ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 501 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | นร | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ (๔ ช่องทาง) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (๑ ช่องทาง) รวมทั้งสิ้น ๕๖,๘๔๒ ครั้ง จำนวน ๓๖,๓๙๗ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ปัญหาหนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย ตามลำดับ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณากำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการเร่งรัดให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว แล้วเสนอมาตรการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์เกี่ยวกับหนี้สินนอกระบบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 502 | รายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย | พม | 14/07/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานผลการพิจารณาข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ (๑) ควรพิจารณาปรับปรุงระบบบำนาญที่เป็นระบบร่วมจ่ายเงินสมทบ (Contributory) และไม่ต้องร่วมจ่ายเงินสมทบ (Non-contributory) รวมทั้งเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุควรพิจารณาความพอเพียงและความยั่งยืนต่อเนื่องจากประชากรสูงวัยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง (๒) เพิ่มแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในตลาดแรงงาน สนับสนุนให้ผู้ชายมีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว เพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถศึกษาเล่าเรียนควบคู่กับการทำงานได้ และมีมาตรการสนับสนุนครัวเรือนรุ่นกระโดดที่ยากจน เพื่อให้ผู้สูงวัยในครอบครัวสามารถดำรงชีวิตได้ และ (๓) ควรส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งพื้นที่ปริมณฑลที่ไม่ใช่เมืองใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการย้ายถิ่น และการกำหนดมาตรการ ระเบียบ ข้อบังคับควรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้ามามีส่วนร่วม ๑.๒ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านการปรับสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสาธารณะที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ได้แก่ (๑) ส่งเสริมและขยายให้มีชุมชน/เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (๒) สนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจให้พัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งการตลาดเพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ (๓) เสนอคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการ/ท้องถิ่น จัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและผู้สูงอายุเข้าถึงได้ ๑.๓ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสุขภาพ ได้แก่ (๑) ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนการดูแลผู้สูงอายุ โดยอาศัยการบูรณาการและการส่งต่อการดูแลผู้สูงอายุ สนับสนุนการพัฒนาความเข้มแข็งกองทุนสวัสดิการชุมชนที่มีการจัดตั้งแล้ว และพัฒนาสวัสดิการชุมชนให้หลากหลายขึ้น (๒) ควรมีระบบดูแลระยะกลาง ระยะยาว และระยะสุดท้ายในสถานพยาบาล บ้าน และชุมชน (๓) ควรพัฒนาขีดความสามารถของสถานบริการสุขภาพในเขตเมือง (๔) ควรมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้มีผู้ศึกษาสาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และการสร้างบุคลากรระดับกึ่งวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพ รวมไปถึงการรักษาบุคลากรให้คงอยู่ในสาขาอาชีพให้นานที่สุด ๑.๔ ข้อเสนอแนะต่อข้อเสนอด้านสังคม ได้แก่ (๑) การส่งเสริมการวางแผนชีวิต (Life Planning) โดยเน้นเรื่องการสร้างความมั่นคงเรื่องรายได้ การส่งเสริมการออมก่อนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ และมีมาตรการสนับสนุนครอบครัวที่ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง และ (๒) มีการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้สูงอายุในทางบวกผ่านสื่อสาธารณะให้หลากหลายขึ้น ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อเสนอการปฏิรูประบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยของคณะกรรมการปฏิรูประบบรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยและต้องระมัดระวังความขัดแย้งที่อาจจะเกิดจากความเห็นที่ไม่ตรงกันของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และการดำเนินการใดที่มีผลให้ต้องเพิ่มรายจ่ายงบประมาณ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนทุกครั้ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 503 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2558 เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น | สลธ.คสช. | 30/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ให้นายสุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษสำนักนายกรัฐมนตรี ๒. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๑ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ระงับการปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราวและไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งประจำสำนักงานปลัดกระทรวงที่สังกัดโดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือนทางสังกัดเดิมและให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัดมอบหมาย ๓. