ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 74 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 1461 - 1480 จากข้อมูลทั้งหมด 2031 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1461 | ร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า "นายตรวจชั่งตวงวัด" ให้หมายถึงข้าราชการพลเรือน ข้าราชการกรุงเทพมหานคร พนักงานเมืองพัทยา พนักงานเทศบาล หรือพนักงานส่วนตำบล ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้ง ส่วนร่างพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ ฯ มีสาระสำคัญ คือ แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 9 เพื่อให้รัฐมนตรีมีอำนาจ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อถ่ายโอนภารกิจในการรับจดทะเบียนพาณิชย์ให้ กรุงเทพมหานครได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เห็นควรกำหนดให้ชัดเจนว่า ให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดชั้นหลัง โดยไม่ต้องให้อธิบดีกำหนด และการ จัดตั้งสำนักงานทะเบียนพาณิชย์ในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นองค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ ควรกำหนดให้มีสำนักงานทะเบียนพาณิชย์สาขา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1462 | รายงานผลความก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | พม | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานผลความ
ก้าวหน้าในการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของส่วนราชการในสังกัด ดังนี้ (1) กรมพัฒนา สังคมและสวัสดิการ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ งานสงเคราะห์และจัดสวัสดิการ เด็กและเยาวชน (อาหารกลางวัน, อาหารเสริมนม) การสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ การสงเคราะห์เบี้ยยัง ชีพคนพิการ ศูนย์บริการทางสังคมผู้สูงอายุ และสถานสงเคราะห์คนชรา 13 แห่ง (2) สำนักงานกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 100 สมาคม งานฌาปนกิจสงเคราะห์ 3,147 สมาคม (3) สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การอนุญาตให้ควบคุมหอพักเอกชนตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. 2507 และ (4) การเคหะแห่งชาติ ภารกิจที่ถ่ายโอน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด |
|||||||||||||||||||||
1463 | แผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม | วธ | 27/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแผนยุทธศาสตร์กระทรวงวัฒนธรรม โดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ให้สอดคล้องและ สนองต่อภารกิจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ รัฐบาล เพื่อบูรณาการมิติทางศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมกับวิถีชีวิตของประชาชน เพื่อสร้างเครือข่ายและ ระดมทรัพยากรในการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการการดำเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และประชาชน และเพื่อเสริมสร้างศักดิ์ศรี ความเสมอภาค ความสมานฉันท์ และสันติ สุขแก่คนทุกกลุ่มทั้งระดับครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก โดยมียุทธศาสตร์การดำเนินงาน ดังนี้ ยุทธ ศาสตร์ที่ 1 : รักษา สืบทอด วัฒนธรรมของชาติและความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างมั่น คง ยุทธศาสตร์ที่ 2 : สร้างค่านิยม จิตสำนึก และภูมิปัญญาคนไทย ยุทธศาสตร์ที่ 3 : นำทุนวัฒนธรรมของ ประเทศมาสร้างคุณค่าทางสังคมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ที่ 4 : การบริหารจัดการองค์ ความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม |
|||||||||||||||||||||
1464 | กระทู้ถามที่ 1085 ร. เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว | สผ | 20/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1085 ร.
เรื่อง การสนับสนุนและพัฒนาให้วัดป่าฟ้าระงึมเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ ว่า การติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางสัญจรเข้าวัดป่าฟ้าระงึม อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางเข้าวัดป่าฟ้าระงึม ในช่วงที่ผ่านหมู่บ้านหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่แล้ว รวมระยะทางประมาณ 1,800 เมตร ส่วนการติดตั้งโคมไฟฟ้าสาธารณะตามเส้นทางส่วนที่ เหลือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอบ้านไผ่ ได้สำรวจขยายเขตไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏว่าต้องใช้ งบประมาณดำเนินการประมาณ 122,781.43 บาท ซึ่งจังหวัดขอนแก่นจะได้ประสานหน่วยงานราชการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อทำการพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการ ดังกล่าวต่อไป สำหรับการขยายขอบเขตบริการน้ำประปาเข้าไปยังวัดป่าฟ้าระงึม องค์การบริหารส่วนตำบล หัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ ได้ดำเนินการประสานกับสำนักงานประปาบ้านไผ่ สำนักงานประปาเขต 6 ขอนแก่น เพื่อดำเนินการสำรวจออกแบบและประมาณราคาค่าใช้จ่ายให้องค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองแล้วเป็นเงิน งบประมาณค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 458,486 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดสรรงบ ประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลหัวหนองเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว ในส่วนของการประปาส่วนภูมิ ภาคจะดำเนินการสำรวจรายละเอียดโครงการขยายเขตจำหน่ายน้ำไปยังพื้นที่ป่าฟ้าระงึม บ้านหัวหนอง หมู่ 1 ตำบลหัวหนอง อำเภอบ้านไผ่ เพื่อขอเสนองบประมาณอุดหนุนด้วยอีกทางหนึ่ง ส่วนการติดตั้งป้ายและ สัญลักษณ์บอกทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว รัฐบาลสนับสนุน ให้หน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเส้นทาง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ ดำเนินการติดตั้งป้ายดังกล่าวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1465 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ
ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทน ราษฎรมีข้อสังเกตว่า ในการกำหนดให้สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิก ซึ่งมาจากการเลือก ตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละ หมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วน ตำบล ฯ ในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็กมีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่า สมาชิกหรือนายก องค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับสภาตำบล หรือองค์การบริหารส่วน ตำบล ควรที่กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้ดำเนินการกำหนดหลัก เกณฑ์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็น มาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิก สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลา ให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วน ตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการ บริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วน ท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนดให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยก ย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือบุคคลภายนอก ร่วมเป็นคณะกรรม การสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็น ธรรมแก่ทุกฝ่าย สำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ วุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า กระทรวงมหาดไทยควรเสนอขอแก้ ไขพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช 2457 เพื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล และสารวัตรกำนัน ให้ชัดเจนมิให้ซ้ำซ้อนกับอำนาจหน้าที่ขององค์ การบริหารส่วนตำบล และควรจะได้มีการทำความเข้าใจ รวมทั้งกำหนดระเบียบหรือประกาศในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอำนาจหน้าที่ในการอำนวยการจัดทำแผนพัฒนาตำบล และการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลให้ชัดเจน โดยให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของกรรมการหมู่บ้านและประชาชน ในท้องถิ่นด้วย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนิน การ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1466 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร | สผ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมา
ธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทน ราษฎร โดยของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สภาผู้แทนราษฎร มีข้อสังเกตว่า การกำหนดให้สภาตำบลและองค์ การบริหารส่วนตำบลมีสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งของราษฎรหมู่บ้านละสองคน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับ สภาพความเป็นจริงของจำนวนราษฎรในแต่ละหมู่บ้านซึ่งมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน และเห็นควรให้มีการแก้ ไขพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวในโอกาสต่อไป โดยให้หมู่บ้านที่มีขนาดเล็ก มีสมาชิกได้หนึ่งคน ส่วนการวินิจฉัยว่าสมาชิกหรือนายกองค์การบริหารส่วนตำบลมีส่วนได้เสียในสัญญาหรือกิจ การที่กระทำกับสภาตำบลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล สมควรที่กระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กำกับดูแลองค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อเป็นแนวทางใน การพิจารณาวินิจฉัยให้เกิดความชัดเจน และเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้งกันต่อไปด้วย และให้มีการ แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 และกฎหมาย อื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความชัดเจนที่จะกำหนดเวลาให้สามารถประชุมสภาองค์การบริหารส่วนท้องตำบลได้ อันจะมีผลให้การบริหารกิจการขององค์กรบริหารส่วนตำบลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ สมควรที่ กระทรวงมหาดไทยจะได้ดำเนินการศึกษาในเรื่องการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อนำไปสู่การ ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นที่จะได้แก้ไขประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยอาจกำหนด ให้มีหน่วยงานกลางเข้าทำหน้าที่พิจารณาการโยกย้ายหมุนเวียนข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือมีผู้ ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลภายนอกร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนความผิดของผู้บริหารท้องถิ่น หรือข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ทั้งนี้ มอบให้กระทรวงมหาดไทยและสำนัก งานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รับไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบ เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1467 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือซึ่งออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... | กค | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่ง
ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. .... และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดให้ข้าราชการที่ออกจากราชการตามมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง รับการเปลี่ยนแปลง มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากทางราชการเพื่อเป็นสิ่งจูงใจในการออกจากราชการ สำหรับ งบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 350 ล้านบาท จากวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการไว้ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เนื่องจากได้นำเงินเลื่อนขั้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2547 มารวมเป็นฐาน เงินเดือนเพื่อคำนวณสิทธิประโยชน์จูงใจให้ใช้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของส่วน ราชการที่มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการก่อน หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอัน ดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ ส่วนงบประมาณเพื่อการจ่ายบำเหน็จดำรงชีพจำนวนประมาณ 8,000 ล้านบาท ให้ใช้จากเงินงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ หากไม่เพียงพอให้ใช้จากเงินคงคลัง และให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณที่ตั้งไว้ใน หมวดเงินอุดหนุนสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรไปท้องถิ่น ที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกรณีข้า ราชการที่ยังไม่ได้ถ่ายโอนไปท้องถิ่นสมัครใจลาออก ตามมาตรการ 2 หากไม่มีผลกระทบกับสัดส่วนต่อรายได้ของ รัฐบาลที่จะต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้น ตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ให้โอนเงินในส่วนดังกล่าวกลับคืนคลัง นอกจากนี้ เห็นชอบให้แก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เกี่ยวกับเป้าหมายรวมของจำนวน ข้าราชการผู้มีสิทธิเข้าสู่มาตรการ 1 และมาตรการ 2 เป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้า ร่วมมาตรการเพื่อให้ถูกต้องและเป็นไปตามที่สำนักงาน ก.พ. ได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการควบคุมจำนวนข้าราชการที่จะเข้าสู่มาตรการ ฯ มาตรการที่ 1 และมาตรการที่ 2 ไม่ให้เกินจำนวน ร้อยละ 10 ของข้าราชการที่มีสิทธิเข้าร่วมมาตรการตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลังด้วย |
|||||||||||||||||||||
1468 | โครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง | พน | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอโครงการเปลี่ยนขยะให้เป็นพลัง ซึ่งกระทรวง
พลังงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และองค์การบริหาร ส่วนท้องถิ่น ได้ดำเนินการจัดทำแนวทางการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลังงาน เพื่อ ช่วยแก้ปัญหา และลดภาระการกำจัดขยะของเทศบาลและชุมชนต่าง ๆ ซึ่งจะดำเนินการในพื้นที่นำร่องใน 4 ภาคของประเทศ เช่น เทศบาลนครราชสีมา และบางเขตในกรุงเทพมหานคร โดยใช้รูปแบบต่าง ๆ ที่ได้มีการ ศึกษาเปรียบเทียบไว้แล้ว และจะให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน และในส่วนของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ก็พร้อมที่จะลงทุนในโครงการ ฯ สำหรับไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการ ฯ การรับ ซื้อไฟฟ้าจะเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งปัจจุบัน กฟผ. รับซื้ออยู่ที่ 1.70 บาท/MW และยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ |
|||||||||||||||||||||
1469 | แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา (ขอให้ระงับการถมดินลงในหนองน้ำมณีบรรพตโดยด่วน) | ผร | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ซึ่ง
ได้พิจารณาตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาที่ให้ระงับการถมดินในหนองน้ำมณีบรรพต จังหวัด ตาก โดยด่วน โดย คกก 7. ได้มีมติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบให้กระทรวงมหาดไทยและรอง นายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคในพื้นที่จังหวัดตาก รับไปดำเนินการ โดยมอบหมายให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดูแลกำชับและระมัดระวังการบริหารจัดการ เรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพิจารณาผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และเห็นชอบแนวทางปฏิบัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับขั้นตอน การดำเนินการเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาดังนี้ กรณีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและ ข้อเสนอแนะไปยังส่วนราชการใด ให้ส่วนราชการนั้นเร่งพิจารณา และรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนิน การให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบโดยด่วน โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และกรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน ของรัฐสภาได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ และนายก รัฐมนตรีได้ส่งเรื่องดังกล่าว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณา ตรวจสอบความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับส่วนราชการใด แล้วนำเสนอรองนายก รัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับส่วนราชการนั้น เพื่อสั่งการให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รับไปพิจารณาดำเนินการ และให้รายงานผลการพิจารณาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี และจากกรณีดังกล่าว ถ้าหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ความ เห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการหลายหน่วยงาน และ เป็นส่วนราชการที่อยู่ในกำกับของรองนายกรัฐมนตรีสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีหลายคน เห็นควร นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการดังกล่าวพิจารณาดำเนินการ โดยให้ส่วนราชการเหล่า นั้น ส่วนราชการใดส่วนราชการหนึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมความเห็น เพื่อรายงานผลการพิจารณา ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาทราบต่อไป โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ แจ้งเวียนให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ราชการส่วนท้องถิ่นทราบและถือปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1470 | กระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ - น้ำยาง - ทุ่งเอี้ยง - เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดยให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1272 ร. เรื่อง
การก่อสร้างถนนสายหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก โดย ให้ลาดยางหรือเทคอนกรีต และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า ถนน สายบ้านหนองปรือ-น้ำยาง-ทุ่งเอี้ยง-เขาน้อย ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ระยะทางตลอด สาย 9.000 กิโลเมตร เป็นถนนผิวจราจรลาดยาง 1.200 กิโลเมตร ผิวจราจรลูกรัง 7.800 กิโลเมตร เดิมอยู่ใน ความรับผิดชอบของกรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท ปัจจุบันได้ส่งมอบให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลกเป็นผู้รับ ผิดชอบตามแผนปฏิบัติการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำหนดให้กรมทางหลวง ชนบท ต้องถ่ายโอนภารกิจด้านการก่อสร้างถนนในท้องถิ่นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเอง โดยกรม ทางหลวงชนบททำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงในด้านวิชาการและเทคนิควิศวกรรม ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยกรมทาง หลวงชนบท จึงไม่สามารถสนับสนุนงบประมาณการก่อสร้างถนนสายดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นถนนที่องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นจะต้องดูแลรับผิดชอบเอง สำหรับเม็ดเงินงบประมาณที่จะอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น นั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณอุดหนุนก้อนหนึ่งไว้เพื่อการนี้แล้ว โดยกรมส่ง เสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้พิจารณาจัดสรร |
