ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 74 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1461 - 1480 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 1461 | ยุทธศาสตร์การจัดสรรและวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 | นร | 17/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอยุทธศาสตร์การจัดสรรและวงเงิน
งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้ผู้เกี่ยวข้องรับข้อสังเกต ของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วยดังนี้ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ของส่วนราชการและหน่วยงาน ให้สำนักงบประมาณจัดทำเอกสาร (format) หรือรายการสำหรับ ตรวจสอบ (check list) ให้แก่รองนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประโยชน์ในการพิจารณางบประมาณ ของส่วนราชการและหน่วยงานในความรับผิดชอบ ให้มีความเหมาะสม และเกิดการบูรณาการในมิติต่าง ๆ ด้วย สำหรับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้น ประกอบด้วย ผู้แทนของกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) สำนักงบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปรับปรุงแนวทางและกระบวนการถ่ายโอนภารกิจ การจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งการโอนบุคลากร ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และความพร้อมขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลทางการบริหารราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการเปลี่ยน ผ่าน และควรจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องที่มีรายละเอียดชัดเจนสำหรับให้บุคลากรขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โดยที่มูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศมีแนว โน้มการขยายตัวในลักษณะที่ลดลงตามลำดับ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการประมาณการทางเศรษฐกิจและการจัด ทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ในอนาคต จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณากำหนดยุทธ ศาสตร์และแนวทางการดำเนินการ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการประกอบการที่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกและเพื่อ ทดแทนการนำเข้าให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อคงสภาพการได้เปรียบดุลการค้าของประเทศในภาพรวมเอาไว้ แล้วดำเนิน การให้สัมฤทธิผลต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1462 | การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 | นร | 17/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรม
ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) เสนอ หลักเกณฑ์การพิจารณาปรับลด ปรับเพิ่ม งบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะ กิจตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 และวงเงินงบประมาณที่จังหวัดต่าง ๆ ได้รับ กับให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติเงินประจำงวดในรายการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ เพื่อพัฒนาองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ได้ปรับปรุงแล้ว จำนวน 762 รายการ วงเงินงบประมาณ 2,516.343 ล้านบาท รวมทั้งมอบให้ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย พิจารณาโครงการและวงเงินที่จัดสรรเพิ่มให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ 31 จังหวัด ประมาณ 710.200 ล้านบาท และให้สำนักงบประ มาณพิจารณาอนุมัติเงินประจำงวดในโครงการที่ได้มีการพิจารณาแล้ว |
|||||||||||||||||||||
| 1463 | แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติ | ทส | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 รับเรื่องนี้ และความเห็นเพิ่มเติมของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาทบทวน แล้วนำ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า การจัดทำแผนการจัดการขยะมูลฝอย ควรจะต้องพิจารณาให้ครอบคลุมครบถ้วนในทุกมิติทั้งในระดับย่อยและใน ภาพรวมของประเทศ โดยการจัดการขยะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ประเภทขยะ แนวทาง วิธีการ กำจัด/ลดปริมาณ หรือการนำขยะไปใช้ประโยชน์ หน่วยงาน/องค์การ ที่จะรับผิดชอบดำเนินการ สถานที่/ที่ตั้ง ของโรงงานกำจัดขยะ ตลอดจนการประสานและร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น และการถ่าย โอนงานด้านนี้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับศักยภาพขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งและสอดคล้องกับปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1464 | การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี
เสนอ โดยเห็นชอบในหลักการให้กำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้สุทธิของรัฐบาล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 เป็นร้อยละ 23.5 ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดสรรรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน ปีงบประมาณดังกล่าวมีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดทำงบประมาณประจำปีแบบสมดุล ซึ่งอาจทำ ให้สถานะงบประมาณโดยรวมของประเทศมีความตึงตัวมากกว่าในปัจจุบัน และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) รับไปประสานในราย ละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประสานกับองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรต้องเร่งรัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยเฉพาะ การจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น เพื่อให้สามารถบริหารจัดการงบประมาณนอกเหนือจากเงินรายได้ที่ได้รับการจัด สรรจากรัฐบาลด้วย เช่น การเร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีประเภทต่าง ๆ ในท้องถิ่นตามที่กฎหมายกำหนดให้ เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น กับให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงโครง สร้างภาษีประเภทต่าง ๆ ของประเทศทั้งระบบให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณาความ เหมาะสมและเป็นไปได้ในการปรับปรุงหรือขยายฐานภาษีเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดเก็บภาษี ในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มรายได้ของตนเองมากขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในราชการส่วน กลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามภารกิจที่จะถ่ายโอนให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำหนดว่าเมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว หน่วยงานราชการ ยังจะต้องดูแลให้คำปรึกษา แนะนำ และความช่วยเหลือแก่ท้องถิ่น ไประยะหนึ่งก่อน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอน โ ดยให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนพึงจะ ได้รับเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจสำคัญ ๆ ที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและความเป็นอยู่ของประชา ชนโดยตรง |
|||||||||||||||||||||
| 1465 | การบูรณาการแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547-2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 | มท | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธานกรรมการ
ป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติเสนอ ยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุ แห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545-2549 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การจัดการสารเคมีเป็นระบบมีความปลอดภัย และสอดคล้องกับแผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนิน การต่อไปได้ โดยให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักในการ กำกับ ดูแล และติดตามการดำเนินการด้านยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บท ฯ ให้เกิดผลในเชิง บูรณาการ และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปประกอบการดำเนินการด้วยว่า การพิจารณาอนุญาตให้ใช้สถานที่ใดเป็นสถานที่จัดเก็บสารเคมีอันตราย จะต้องสอดคล้องกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับผังเมืองด้วย รวมทั้งการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็น หน่วยดำเนินการตามกฎหมายนั้น หน่วยงานส่วนกลางที่เกี่ยวข้องจะต้องกำกับดูแล ตรวจสอบติดตาม และ ประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 1466 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | ศธ | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง ฯ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมอบให้กระทรวง ศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการจัดทำคู่มือแนวทางการดำเนินการในแต่ละระดับการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมให้ กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
|||||||||||||||||||||
| 1467 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 10/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7)
(ฝ่ายกฎหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราช การส่วนท้องถิ่น(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็น อภิปรายของคกก.7 ไปพิจารณาด้วยดังนี้ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับบำเหน็จดำรงชีพของราชการส่วน ท้องถิ่น ควรมีแนวทางเช่นเดียวกับบำเหน็จดำรงชีพที่ให้กับข้าราชการพลเรือนที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำ และ ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ยกเว้นในส่วนที่เป็นเรื่องของข้าราชการส่วนท้องถิ่นโดยเฉพาะ ก็ให้เป็นไปตาม ที่ร่างพระราชบัญญัติกำหนด แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภา ผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไปและมอบให้กระทรวงมหาดไทยรับประเด็นอภิปราย กรณีร่างมาตรา 46/1 กำหนดให้ผู้ รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพมีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพตามอัตรา และวิธีการ ที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่เกิน 15 เท่าของบำนาญรายเดือนที่ได้รับ ควรกำหนดจำนวนเงินขั้นสูงไว้ไม่ เกิน 200,000 บาท เพื่อให้เป็นอัตราเดียวกันกับการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ผู้รับบำนาญของข้าราชการพล เรือน ฯ และไม่เกิดผลกระทบกับข้าราชการที่ได้รับบำเหน็จดำรงชีพไปแล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด และเทศบาล ในจำนวนนี้จะ มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นประมาณ 803 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่รัฐบาลโดยสำนักงบประมาณจัดสรรไว้เป็นเงิน 495 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 308 ล้านบาท ให้จ่ายจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซึ่งผู้ แทนกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ได้คำนวณตัวเลขแล้ว กองทุน ฯ สามารถจ่ายได้ ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||
| 1468 | กระทู้ถามที่ 977 ร. เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาแม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานีเน่าเสีย | สผ | 03/02/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 977 ร. เรื่อง