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๒ กลุ่มที่ ๓ และกลุ่มที่ ๔ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ระงับการปฏิบัติราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอยู่เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ๔. ให้ผู้มีรายชื่อในกลุ่มที่ ๕ ตามบัญชีแนบท้ายคำสั่งนี้ไปช่วยราชการที่ศาลากลางจังหวัดที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นตั้งอยู่หรือสถานที่ราชการอื่นตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนดแต่ต้องมิใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่เดิม โดยไม่ต้องมีคำร้องขอ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นผู้บังคับบัญชามีอำนาจมอบหมายให้ผู้นั้นปฏิบัติงานตามความเหมาะสม ในกรณีนี้ มิให้บุคคลดังกล่าวได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการชั่วคราว ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๕ อันเนื่องจากการไปช่วยราชการตามคำสั่งนี้ ๕. นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีแล้วแต่กรณี อาจมีคำสั่งหรือมติเปลี่ยนแปลงคำสั่งตามข้อ ๑ ถึงข้อ ๕ ได้ตามที่เห็นสมควร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 504 | สรุปมติ - สั่งการสำคัญ ในวาระการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2558 | สลธ.คสช. | 30/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติและข้อสั่งการในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่ประธานกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ/กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตร “โตไปไม่โกง” ในโครงสร้างส่วนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จำนวน ๑ ชั่วโมง/สัปดาห์ รวม ๔๐ ชั่วโมงต่อปีการศึกษา ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โดยเริ่มตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ ทุกโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของส่วนราชการซึ่งได้จัดสรรไว้แล้ว ทั้งนี้ กรณีขาดแคลนบุคลากรในการสอนหลักสูตรดังกล่าวให้พิจารณาจ้างบัณฑิตจบใหม่ที่ยังว่างงานเพื่อเป็นการสร้างงานอีกทางหนึ่ง และนำแบบการสอนเรื่อง “สมบัติผู้ดี” และ “หน้าที่ของเด็ก” กลับมาใช้ประกอบการเรียนการสอนในปัจจุบันด้วย ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการสร้างการรับรู้ในภาพกว้างด้วยสารคดีสั้นชุดสำนึกไทยไม่โกง โดยเผยแพร่ในสื่อกระแสหลัก โดยให้ กสทช. ขอความร่วมมือเผยแพร่ในสื่อกระแสหลัก รวมทั้งให้ ททบ.๕ และสถานีวิทยุกองทัพบกดำเนินการเผยแพร่ผ่านสื่อในความรับผิดชอบ และให้ดำเนินการปลูกฝังความรักชาติควบคู่กับการสร้างสำนึกไทยไม่โกง ๓. เห็นชอบในหลักการให้เร่งรัดบังคับใช้พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการบังคับใช้พระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกฯ โดยเร่งรัดให้มีกระบวนการเปิดเผยขั้นตอนการขออนุญาตของทางราชการ และร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์) เร่งรัดการใช้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ โดยจัดให้มีการใช้ฐานข้อมูลร่วมกัน (Data Center) การจัดมาตรฐานข้อมูล การเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนาแนวทางเชื่อมโยงในลักษณะ National Single Window : NSW รวมทั้งจัดหมวดหมู่ เป้าหมาย กิจกรรม ตามความต้องการผู้ใช้งาน เพื่อรองรับ Digital Economy และให้นำเสนอในวาระการประชุมครั้งต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการให้ส่งผู้แทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมประชุมกับองค์กรนานาชาติที่ส่งเสริมความโปร่งใสของรัฐ (Open Government Partnership : OGP) รวมทั้งให้พิจารณาเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกภาคีเครือข่าย โดยให้กระทรวงการคลังศึกษาในรายละเอียด หลักเกณฑ์และวิธีการ นำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป ๕. เห็นชอบในหลักการให้ใช้ระบบ E-Bidding และ E-Market เพื่อลดการสมยอมการประมูลในระบบ E-Auction โดยเฉพาะที่ใช้กับงานก่อสร้าง โดยให้กรมบัญชีกลางเร่งรัดดำเนินการให้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ๖. รับทราบกำหนดการจัดงานประกาศเจตนารมณ์ “ต่อต้านการทุจริต สร้างจิตสำนึกไทยไม่โกง” ในวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล และให้มีการจัดงานในลักษณะดังกล่าว ณ ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด ๗. เห็นชอบในหลักการให้นำหลักการและมาตรการทางปกครอง และกลไกขับเคลื่อนของฝ่ายบริหารบรรจุไว้ในบทบัญญัติของพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนพิจารณาสร้างกลไกในการปกป้องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือนระดับสูงให้พ้นจากอำนาจของฝ่ายการเมือง ในลักษณะเช่นเดียวกับข้าราชการทหาร และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดการอบรมให้ความรู้ด้านการบริหารราชการ เช่น การงบประมาณ การพัสดุ ฯลฯ ให้กับข้าราชการส่วนท้องถิ่นให้มีความรู้และสามารถปฏิบัติราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๘. รับทราบผลการดำเนินงานระบบข้อตกลงคุณธรรมใน ๒ โครงการนำร่อง และให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยสนับสนุนข้อมูล และให้คณะผู้สังเกตการณ์ตามข้อตกลงคุณธรรม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระ เข้าร่วมสังเกตการณ์ในวาระการประชุมคณะกรรมการ ตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการของระบบข้อตกลงคุณธรรม ๙. รับทราบกรอบความต้องการงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ วงเงิน ๗๓.