|||||||||||||||||||||
1471 | กระทู้ถามที่ 307 ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 307
ร. เรื่อง การสร้างองค์กรชุมชนให้เข้มแข็ง ของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชี รายชื่อ) และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลได้สนับ สนุนให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ โดยการพัฒนาศักยภาพและเสริมบทบาทของกลุ่ม/องค์กรประชาชน การวางโครงการ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และแก้ปัญหาของชุมชน โดยกระตุ้น ส่งเสริมให้ ประชาคมมีองค์ประกอบที่หลากหลายและมีสัดส่วนที่เหมาะสม จัดทำบัญชีปัญหาความต้องการของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เพื่อใช้ประโยชน์จากบัญชีปัญหาความต้องการ ให้มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ ให้มีส่วนร่วม ในการจัดทำแผนพัฒนาอำเภอ ตั้งแต่เริ่มต้นจะสิ้นสุดกระบวนการ มีส่วนร่วมตรวจสอบการบริหารขององค์ การบริหารส่วนตำบล ฯลฯ สำหรับมาตรการและแนวทางในการส่งเสริมองค์กรชุมชนให้เข้มแข็งเพื่อเพิ่ม ศักยภาพในการพัฒนาประเทศนั้น รัฐบาลได้มีมาตรการ ดังนี้ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ใช้กระบวนการ ประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ในการเอาชนะปัญหายาเสพติดแบบ ยั่งยืน และสามารถเอาชนะปัญหายาเสพติดให้ครบทุกหมู่บ้านได้ ภายในปี พ.ศ. 2547 รณรงค์ให้ความรู้ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการประธานประชาคมหมู่บ้าน และโครงการประเทศไทย ใสสะอาด นอกจากนี้ ได้มีการสนับสนุนการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและบทบาทขององค์กร ชุมชนในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยสร้างกระบวนการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาครัฐกับประชาชน ส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการขจัดการทุจริตประพฤติมิชอบในวง ราชการ ส่งเสริมบทบาทของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้ามามีส่วนร่วมและรับผิดชอบ การบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการจัดตั้งสมาคมผู้นำสตรีพัฒนาชุม ชนไทย รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนไทย และสมาคมผู้นำอาชีพก้าว หน้าแห่งประเทศไทย |
|||||||||||||||||||||
1472 | กระทู้ถามที่ 1189 ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ | สผ | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1189
ร. เรื่อง การติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า การจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ. 2547 เพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะในพื้นที่ตำบลตะลุง ตำบลดอนโพธิ์ ตำบลท้ายตลาด ตำบลโพธิ์ตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี นั้น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ดำเนินการติดตั้งไฟฟ้า สาธารณะในพื้นที่ 4 ตำบล ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ตำบลตะลุง ได้ ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 13 หมู่บ้าน ตำบลดอนโพธิ์ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน ตำบลห้วยตลาด ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้วจำนวน 7 หมู่บ้าน และตำบลโพธิ์ตุ ได้ทำการติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะแล้ว จำนวน 8 หมู่บ้าน สำหรับหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ไม่ได้ดำเนินการจัดสรรงบ ประมาณเพื่อติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะให้กับหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานราชการ ส่วนท้องถิ่นนั้น แต่จะดำเนินการสำรวจและติดตั้งให้กรณีที่หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นร้องขอขยายเขต เพิ่มเติม โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากหน่วยงานนั้น |
|||||||||||||||||||||
1473 | กระทู้ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน | สผ | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอคำตอบกระทู้