มาตรการแก้ปัญหาแม่น้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เน่าเสีย ของนายโกเมศ ขวัญเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า จากการ ตรวจสอบคุณภาพน้ำของแม่น้ำตาปี ในปี พ.ศ. 2545 พบว่า คุณภาพน้ำแม่น้ำตาปีตอนบนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ส่วนแม่น้ำตาปีตอนล่างช่วงที่ผ่านอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี พบว่า คุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ต่ำ นื่องจากการขยาย ตัวของชุมชน ซึ่งมีการระบายน้ำเสียจากกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนระบายลงสู่น้ำโดยตรง ทำให้คุณภาพน้ำแม่น้ำ ตาปีมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวม 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการด้านการจัดการน้ำเสีย โดยสนับสนุนให้ท้องถิ่นนำวิธีการจัดการน้ำเสียที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ไป ใช้แทนการมุ่งไปที่ระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนเพียงทางเลือกเดียว ส่วนการจัดการน้ำเสียพื้นที่ลุ่มน้ำตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้สนับสนุนงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับ จังหวัดในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 เทศบาลตำบลท่าข้าม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย มาตร การด้านกฎหมาย จะเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบและข้อบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และมาตรการด้านการ ประชาสัมพันธ์ โดยสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการรณรงค์และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจ และประชุมรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา และร่วมตัดสินใจในการดำเนิน การจัดการน้ำเสีย นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณตามลำดับของความสำคัญของพื้นที่ ซึ่งกรมควบ คุมมลพิษได้จัดทำแผนการจัดการน้ำเสียชุมชน เป็นการจัดลำดับความสำคัญพื้นที่ที่ต้องมีการบำบัดน้ำเสียตาม ความจำเป็นเร่งด่วน ตามสภาพปัญหาของคุณภาพน้ำ และความสำคัญของพื้นที่ ซึ่งในส่วนของเทศบาลเมือง สุราษฎร์ธานี ซึ่งตั้งบนแม่น้ำตาปี-พุมดวง เป็นพื้นที่เป้าหมายระยะเร่งด่วนและเป็นพื้นที่คุณภาพน้ำเสื่อมโทรม อยู่ในระดับต้น ๆ ซึ่งหากได้รับการจัดการน้ำเสียและบำบัดน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถควบคุมการ ระบายมลพิษน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของน้ำเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำ ดังนั้น เทศ บาลเมืองสุราษฎร์ธานีจึงควรเตรียมความพร้อมของโครงการเรื่องของที่ดิน การออกแบบรายละเอียดของโครง การที่จะก่อสร้าง รวมทั้งการรับรู้ของประชาชนในพื้นที่ โดยงบประมาณในการดำเนินการ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเป็นผู้วิเคราะห์โครงการ หากผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแล้ว จะนำเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1469 | ร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "นายตรวจชั่งตวงวัด" ให้หมายถึงข้าราชการพลเรือน ข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานเมืองพัทยา พนักงานเทศบาล หรือพนักงานส่วนตำบล ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง ส่วนร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 เพื่อให้รัฐมนตรีมีอำนาจ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายโอนภารกิจในการรับจดทะเบียนพาณิชย์ให้ กรุงเทพมหานครได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรกำหนดให้ชัดเจนว่า ให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดชั้นหลัง โดยไม่ต้องให้อธิบดีกำหนด และการ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ ควรกำหนดให้มีสำนักงานทะเบียนพาณิชย์สาขา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1470 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | พม | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลความ
ก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของส่วนราชการในสังกัด ดังนี้ (1) กรมพัฒนา สังคมและสวัสดิการ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ งานสงเคราะห์และจัดสวัสดิการ เด็กและเยาวชน (อาหารกลางวัน, อาหารเสริมนม) การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ การสงเคราะห์เบี้ยยัง ชีพคนพิการ ศูนย์บริการทางสังคมผู้สูงอายุ และสถานสงเคราะห์คนชรา 13 แห่ง (2) สำนักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 100 สมาคม งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 3,147 สมาคม (3) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การอนุญาตให้ควบคุมหอพักเอกชนตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 และ (4) การเคหะแห่งชาติ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด |
|||||||||||||||||||||
| 1471 | แผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องและ สนองต่อภารกิจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ รัฐบาล เพื่อบูรณาการมิติทางศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมกับวิถีชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายและ ระดมทรัพยากรในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และประชาชน และเพื่อเสริมสร้างศักดิ์ศรี ความเสมอภาค ความสมานฉันท์ และสันติ สุขแก่คนทุกกลุ่มทั้งระดับครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก โดยมียุทธศาสตร์การดำเนินงาน ดังนี้ ยุทธ ศาสตร์ที่ 1 : รักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่น คง ยุทธศาสตร์ที่ 2 : สร้างค่านิยม จิตสำนึก และภูมิปัญญาคนไทย ยุทธศาสตร์ที่ 3 : นำทุนวัฒนธรรมของ ประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ที่ 4 : การบริหารจัดการองค์ ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม |
|||||||||||||||||||||
| 1472 | กระทู้ถามที่ 1085 ร. เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว | สผ | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1085 ร.
เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางสัญจรเข้าวัดป่าฟ้าระงึม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางเข้าวัดป่าฟ้าระงึม ในช่วงที่ผ่านหมู่บ้านหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่แล้ว รวมระยะทางประมาณ 1,800 เมตร ส่วนการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางส่วนที่ เหลือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านไผ่ ได้สำรวจขยายเขตไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏว่าต้องใช้ งบประมาณดำเนินการประมาณ 122,781.43 บาท ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะได้ประสานหน่วยงานราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ ดังกล่าวต่อไป สำหรับการขยายขอบเขตบริการน้ำประปาเข้าไปยังวัดป่าฟ้าระงึม องค์การบริหารส่วนตำบล หัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ ได้ดำเนินการประสานกับสำนักงานประปาบ้านไผ่ สำนักงานประปาเขต 6 ขอนแก่น เพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบและประมาณราคาค่าใช้จ่ายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองแล้วเป็นเงิน งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 458,486 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบ ประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในส่วนของการประปาส่วนภูมิ ภาคจะดำเนินการสำรวจรายละเอียดโครงการขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังพื้นที่ป่าฟ้าระงึม บ้านหัวหนอง หมู่ 1 ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ เพื่อขอเสนองบประมาณอุดหนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนการติดตั้งป้ายและ สัญลักษณ์บอกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน ให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทาง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ ดำเนินการติดตั้งป้ายดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1473 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทน ราษฎรมีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิก ซึ่งมาจากการเลือก ตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละ หมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล ฯ ในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่า สมาชิกหรือนายก องค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วน ตำบล ควรที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้ดำเนินการกำหนดหลัก เกณฑ์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็น มาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลา ให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วน ตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วน ท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยก ย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลภายนอก ร่วมเป็นคณะกรรม การสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยควรเสนอขอแก้ ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ชัดเจนมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์ การบริหารส่วนตำบล และควรจะได้มีการทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการจัดทำแผนพัฒนาตำบล และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนิน การ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1474 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทนราษฎร มีข้อสังเกตว่า การกำหนดให้สภาตำบลและองค์ การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และเห็นควรให้มีการแก้ ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็ก มีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่าสมาชิกหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจ การที่กระทำกับสภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สมควรที่กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแลองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางใน การพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการ แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมาย อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลาให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนท้องตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์กรบริหารส่วนตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่ กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนด ให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยกย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 1475 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 1476 | โครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง | พน | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง ซึ่งกระทรวง
พลังงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลังงาน เพื่อ ช่วยแก้ปัญหา และลดภาระการกำจัดขยะของเทศบาลและชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะดำเนินการในพื้นที่นำร่องใน 4 ภาคของประเทศ เช่น เทศบาลนครราชสีมา และบางเขตในกรุงเทพมหานคร โดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ที่ได้มีการ ศึกษาเปรียบเทียบไว้แล้ว และจะให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และในส่วนของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็พร้อมที่จะลงทุนในโครงการ ฯ สำหรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการ ฯ การรับ ซื้อไฟฟ้าจะเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งปัจจุบัน กฟผ. รับซื้ออยู่ที่ 1.70 บาท/MW และยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ |
|||||||||||||||||||||