๐๔ ล้านบาท โดยให้กระทรวงยุติธรรมร่วมกับสำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายละเอียดโดยความเห็นชอบของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑๐. เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายองค์กรเพื่อความโปร่งใสในอุตสาหกรรมการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (The Extractive Industries Transparency Initiative : EITI) โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้แทนรัฐบาล “EITI Champion” ในการเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ และให้จัดตั้งคณะทำงานในกระทรวงพลังงานขึ้นชุดหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน (National Coordinator) ๑๑. รับทราบข้อเสนอให้นำหลักการตามร่างพระราชบัญญัติการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของภาครัฐ พ.ศ. .... ในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติมาใช้กับการแต่งตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวมทั้งการแก้ไขระเบียบดังกล่าวในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติรับไปศึกษาและเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 505 | รายงานประจำปี 2557 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 23/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๗ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ โดยมีสาระสำคัญแบ่งเป็น ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ และคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย (๑) การกระจายอำนาจด้านการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ (๓) การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย (๔) การติดตามและประเมินผล และ (๕) การดำเนินการเรื่องอื่น ๆ ๓. ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก แบ่งเป็น ภาคผนวก ๑ ผลการคัดเลือกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการที่ดี พ.ศ. ๒๕๕๖ และภาคผนวก ๒ ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 506 | รายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม 2558) | ทส | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามประเด็นเรื่องสำคัญตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเด็นเรื่องที่เป็นหลักการหรือเรื่องทั่วไป ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ มีการเบิกจ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ในไตรมาสที่ ๑-๒ (ตุลาคม ๒๕๕๗-มีนาคม ๒๕๕๘) คิดเป็นร้อยละ ๔๒ จำนวน ๑๓,๓๐๖.๕๒ ล้านบาท ๑.๒ การเจรจาหรือจัดทำความตกลงระหว่างประเทศ ได้มีการประชุมในระดับทวิภาคีและระดับรัฐมนตรีกับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง รวมทั้งมีการสัมมนาระดับสูง ๑.๓ การจัดทำโครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการ ได้ดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๕ อย่างเคร่งครัด และดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขการทุจริตและประพฤติมิชอบและส่งเสริมคุ้มครองจริยธรรม รวมทั้งมาตรการป้องกันและลดโอกาสการทุจริตและประพฤติมิชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๔ การเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามหลักการ ๓ ประการ ในการเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ๑.๕ การแต่งตั้งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้แจ้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗) โดยเคร่งครัด ๒. ประเด็นเรื่อง/โครงการสำคัญเร่งด่วน ๒.๑ ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ ได้ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งน้ำเพื่อแก้ปัญหาการตื้นเขินและเสื่อมสภาพของแหล่งน้ำพื้นที่ชุ่มน้ำให้คืนสู่ความสมบูรณ์ บรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและปัญหาน้ำท่วม การพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค น้ำดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียน และพัฒนาน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรในพื้นที่ภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก รวมทั้งดำเนินโครงการคืนคลองให้น้ำไหล คืนความใสให้แม่น้ำทั่วประเทศ และการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร ปี ๒๕๕๘ มีเป้าหมายส่งมอบที่ดิน จำนวน ๑๖๐,๓๒๗ ไร่ และเตรียมพื้นที่สำหรับดำเนินการจัดที่ดินทำกินชุมชน ระยะที่ ๒ ในพื้นที่ ๘ จังหวัด ๕๑,๙๒๙ ไร่ รวมทั้งดำเนินโครงการสนับสนุนป่าพื้นบ้านธนาคารอาหารชุมชน (FOOD BANK) ในพื้นที่ ๖๔ จังหวัด ๒๖๐,๐๐๐ ไร่ ๒.๒ ด้านสังคม ได้แก่ การจัดการขยะมูลฝอยและน้ำเสีย ได้ดำเนินการจัดทำโครงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ ในระยะยาว ๑๕ ปี จำนวน ๑๙ พื้นที่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๒ โครงการ ๘ พื้นที่ ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และดำเนินโครงการสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งการจัดการที่ยั่งยืน ตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรม ได้มีการประสานการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน จำนวน ๖๑๗ เรื่อง และมีการประสานแจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ นำเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการแล้ว ๒.