ถามที่ 1237 ร. เรื่อง การจ่ายเบี้ยยังชีพให้แก่ผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ที่มีฐานะยากจน ถูกทอดทิ้ง ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ ทั้งในเขตเทศบาลและ นอกเขตเทศบาล ไม่แตกต่างกัน โดยกรมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการ พัฒนาสังคม ฯ ได้จัดบริการ และพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความจำเป็น โดยให้การดูแล และรับเข้าสงเคราะห์ในสถานสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบันมีสถานสงเคราะห์คนชรา จำนวน 20 แห่ง ทั่วประเทศ จัด บริการให้แก่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในครอบครัวและชุมชน สนับสนุนให้จัดตั้งศูนย์บริการผู้สูงอายุโดยชุมชน ให้การ สงเคราะห์เป็นเงิน และเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็น ชอบแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) เพื่อใช้เป็นกรอบในการวางแผนและดำเนินงานด้านผู้ สูงอายุของประเทศ และมีมาตรการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ อาทิ การสงเคราะห์ครอบครัวเป็นค่า เครื่องอุปโภคไม่เกิน 2,000 บาท ต่อคนต่อครั้ง ฯลฯ สำหรับการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รัฐบาลได้มอบ หมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ ถ่ายโอนงานดังกล่าวให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้สูงอายุเป็นไปอย่างรวดเร็ว และสอดรับกับการกระจายอำนาจ และให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมใน การจัดสวัสดิการและดูแลผู้สูงอายุ โดยได้ดำเนินการถ่ายโอนงานดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2545 ในส่วนกลางถ่ายโอน งานให้แก่กรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาคถ่ายโอนงานให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ทั้งนี้ จาก ปัญหาการรับเงินเบี้ยยังชีพล่าช้าของผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ จะได้นำเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะ กรรมการส่งเสริมและประสานงานผู้สูงอายุแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ใน ส่วนของการขอเพิ่มจำนวนการจ่ายเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุให้ครบทุกคนทุกหมู่บ้าน เป็นบทบาทหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาขอจัดตั้งงบประมาณเพิ่มเติม ตามขั้นตอนการขอรับงบประมาณจากรัฐบาล |
|||||||||||||||||||||
1474 | กระทู้ถามที่ 1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน | สผ | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่
1190 ร. เรื่อง การติดตั้งระบบประปาชุมชน ของนายณัฐพล เกียรติวินัยสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ ไขปัญหาหมู่บ้านภัยแล้งอย่างถาวร โดยตั้งเป้าหมายให้ประชาชนในหมู่บ้านชนบททุกหมู่บ้านมีระบบประปาหมู่ บ้านสำหรับจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอทุกฤดูกาล รวมทั้งพื้นที่ชุมชนหมู่ที่ 4 และหมู่ที่ 5 ตำบล โพธิ์เก้าต้น หมู่ที่ 12 ตำบลบ้านข่อย และหมู่ที่ 7 ตำบลท้ายตลาด อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ทั้งนี้ ตามพระ ราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้ โครงการระบบประปาหมู่บ้านเป็นงานภารกิจที่ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะติดตั้งระบบประปาชุมชนต้องประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรงต่อไป และในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณตามภารกิจดังกล่าวเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปเพื่อส่งเสริม และพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์ กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไป ลงสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก แห่งตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด |
|||||||||||||||||||||
1475 | การยกเว้นค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมติคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 7/2546 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 โดยให้เทศบาล ได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องชำระค่ากระแสไฟฟ้าสาธารณะให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ควบคู่ไปกับการรับการ ถ่ายโอนภารกิจงานบำรุงรักษาทางหลวงจากกรมทางหลวง เช่นเดียวกับที่กรมทางหลวงเคยได้รับสิทธิพิเศษนี้จาก กฟภ. ทั้งนี้ การได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าวให้ถือเป็นมาตรการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่านั้น และ ให้ กกถ. เร่งดำเนินการจัดสรรเงินเพื่อให้เทศบาลสามารถรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้เองโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1476 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ)
เสนอแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยอำนาจในการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุญาต ขุดลอกห้วย หนอง คลอง บึงและแม่น้ำทั้งหมดในเขตพื้นที่จังหวัด ซึ่งเป็นอำนาจของกรมการขนส่งทางน้ำและ พาณิชย์นาวี นั้น ให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีมอบอำนาจดังกล่าวให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด (ยกเว้น แม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการขนส่งทางน้ำ) โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธี การเกี่ยวกับการอนุญาตให้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ที่ตื้นเขิน พ.ศ. 2536 ส่วนกรวดหิน ดิน ทราย ที่ได้จากการขุดลอก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการจัดหาผลประโยชน์ตามมาตรา 9 แห่งประมวล กฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งตรวจสอบ ติดตาม การดำเนินการ ขุดลอก ห้วย หนอง คลอง บึง และลำน้ำต่าง ๆ ในเขตพื้นที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากวัสดุที่ได้จากการขุดลอก ตามความจำเป็นเหมาะสม โดยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยด่วนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1477 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 | ทส | 02/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติคณะกรรมการ สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรองเรียบร้อย แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 15 เรื่อง และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมเสนอเพิ่มเติม โดยขอเปลี่ยนถ้อยคำในมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2546 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 เรื่องที่ 1 เกี่ยวกับการเพิ่มเติมรองประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาผลกระทบสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยม จากเดิม "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาห กรรม เป็นรองประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" เป็น "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรอง ประธานอนุกรรมการ คนที่หนึ่ง" ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการน้ำเสีย และการจัดการ ขยะมูลฝอย เป็นภารกิจที่เดิมจะต้องมอบให้องค์กรปกครองท้องถิ่นรับผิดชอบดำเนินการ แต่ขณะนี้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นยังไม่มีความพร้อม จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับ (ร่าง) แผนการจัดการ น้ำเสียชุมชน และ (ร่าง) แผนการจัดการขยะมูลฝอยแห่งชาติไปพิจารณาทบทวนความเหมาะสมในภาพรวมทั้ง ด้านการจัดโครงสร้าง และแนวทางการดำเนินการก่อนที่หน่วยงานต่าง ๆ จะได้ดำเนินการตามมติคณะกรรม การสิ่งแวดล้อมต่อไป โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอย ต้องกำหนดให้มีวิธีการจัดการอย่างเหมาะสมถูก วิธีสำหรับขยะแต่ละประเภทควรมีการแยกขยะแต่ละชนิด โดยอาจขอความร่วมมือเพื่อใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์ ที่อยู่ในความดูแลของทหารมาใช้เพื่อการนี้ได้ตามความเหมาะสม และมอบให้รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการ ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบ ติดตาม และกำกับการดำเนินการแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการจัดการขยะและการจัดการน้ำเสียในจังหวัดต่าง ๆ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบให้สอดคล้องกับแนวทาง ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1478 | ส่งรายงานประจำปี 2545 | นร | 02/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. 2545
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้ความเห็นชอบ แล้วในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546 โดยมีสาระสำคัญ 7 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 สรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2544 เปรียบเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 2 คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนที่ 3 ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ส่วนที่ 4 ผลการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงเขตของกรุงเทพมหานครเพื่อ จัดตั้งเป็นนครธนบุรี ส่วนที่ 5 ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ส่วนที่ 6 การตอบข้อหารือและคำถามที่ได้รับจากการสัมมนา ส่วนที่ 7 ภาคผนวก (กฎหมาย คำสั่ง ประกาศเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) |
|||||||||||||||||||||
1479 | มาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง | นร | 29/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอมาตรการพัฒนาและบริหารกำลังคนเพื่อรอง
