ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 481 | การขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2558 และขออนุมัติงบบริหารจัดการโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล | มท | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลให้แล้วเสร็จ จาก “ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘” เป็น “ภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙” และเห็นชอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภออาศัยอำนาจการบริหารตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ บูรณาการการบริหารจัดการการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐในพื้นที่จังหวัดหรืออำเภอ โดยให้กระทรวง กรม ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐในพื้นที่จังหวัดหรืออำเภอเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล ทั้งด้านวัสดุ อุปกรณ์ บุคลากร หรือด้านอื่น ๆ ตามที่ได้รับการร้องขอจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาโครงการ ควรพิจารณากลั่นกรองโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๘๗,๑๘๗,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการการติดตามตรวจสอบการดำเนินงานตามโครงการฯ การประชาสัมพันธ์ และอื่น ๆ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
| 482 | การยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel: RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม ในระดับจังหวัด | ทส | 13/10/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการยกเว้นเงินสมทบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อดำเนินงานโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิง (Refuse Derived Fuel : RDF) และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ เนื่องจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่า อปท. หลายแห่งมีความสามารถในการสมทบเงินงบประมาณได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการยกเว้นเงินสมทบควรมีเงื่อนไขกรณีการปรับลดการสมทบงบประมาณในแต่ละโครงการว่า การปรับแก้ไขแบบรายละเอียดโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ จะต้องไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของระบบการจัดการขยะมูลฝอย และให้มีระบบการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าว รวมทั้งการยกเว้นเงินสมทบควรเป็นมาตรการระยะสั้นตามความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับระยะยาวให้ อปท. เข้ามามีส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจ่ายค่าบริการในอัตราที่เหมาะสมสะท้อนต้นทุนที่เป็นจริง และควรมีการจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ระหว่าง อปท. ที่เข้าร่วมโครงการและมีกลไกการกำกับดูแลเพื่อให้มีปริมาณขยะเข้าสู่ระบบจัดการขยะอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีกลไกการกำกับดูแลติดตามเร่งรัดการดำเนินงานและการใช้จ่ายงบประมาณ และในโอกาสต่อไปหากมีการแก้ไขกฎหมายหรือมีการกำหนดมาตรการจัดเก็บรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และ อปท. สามารถจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ อปท. มีส่วนร่วมในการใช้เงินรายได้สมทบงบประมาณค่าก่อสร้างระบบการจัดการน้ำเสียและมูลฝอยชุมชน ภายใต้หลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินงานโครงการ RDF และปุ๋ยอินทรีย์ ภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ซึ่งในครั้งนี้ อปท. ไม่ต้องสมทบงบประมาณในการดำเนินงานตามโครงการ รวมทั้งปัญหาการจัดเก็บขยะมูลฝอยของประเทศ เพื่อให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับ อปท. ในการจัดการขยะมูลฝอยต่อไป ๔. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการขยะของประเทศในภาพรวมทั้งระบบ ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้มีกลไกเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาขยะในภาพรวมให้เป็นเอกภาพ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอเรื่องนี้ต่อสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 483 | ตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด | นร11 | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัด รวม ๒๔ ตัวชี้วัด และตัวชี้วัดการพัฒนาระดับกลุ่มจังหวัด รวม ๑๓ ตัวชี้วัด ๑.๒ ให้ส่วนราชการพิจารณาใช้ประโยชน์ตัวชี้วัดในการกำหนดแผนงานโครงการและงบประมาณลงสู่พื้นที่ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการขับเคลื่อนระหว่างจังหวัด กลุ่มจังหวัด และส่วนราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ความร่วมมือในการจัดเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่จำเป็นและที่ยังเป็นข้อจำกัด เพื่อใช้ประกอบการจัดทำและพัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัดให้มีความสมบูรณ์และมีความต่อเนื่องทุกปี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการขอปรับตัวชี้วัดร่วม (Common Indicators) ระดับจังหวัด ประเด็นการวัด (๔) ประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ (Government Efficiency) ข้อ ๑ ความสามารถการให้บริการสาธารณะ GE1 จากเดิม ร้อยละของสถานพยาบาลได้รับการรับรองคุณภาพ HA (%) แหล่งที่มาของข้อมูล ขอปรับเป็นเรื่องร้อยละการเข้าถึงบริการผู้ป่วยนอก และการนำแนวทางการพัฒนาประเทศของยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี และร่างแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ มาใช้ประกอบการพัฒนาตัวชี้วัดการพัฒนาระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการเพิ่มเติมตัวชี้วัดเรื่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การบูรณาการ หรือการประสานงานเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของผู้นำหน่วยงานและข้าราชการระดับสูง แผนงาน เจ้าหน้าที่ งบประมาณ การจัดทำแผนประสานสอดคล้องกัน และประสิทธิภาพของข้าราชการในพื้นที่ให้ชัดเจน รวมทั้งให้พิจารณาเพิ่มเติมตัวชี้วัดเพื่อแก้ไขปัญหาที่ตัวชี้วัดและผลการประเมินไม่สามารถบอกถึงประสิทธิภาพในการทำงานของข้าราชการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาปรับปรุงตัวชี้วัดในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์เกี่ยวกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑ การดำเนินการที่เป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Economy) เช่น การส่งเสริมหรือสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น การส่งเสริมหรือสนับสนุนการท่องเที่ยว เป็นต้น ๔.๒ การบริหารจัดการของหน่วยงานต่าง ๆ ว่ามีการดำเนินการที่ทำให้แบ่งเบาหรือลดภาระการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐลงไปได้ เช่น การดำเนินโครงการโดยมีการจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) เป็นต้น ๔.๓ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงบประมาณและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มีการแบ่งประเภทงบประมาณที่ขอรับการจัดสรรอย่างชัดเจน [งบประมาณสำหรับการบริหารราชการปกติ (Function Based) และงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล (Agenda Based)] มีการบูรณาการจัดทำงบประมาณร่วมกันเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพไม่เกิดความซ้ำซ้อน เป็นไปตามยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
| 484 | แผนงาน/โครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2558 (โครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง) | นร07 | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอขออนุมัติให้ดำเนินโครงการสร้างที่เก็บน้ำที่สามารถดำเนินการได้ทันทีในการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๗๒๑,๖๙๓,๘๐๐ บาท เพื่อดำเนินโครงการ จำนวน ๒ โครงการ ดังนี้ ๑.๑ โครงการแก้มลิงเพื่อเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำชายแดนระหว่างประเทศ ระยะเร่งด่วน งบประมาณ ๖๐๔,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างแก้มลิงที่มีความพร้อม จำนวน ๓๐ แห่ง โดยมอบหมายให้กรมชลประทานเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ ๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลำน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง งบประมาณ ๑๑๗,๑๙๓,๘๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างฝายกระสอบทรายชั่วคราวในพื้นที่ลำน้ำขนาดเล็กที่มีศักยภาพ จำนวน ๕๒๖ แห่ง โดยมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) และกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เร่งดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นฤดูฝน รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ดำเนินการติดตามตรวจสอบการดำเนินงาน การใช้งบประมาณให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 485 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น) | สผ | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอปฏิรูป ดังนี้
๑. การปฏิรูปการกระจายอำนาจ ๒. การปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของการปกครองท้องถิ่น ๓. การปฏิรูปการกำกับ ตรวจสอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองท้องถิ่น ๔. การปฏิรูปการเงินการคลังท้องถิ่น ๕. การปฏิรูปการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
| 486 | รายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม 3 เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับ ตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต) | มท | 30/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น รวม ๓ เรื่อง (การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยาและแนวทางการแก้ไข พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ และกรณีให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง พร้อมทั้งข้อสังเกต ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. ความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ๑.๑ การยกฐานะเทศบาลนครแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๑๓ มกราคม ๒๕๕๘) ซึ่งเห็นว่าหลักการของร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... ยังไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล จึงได้ลงมติให้ชะลอการดำเนินการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๑.๒ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยา และแนวทางการแก้ไข เห็นควรรอให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแนวทางการปฏิรูปแล้วเสร็จ ๑.