๓ ด้านกฎหมาย การรวบรวมกฎหมาย ระเบียบที่ล้านสมัยหรือเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วน และจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมาย ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย รวมจำนวน ๑๘ ฉบับ และมีกฎหมายที่ประกาศใช้แล้ว ได้แก่ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๗ พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 507 | แนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศตามแนวทางของกระทรวงมหาดไทย | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศตามแนวทางที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเสนอให้มีการจัดกลุ่มพื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการจัดการขยะมูลฝอย แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มพื้นที่ขนาดใหญ่ (L) กลุ่มพื้นที่ขนาดกลาง (M) และกลุ่มพื้นที่ขนาดเล็ก (S) และพื้นที่พิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งเสนอให้มีการแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจและหน้าที่เพิ่มขึ้นในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแนวทาง/วิธีการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้ประชาชนได้รับทราบ และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่มีการสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปัญหาขยะในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทที่สำคัญในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับ ควบคุม ดูแล และติดตามตรวจสอบการจัดการขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเห็นควรพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการขยะมูลฝอย เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้เป็นเอกภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน หรือขัดแย้งกันเอง รวมทั้งมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหา และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนภาระงานของราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 508 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี 2558 | มท | 16/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาพระนครศรีอยุธยา และเพชรบุรี ปี ๒๕๕๘ วงเงินลงทุนรวม ๒,๙๙๗.๖๓๙ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป โดยให้ กปภ. ใช้เงินรายได้ชำระคืนการกู้เงินดังกล่าว ๒. ให้ กปภ. ไปหารือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดำเนินการทั้งหมดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ที่ใช้มาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่อำเภอบ้านแหลม อำเภอเมืองเพชรบุรี อำเภอท่ายาง และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี อำเภอหัวหิน และอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ และกิจกรรมที่ดำเนินการเข้าข่ายห้ามกระทำการตามข้อ ๑๐ ในประกาศดังกล่าวหรือไม่ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่เห็นควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการพร้อมจัดทำแผนรองรับปัญหาขาดแคลนน้ำดิบ ภัยพิบัติ การลดอัตราน้ำสูญเสีย และการบริหารจัดการแรงดันน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของ กปภ. และจัดทำแผนการตลาดในการเพิ่มผู้ใช้น้ำรายใหม่ให้เป็นไปตามเป้าหมายและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิตและบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงด้านแหล่งน้ำดิบเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา รวมทั้งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อลดอัตราน้ำสูญเสียขององค์กร โดยแสดงรายละเอียด เป้าหมาย ตัวชี้วัด วงเงินลงทุน และผลลัพธ์เป็นรายปี เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาโครงการปรับปรุงขยายการประปาที่จะเสนอใหม่ต่อไป ตลอดจนประสานงานระหว่างส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับส่วนกลาง อาทิ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และหน่วยงานผู้ปฏิบัติในพื้นที่เพื่อบูรณาการเรื่องการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำในพื้นที่มาเป็นแหล่งต้นทุนน้ำดิบในกระบวนการให้เป็นไปด้วยความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาดำเนินการด้วยความโปร่งใส พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ และให้มีการพิจารณาการจ้าง ดำเนินการโดยแรงงานท้องถิ่นในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 509 | มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว | กก | 09/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการจัดการประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยให้ใช้บริการโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งกรณีมีการคาดหมายที่จะใช้สถานที่ในการจัดประชุมในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้พิจารณาความเหมาะสมในการเลือกใช้ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา เป็นทางเลือกประกอบการตัดสินใจในลำดับต้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลโรงแรมหรือศูนย์การประชุมสัมมนา ให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้ทราบ พร้อมทั้งจัดบริการเสริมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจแก่หน่วยงานผู้จัดการประชุม อบรม สัมมนา ให้ใช้บริการสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น และควรรวบรวมรายชื่อโรงแรมที่สามารถรองรับการจัดประชุม อบรม สัมมนา ในต่างจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานสามารถค้นหาได้สะดวก รวมทั้งกำหนดอัตราค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในอัตราพิเศษสำหรับส่วนราชการที่อยู่ในเกณฑ์อัตราการเบิกจ่ายตามระเบียบของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เร่งจัดทำแผนบริหารธุรกิจจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการบริหารให้มีความชัดเจน และสอดคล้องกับระยะเวลามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 