รับการเปลี่ยนแปลง ตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการสนับ สนุนผู้ประสงค์จะเริ่มอาชีพใหม่นอกระบบราชการ หรือมาตรการชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 ปี มาตรการสำหรับ ผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบราชการ (recommended retirement) และมาตรการพัฒนาและบริหาร กำลังคนเพื่อออกนอกระบบราชการ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็น ของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ มาตรการทั้ง 3 มาตรการดังกล่าว เมื่อจะจัดทำเป็น โครงการเพื่อประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้ข้าราชการได้รับรู้โดยทั่วกันควรกำหนดชื่อของมาตรการ/โครงการ ให้ เหมาะสม สื่อความหมายที่ดีและชัดเจน รวมทั้งควรระบุสิทธิประโยชน์ที่ข้าราชการซึ่งเข้าร่วมมาตรการในแต่ ละมาตรการพึงได้รับ ให้ครบถ้วนชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้ดำเนิน การด้านประชาสัมพันธ์และบริหารโครงการ โดยให้เบิกค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้จากเงินงบประมาณ ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 20 ล้านบาท กับ ให้กำหนดเป้าหมายรวมของจำนวนข้าราชการของทุกส่วนราชการ และของแต่ละส่วนราชการที่จะเข้าร่วมตาม มาตรการแรก เป็นจำนวนร้อยละ 10 ของข้าราชการทั้งหมด โดยให้ใช้หลักสมัครก่อน ได้สิทธิก่อน หากส่วน ราชการใดมีข้าราชการสมัครเกินร้อยละ 10 ในขณะที่ส่วนราชการอื่น ๆ มีข้าราชการสมัครน้อยกว่าร้อยละ 10 หากส่วนราชการเจ้าสังกัดที่มีผู้สมัครเกินจำนวนเห็นชอบ ก็ให้ข้าราชการที่สมัครได้รับสิทธิเข้าร่วมโครง การโดยใช้โควตาของส่วนราชการอื่นที่เหลืออยู่ได้ โดยจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นจะต้องไม่ทำให้ จำนวนรวมเกินเป้าหมายรวมที่กำหนดไว้ร้อยละ 10 ด้วย ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ไม่รวมถึง ข้าราชการในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ สามารถ พิจารณาดำเนินการได้เองตามความจำเป็นเหมาะสม สำหรับข้าราชการทหารและตำรวจ ซึ่งเดิมมีโครงการ เกษียณอายุก่อนกำหนด โดยได้รับสิทธิประโยชน์ในการได้รับพระราชทานชั้นยศเพิ่มขึ้น เป็นทางเลือกอยู่ ด้วยนั้น ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาความเหมาะสมว่า ประสงค์จะยังคง ดำเนินโครงการตามแนวทางเดิม เป็นทางเลือกของข้าราชการในสังกัดต่อไปด้วย หรือจะเข้าร่วมดำเนินการ ตามมาตรการนี้เพียงทางเดียว โดยจะต้องไม่มีผลให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ใด ๆ ในภาพรวมทั้ง ระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สิทธิประโยชน์จูงใจอื่น ในส่วนของการได้รับการพิจารณาเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสม ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1480 | การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 29/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง
การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) โดยคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การดำเนินการ ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจทางการเงิน การคลัง และงบ ประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องสร้าง ความเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้องตรงกันทั้งในส่วนของราชการที่ถ่ายโอนภารกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ รับการถ่ายโอนภารกิจว่า ภารกิจใดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ และภารกิจใดราชการบริหาร ส่วนกลางยังคงต้องเป็นผู้ทำ มิฉะนั้นภารกิจบางอย่างอาจเกิดปัญหาขาดเจ้าภาพที่จะรับผิดชอบดำเนินการ ขึ้นได้ นอกจากนี้ ถ่ายโอนภารกิจจะต้องคำนึงถึงศักยภาพ ความพร้อม ตลอดจนขีดความสามารถของแต่ละ ท้องถิ่นในการดำเนินการ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญด้วย เช่น ภารกิจ เกี่ยวกับการบริหารสถานีรถโดยสาร และงานทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น ส่วนที่ สามารถถ่ายโอนให้ท้องถิ่น ได้แก่ การบริหารสถานีรถโดยสารที่วิ่งอยู่ในท้องถิ่นหรือภายในจังหวัดนั้น ๆ และการกำหนดสถานที่จอดและการเก็บค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ส่วนสถานีรถโดยสารที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ระหว่างจังหวัดยังคงให้กรมการขนส่งทางบกดูแลรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้การจัดระบบการขนส่งในภาพรวม ของประเทศสอดคล้องเชื่อมโยงกัน และมิให้กระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ สำหรับงานทะเบียนรถยนต์ซึ่ง ในปัจจุบันได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลทั่วทั้งประเทศ เพื่อให้สามารถให้บริการเกี่ยวกับ ทะเบียนรถยนต์แก่ประชาชนทั่วประเทศได้อย่างรวดเร็ว หากถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ก็จะกระทบกับการให้บริการประชาชนโดยตรง เพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีระบบ ฐานข้อมูลรองรับการดำเนินการได้ รวมทั้งการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวจะต้องดำเนินการแก้ไขข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องก่อนด้วย จึงให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายนิกร จำนง) รับไปหารือกับรองนายก รัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อดำเนินการต่อไป |