| 1477 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ขอให้ระงับการถมดินลงในหนองน้ำมณีบรรพตโดยด่วน) | ผร | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ซึ่ง
ได้พิจารณาตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่ให้ระงับการถมดินในหนองน้ำมณีบรรพต จังหวัด ตาก โดยด่วน โดย คกก 7. ได้มีมติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบให้กระทรวงมหาดไทยและรอง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดตาก รับไปดำเนินการ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดูแลกำชับและระมัดระวังการบริหารจัดการ เรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพิจารณาผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และเห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับขั้นตอน การดำเนินการเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาดังนี้ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและ ข้อเสนอแนะไปยังส่วนราชการใด ให้ส่วนราชการนั้นเร่งพิจารณา และรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนิน การให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบโดยด่วน โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนายก รัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนราชการใด แล้วนำเสนอรองนายก รัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับส่วนราชการนั้น เพื่อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ และให้รายงานผลการพิจารณาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจากกรณีดังกล่าว ถ้าหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ความ เห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายหน่วยงาน และ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในกำกับของรองนายกรัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหลายคน เห็นควร นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดังกล่าวพิจารณาดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการเหล่า นั้น ส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมความเห็น เพื่อรายงานผลการพิจารณา ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ แจ้งเวียนให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ราชการส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 1478 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
|||||||||||||||||||||
| 1479 | กระทู้ถามที่ 307 ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 307
ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชี รายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้สนับ สนุนให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการพัฒนาศักยภาพและเสริมบทบาทของกลุ่ม/องค์กรประชาชน การวางโครงการ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และแก้ปัญหาของชุมชน โดยกระตุ้น ส่งเสริมให้ ประชาคมมีองค์ประกอบที่หลากหลายและมีสัดส่วนที่เหมาะสม จัดทำบัญชีปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อใช้ประโยชน์จากบัญชีปัญหาความต้องการ ให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนพัฒนาอำเภอ ตั้งแต่เริ่มต้นจะสิ้นสุดกระบวนการ มีส่วนร่วมตรวจสอบการบริหารขององค์ การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ สำหรับมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมองค์กรชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการ ดังนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ใช้กระบวนการ ประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ในการเอาชนะปัญหายาเสพติดแบบ ยั่งยืน และสามารถเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ครบทุกหมู่บ้านได้ ภายในปี พ.ศ. 2547 รณรงค์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประธานประชาคมหมู่บ้าน และโครงการประเทศไทย ใสสะอาด นอกจากนี้ ได้มีการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทขององค์กร ชุมชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐกับประชาชน ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวง ราชการ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการจัดตั้งสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุม ชนไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย และสมาคมผู้นำอาชีพก้าว หน้าแห่งประเทศไทย |
|||||||||||||||||||||
| 1480 | กระทู้ถามที่ 1189 ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1189
ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2547 เพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะในพื้นที่ตำบลตะลุง ตำบลดอนโพธิ์ ตำบลท้ายตลาด ตำบลโพธิ์ตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นั้น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งไฟฟ้า สาธารณะในพื้นที่ 4 ตำบล ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ตำบลตะลุง ได้ ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 13 หมู่บ้าน ตำบลดอนโพธิ์ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน ตำบลห้วยตลาด ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้วจำนวน 7 หมู่บ้าน และตำบลโพธิ์ตุ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน สำหรับหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่ได้ดำเนินการจัดสรรงบ ประมาณเพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะให้กับหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ ส่วนท้องถิ่นนั้น แต่จะดำเนินการสำรวจและติดตั้งให้กรณีที่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นร้องขอขยายเขต เพิ่มเติม โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากหน่วยงานนั้น |
|||||||||||||||||||||
.....