510 | รายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชนรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำ สถานีขนส่งทั่วประเทศ | คค | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินงานของกรมการขนส่งทางบก เรื่อง การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทp DLT Check in) และการยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การยกระดับการบริการประชาชน รถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ไทย DLT Check in) กรมการขนส่งทางบกได้เร่งพัฒนาการให้บริการด้วยรถแท็กซี่ โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานการให้บริการด้วยการประเมินผ่านแอปพลิเคชัน DLT Check in ร่วมประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการรถแท็กซี่ โดยตั้งแต่เปิดใช้บริการวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์-๑๔ เมษายน ๒๕๕๘ มีผู้ดาวน์โหลดรวมกว่า ๒๐,๐๐๐ ราย ในจำนวนนี้มีการแสดงความคิดเห็นและเรื่องร้องเรียนที่ได้ดำเนินการไปแล้วทั้งหมด ๙๘๖ เรื่อง และจากข้อมูลพบว่าค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของผู้โดยสารอยู่ที่ ๒.๘ จากคะแนนเต็ม ๔ นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล DLT Check in กับฐานข้อมูลทะเบียนและเรื่องร้องเรียนของกรมการขนส่งทางบกเพื่อวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกระทบในการประเมินความพึงพอใจการให้บริการรถแท็กซี่ พร้อมจัดกลุ่มรถแท็กซี่ที่มีปัญหาเพื่อทำการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ของกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตอบรับและจัดการเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุดถึงร้อยละ ๒๖ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแท็กซี่และสร้างแรงจูงใจยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ที่ทำดี โดยให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เพื่อกำหนดทิศทางการจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถแท็กซี่อย่างมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล ๑.๒ การยกระดับมาตรฐานห้องน้ำสถานีขนส่งทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการด้วยการพัฒนาห้องน้ำตามสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการออกแบบห้องน้ำตัวอย่างมาตรฐานสำหรับสถานีขนส่งผู้โดยสารเพื่อใช้เป็นแนวทางในการซ่อมแซม ปรับปรุง หรือก่อสร้างห้องน้ำใหม่ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศ พร้อมทั้งกำหนดให้จำนวนห้องน้ำมาตรฐานประเภทต่าง ๆ มีเพียงพอกับผู้ใช้บริการในสถานีทุกระดับ และสามารถให้ผู้ป่วยที่นั่งรถเข็นใช้งานได้สะดวกปลอดภัย นอกจากนี้ สุขภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกโดยต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานส้วมสาธารณะระดับประเทศ (Healthy Accessibility Safety : HAS) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดให้ใช้บริการฟรี และมีมาตรฐานการดูแลและบำรุงรักษาห้องน้ำในสถานีขนส่งผู้โดยสารทั่วประเทศให้อยู่ในสภาพดี ตอบสนองความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการ ปัจจุบันสถานีขนส่งผู้โดยสารในการควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก จำนวน ๖๐ แห่ง พร้อมกับสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารงานโดยบริษัท ขนส่ง จำกัด และเอกชนอีก ๙ แห่ง จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ ส่วนสถานีขนส่งผู้โดยสารที่บริหารโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๔๘ แห่ง อยู่ระหว่างรอการพิจารณางบประมาณ ทั้งนี้ เป้าหมายของกรมการขนส่งทางบก คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารต้องมีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขลักษณะ พร้อมใช้งานตลอดเวลา มีความพร้อมสามารถรองรับประชาชนผู้ใช้บริการ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการจัดหาสถานที่พักรอผู้โดยสาร ณ จุดรับส่งผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่) ในสถานีขนส่งผู้โดยสารต่าง ๆ เพื่อให้บริการประชาชนในระหว่างที่รอรถและจัดให้มีรถแท็กซี่ให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ รวมทั้งจัดให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลต่าง ๆ และให้ประชาสัมพันธ์ช่องทางในการร้องเรียนการให้บริการ แนะนำการให้บริการผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ ๑๕๘๔ ให้ประชาชนทราบ ทั้งนี้ ในกรณีที่ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการหรือการปฏิเสธผู้โดยสารของรถแท็กซี่ ให้กระทรวงคมนาคมตรวจสอบและดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง เช่น การยึดใบอนุญาตขับรถ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 511 | การแก้ไขปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่า ในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนเติบโตจนเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ระดับหนึ่งในสิบของโลก ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนนิยมเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากประเทศต่าง ๆ และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทยยกเว้นการเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนบางรายเสนอค่าใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวแบบเหมาจ่ายในรูปแบบซื้อบริการนำเที่ยวเสริมและนำเที่ยวในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ สำหรับปัญหานักท่องเที่ยวแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ไม่ได้เกิดเพียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น