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 857 ร.
เรื่อง การก่อสร้างปรับปรุงทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอ มะนัง จังหวัดสตูล ของนายสนั่น สุธากุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล และให้ประกาศในราชกิจจา นุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบทางหลวงสายบ้านผังปาล์ม 2 - บ้านผังปาล์ม 5 ตำบลปาล์มพัฒนา กิ่งอำเภอมะนัง จังหวัดสตูล แล้วปรากฎว่า สายทางดังกล่าวมีระยะทาง 11.50 กิโลเมตร โดยช่วง กม. 0+000-6+850 เป็นถนนลาด ยาง อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนช่วง กม. 6+850-11+500 เป็นถนนลูกรัง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท แต่เนื่องจากการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม โดยกรม ทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานที่เกิดจากการรวมหน่วยงานด้านถนน ของกรมโยธาธิการ และกรมการเร่งรัด พัฒนาชนบท ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารงานให้สอดคล้องกับภารกิจตามที่กฎกระทรวง กำหนดและกำลังดำเนินการศึกษาถนนทั้งหมดที่เคยอยู่ในความรับผิดชอบว่า สอดคล้องกับภารกิจหลักหรือ ไม่ หากสายทางดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวงชนบทจะพิจารณาจัดลำดับความ สำคัญ และจัดเข้าแผนในการของบประมาณเพื่อสนับสนุนต่อไป นอกจากนี้ การปรับปรุงถนนลูกรังให้เป็น ถนนลาดยางต้องสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในอันที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม แต่เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด และรัฐบาลมีภาระที่จะต้องพัฒนาประเทศในอีกหลายด้าน ซึ่งทุกด้านจำเป็นที่จะต้องใช้ งบประมาณในการพัฒนาทั้งสิ้น ดังนั้น หากถนนดังกล่าวมีความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ แล้ว กรมทางหลวง ชนบทจะได้พิจารณาจัดเข้าแผนงานเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||
| 1500 | ขออนุมัติเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร | มท | 04/11/2546 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4) ที่มี
มติเกี่ยวกับโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวง มหาดไทยเสนอ โดยอนุมัติโครงการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนบ้านบางกะปิ สำนักงานเขตบางกะปิ และโรงเรียนวิชูทิศ สำนักงานเขตดินแดง ในปีการศึกษา 2546 โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย สำหรับงบ ประมาณสำหรับดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และอนุมัติเป็นหลักการว่า หากโรงเรียนในสังกัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและพร้อมที่จะเปิดทำการเรียน การสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยม ศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี แต่ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และดำเนินการตามประเด็นอภิปรายของ คกก.4 ดังนี้ กรณีโรงเรียน ในสังกัดกรุงเทพมหานครที่มีความพร้อมจะเปิดทำการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ให้เปิดทำการ เรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี นั้น จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ความพร้อมของการขยายการจัดการศึกษาในทุกด้าน โดยเฉพาะคุณภาพการศึกษา เพื่อที่คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาจะใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติ และให้มีการจัดทำแผนที่แสดงที่ตั้งสถานศึกษาและสภาพข้อมูลที่เกี่ยว ข้องในบริเวณใกล้เคียงอื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณากรณีจะขอขยายการเรียนการสอนในโรงเรียนของ กรุงเทพมหานคร รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ โดยการขอขยายการจัดการศึกษาควรดำเนินการแบบ ค่อยเป็นค่อยไป แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวการจัดการศึกษาโดยภาครัฐควรต้องลดลง ในขณะที่ต้องส่งเสริมให้มี การจัดการศึกษาโดยภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยให้พิจารณาว่า หากโอนภารกิจเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็ควรปรับลดสัดส่วนระหว่างโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียน ในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอาจต้องโอนโรงเรียนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือยุบเลิกโรงเรียน เพื่อมิให้มีการขยายขอบเขตการให้การศึกษาจนเป็นการแข่งขันกับเอกชน โดยรัฐอาจพิจารณาสนับสนุนภาคเอก ชนในเรื่องปัจจัยอุดหนุนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น จัดให้มีครูอาจารย์จากโรงเรียนของรัฐไปช่วยสอนเสริมในโรงเรียน เอกชนที่อยู่ใกล้เคียง หรือกำหนดสัดส่วนจำนวนนักเรียนต่อห้องเรียนในโรงเรียนของรัฐให้เหมาะสมกับการสอน ที่มีประสิทธิภาพไว้เป็นมาตรฐานและจะไม่เพิ่มจำนวนนักเรียนต่อห้องเกินกว่ามาตรฐานดังกล่าว รวมทั้งไม่ขยาย จำนวนห้องเรียนเพิ่มเติม เป็นต้น และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อคณะกรรมการเขต พื้นที่การศึกษาใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติตามประเด็นอภิปรายดังกล่าว แล้วแจ้งให้คณะกรรมการเขตพื้นที่ การศึกษาทราบโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||