แต่เกิดได้กับนักท่องเที่ยวทุกเชื้อชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรก เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านั้นยังไม่ทราบและไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมและประเพณีไทย ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจึงได้แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ จัดทำคู่มือ “Useful Tips for a Happy Holiday in Thailand” เพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลประเพณีและวัฒนธรรมอันดีของไทยแจกจ่ายผ่านหลายช่องทางสำคัญ อาทิ สถานทูต สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยทั่วประเทศ ศูนย์การค้า และโรงแรมต่างๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้รับทราบ ๑.๒ ออกตรวจการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและตรวจการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ตามแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการบริการ ๑.๓ จัดสัมมนาให้ความรู้แก่มัคคุเทศก์เกี่ยวกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทำและไม่ควรทำ หรือ Do and Don’t ๑.๔ จัดอาสาสมัครนักท่องเที่ยวใน ๕ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อให้คำแนะนำช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๕ จัดอบรมสร้างเครือข่ายแก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมัคคุเทศก์ โดยจัดให้มีการสร้างเครือข่ายสอดส่องผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ๑.๖ ดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาการประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยให้คนไทยเป็นตัวแทน (nominee) ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หากนักท่องเที่ยวพบปัญหาสามารถโทรแจ้งสายด่วนตำรวจท่องเที่ยว ๑๑๕๕ ได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการ ๒.๑ จัดให้มีสถานที่จอดรถโดยสารท่องเที่ยวบริเวณชานเมืองเพื่อแก้ปัญหาการจราจร และโบราณสถานชำรุดเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสาร และจัดให้มีรถโดยสารขนาดเล็กรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ประชาชนที่อยู่ในท้องที่นั้น ๆ ด้วย ๒.๒ รณรงค์และผลักดันให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง พัฒนา และสร้างมาตรฐานห้องน้ำสะอาด ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว ๒.๓ พิจารณาจัดสรรเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีงบประมาณเพียงพอในการดูแลบริเวณโดยรอบโบราณสถานหรือแหล่งท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ๓. โดยที่ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวประสบปัญหาสำคัญ คือ การขาดแคลนมัคคุเทศก์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และมีทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ จึงเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดเตรียมหลักสูตรฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้แก่ผู้ที่จบการศึกษาแล้วและยังไม่มีงานทำเป็นเป้าหมายแรก และกลุ่มผู้ที่มีความสนใจพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถเพื่อพัฒนาเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพต่อไป และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดฝึกอบรมบุคลากรในท้องถิ่นให้เป็นอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการให้บริการและดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 512 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม 3 เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต) | สว | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ได้แก่ เรื่อง การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เรื่อง ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง รวม ๓ เรื่อง มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น การจัดระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา และลักษณะการปกครองท้องที่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการในเรื่องใดได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 513 | การพิจารณาแผนงาน/โครงการ ตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร 7 กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | มท | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการแผนงาน/โครงการของจังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ประกอบด้วย (๑) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวบรวม และแปรรูปข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ (๒) โครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง (๔) โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตอ้อย และ (๕) โครงการเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลบัวใหญ่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ส่วนงบประมาณในการดำเนินการโครงการตาม (๑) (๒) (๓) และ (๕) ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๕๗,๑๙๐,๒๗๕ บาท โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละโครงการจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับโครงการตาม (๔) ให้ใช้จ่ายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายหรือปรับแผนจากงบปกติของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายดำเนินการก่อน ซึ่งตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับภารกิจดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และหากเป็นแผนงาน/โครงการที่จะต้องขอรับการจัดสรรจากเงินงบประมาณเนื่องจากการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลาง ให้เสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านการผลิตและการตลาดเพื่อลดความซ้ำซ้อนและมีความเชื่อมโยงกัน และควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการตลาดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำ ควรส่งเสริมการปลูกในเขตที่เหมาะสมกับพืชนั้น ๆ ควรกำหนดพื้นที่เป้าหมาย จำนวนเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์ที่จะเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งภาคเอกชนที่จะรับซื้อผลผลิต ควรมีการเพิ่มศักยภาพการผลิตทั้งการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม และควรให้ความสำคัญกับคุณภาพดินและปริมาณเมล็ดพันธุ์ดีที่เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกร และให้กระทรวงมหาดไทยหารือในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาแหล่งเงินงบประมาณที่เหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดเป็นภาระด้านงบประมาณให้กับรัฐบาล และขอความร่วมมือภาคเอกชนในพื้นที่ที่จะรับซื้อผลผลิต อาทิ อ้อย มันสำปะหลังจากเกษตรกรในโครงการและให้การสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรด้วย รวมถึงมอบหมายจังหวัดนครราชสีมาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าของโครงการและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ และพิจารณาขยายผลโครงการในพื้นที่อื่น ๆ โดยบรรจุเป็นแผนงานโครงการในแผนพัฒนาจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. อนุมัติให้กรมชลประทานเข้าไปดำเนินการในพื้นที่กิจกรรมขุดลอกแหล่งน้ำเพื่อการผลิต จำนวน ๔๓ แห่ง ของโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งสัมฤทธิ์ในเขตพื้นที่นำร่อง (ระยะสั้น) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าว ให้กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์วิธีการที่กฎหมายกำหนด ๔. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการตามความต้องการของกลุ่มเกษตรกร ๗ กลุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการอย่างละเอียด รอบคอบ และรัดกุม เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณของแผ่นดิน ทั้งนี้ เพื่อให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ หรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 514 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
|||||||||||||||||||||||||||
| 515 | มาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ | นร09 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการในการกำกับดูแลการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรีอาจมีมติให้ทุกกระทรวงดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและกำหนดแนวทางในการใช้อำนาจดุลยพินิจโดยประกาศให้ประชาชนทราบ และหากเจ้าหน้าที่มิได้ดำเนินการใช้ดุลยพินิจตามแนวทางที่กำหนดไว้โดยไม่มีเหตุผลให้ถือเป็นความผิดทางวินัย ๑.๒ เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ยับยั้งการปฏิบัติราชการใด ๆ ที่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมีอำนาจสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ๑.๓ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นจะต้องใช้อำนาจพิเศษเหนือกว่าอำนาจตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ กำหนดมาตรการในการกวดขันการบังคับใช้กฎหมาย การแก้ไขหรือยกเลิกการใช้อำนาจดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ แต่วิธีการนี้จำเป็นจะต้องกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน และมีข้อจำกัดหรือมีความไม่เหมาะสมอยู่บ้าง กล่าวคือ เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในกรณีนี้แล้ว คำสั่งดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระหน้าที่แก่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการบังคับการให้เป็นไปตามคำสั่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอดส่องดูแลหรือการแก้ไขการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้มีการปฏิบัติการตามคำสั่งนั้นได้อย่างทั่วถึง ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว โดยเลือกใช้มาตรการให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและระยะเวลา
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 516 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ 2/2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล (กขน.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมมีมติและข้อสั่งการ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ในการสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในระยะที่สองเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม (โดยเฉพาะการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างความเข้มแข็ง และสร้างความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ) โดยยึดหลักการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ลดความขัดแย้ง และการดำเนินการตามกรอบกฎหมาย รวมทั้งการสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องการบังคับใช้มาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ๑.๒ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) แก้ไขปัญหาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยเร่งขึ้นทะเบียน SMEs ให้ครอบคลุมและครบถ้วนโดยเร็ว และส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมทั้งพิจารณาขยายเพดานวงเงินกู้ให้เหมาะสม โดยแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น ๔ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจใหม่ กลุ่มส่งออก กลุ่มที่ต้องการขยายการผลิตในประเทศ และกลุ่มที่ต้องการฟื้นฟูศักยภาพ ๑.๓ มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกันเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการเบิกจ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการดำเนินการเพื่อการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๔ มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ๖ แห่ง (๕+๑) ให้สำเร็จในปีนี้ รวมทั้งดำเนินการให้สิทธิการเช่าพื้นที่การลงทุนสำหรับเอกชนเป็นไปตามพระราชบัญญัติการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๔๒ (กำหนดเวลาเช่าไม่เกิน ๓๐ ปี แต่ไม่เกิน ๕๐ ปี และสามารถต่อระยะเวลาการเช่าออกไปอีกได้ไม่เกิน ๔๙ ปี) ๑.๕ มอบหมายคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง ๑.๖ มอบหมายกระทรวงการคลังตรวจสอบปัญหาความล่าช้าของโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราที่ดำเนินการโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ๒. ในส่วนที่มอบหมายให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐตรวจสอบการรับซื้อยางพาราในโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนเพื่อรักษาเสถียรภาพยางพาราให้มีความเป็นธรรมและทั่วถึง นั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานการดำเนินการกับคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 517 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2556 | ผผ | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๖ ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่างๆ พร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 518 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร07 | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒.๗๒ ล้านล้านบาท และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘ โดยปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มขึ้น จำนวน ๘,๒๗๕.๐๔ ล้านบาท และปรับเพิ่มให้สภากาชาดไทยเป็นค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ก้าวหน้าทางวิชาการ จำนวน ๒๖๔.๙๖ ล้านบาท ๑.๒ ปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในส่วนของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๒ โครงการ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงสร้างงบประมาณ มีการปรับปรุงในส่วนรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนภายในวงเงินเดิม ๑.๔ การจำแนกยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ โดยปรับปรุงวงเงินใน ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์เร่งรัดวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ยุทธศาสตร์การศึกษา สาธารณสุข คุณธรรม จริยธรรม และคุณภาพชีวิต ยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม และรายการค่าดำเนินการภาครัฐภายในกรอบวงเงินงบประมาณ ๒.๗๒ ล้านล้านบาท ๒. เห็นชอบการทบทวนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัย ซึ่งมีงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนา อีกจำนวน ๑,๐๖๘.๐๙ ล้านบาท (กระทรวงกลาโหมและสภากาชาดไทย) รวมเป็นเงินงบประมาณด้านการวิจัย จำนวน ๒๕,๓๗๓.๑๙ ล้านบาท และยังมีเงินรายได้ด้านการวิจัยของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ได้แก่ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยของรัฐต่าง ๆ อีกจำนวน ๗,๘๕๑.๓๙ ล้านบาท รวมทุกแหล่งเงิน เป็นจำนวน ๓๓,๒๒๔.๖๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาคเอกชน) คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๐.๒๕ ๓. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก จำนวน ๘,๕๔๐ ล้านบาท โดยลดงบประมาณรายการเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สอดคล้องด้วย ๔. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำมติคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑-๓) ไปจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และเอกสารประกอบ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และนำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๕. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น เตรียมการให้เกิดความพร้อมในการจัดซื้อจัดจ้าง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันได้เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 519 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... | สธ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยที่ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อกำหนดของท้องถิ่นได้ไม่เกินอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดในกฎกระทรวงนี้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 520 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2557 | ตผ | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเสนอรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๗ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนพร้อมข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ผลการปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน ความร่วมมือของหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ การประสานความร่วมมือกับหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ และแนวทางการพัฒนาดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