๓ กรณีการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง เห็นควรให้เสนอแนวทางในการส่งเสริมบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และกำหนดมาตรการในการตรวจสอบการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปพร้อมกัน สำหรับข้อเสนอให้มีการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านปีละครั้ง เห็นว่าจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับอำเภอมากขึ้น ดังนั้น การประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้าน อย่างน้อยทุกห้าปีจึงมีความเหมาะสมแล้ว ๒. ความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๒.๑ การยกฐานะเทศบาลแม่สอดเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เห็นควรทบทวนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เนื่องจากมีลักษณะเช่นเดียวกับเมืองพัทยา จึงควรศึกษาปัญหาที่เกิดจากเมืองพัทยามาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม ๒.๒ ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของเมืองพัทยา และแนวทางการแก้ไข เห็นควรแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันเหตุการณ์ ๒.๓ กรณีศึกษาให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลโดยตำแหน่ง ควรมุ่งเน้นส่งเสริมความร่วมมือ ประสานงานและทำงานระหว่างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบลมากกว่าที่จะกำหนดให้เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตำแหน่ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 487 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | สผ | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอ เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยผลการพิจารณาศึกษารายงาน และข้อเสนอประเด็นการปฏิรูปและแนวทางดำเนินการพร้อมทั้งร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเพื่อให้มีกฎหมายแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรการในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงน้ำ การบริหารจัดการน้ำ การคุ้มครอง การอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำ การฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ การป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำ การจัดตั้งกองทุนทรัพยากรน้ำ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชนในแต่ละลุ่มน้ำ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำทั่วไประดับชาติและระดับลุ่มน้ำ และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 488 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย - เมียนมา ครั้งที่ 29 | กห | 08/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๒๙ (The 29th Thailand-Myanmar Regional Border Committee Meeting : RBC-29) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Mechanism of Township Border Committee : TBC) ความร่วมมือทวิภาคีในการปรามปรามยาเสพติด การแลกเปลี่ยนการเยือน และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างความไว้วางใจระหว่างกัน ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดและการลักลอบค้าอาวุธ ความร่วมมือเกี่ยวกับการก่อสร้างบริเวณพื้นที่ชายแดน ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดน การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านบริเวณชายแดน และการแจ้งเตือนต่อการบินรุกล้ำน่านฟ้า ๓. เรื่องอื่น ๆ ได้แก่ การอำนวยความสะดวกให้คณะผู้แทนไทยที่เข้าไปดำเนินงานโครงการความร่วมมือในเมียนมา กิจกรรมและความร่วมมือในแม่น้ำเมย ความร่วมมือในการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ข้อเสนอในการทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค และการเตรียมการสำหรับการเดินทางกลับผู้หนีภัยการสู้รับ ๔. การกำหนดวันที่และสถานที่ของการประชุมคณะกรรมการ RBC-30 ซึ่งฝ่ายเมียนมาแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การประชุมคณะกรรมการ RBC-30 กำหนดจัดขึ้นที่เมียนมา สำหรับวันที่และสถานที่จะแจ้งให้ทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 489 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/09/2558 | |||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือเกษตรกร เช่น การช่วยเหลือด้านการขนส่งสินค้าทางการเกษตรไปยังตลาดในราคาย่อมเยา การจัดจำหน่ายสินค้าผ่านสหกรณ์และตลาดชุมชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์ราคากลางของสินค้าอุปโภคและบริโภคให้ประชาชนรับทราบผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างทั่วถึงด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มผิดกฎหมาย โดยประสานความร่วมมือกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน แล้วรายงานให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงศ์สุวรรณ) พิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ เมษายน ๒๕๕๘) ที่ให้พิจารณาเสนอแนวทางการทำประมงในเขตแดนของภูมิภาคอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ว่าควรแบ่งเขตแดนอย่างไร สามารถทำประมงข้ามเขตได้หรือไม่ อย่างไร และให้การสนับสนุนด้านเครื่องมือในการทำประมง รวมทั้งให้เร่งดำเนินการเพิ่มแหล่งการทำประมงในเขตประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเล เช่น บรูไนดารุสซาลาม กินี ต่อไปด้วย ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางการรณรงค์สร้างจิตสำนึกความเป็นไทยให้เกิดขึ้นในสังคม และให้นำเอกลักษณ์ไทยไปเผยแพร่ในโอกาสต่าง ๆ รวมทั้งกำหนดรูปแบบเครื่องแต่งกายสำหรับรัฐมนตรีและคู่สมรสเพื่อใช้ในโอกาสงานพิธีการรับรองแขกต่างประเทศและการเยือนต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของประเทศ ๒.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดแนวทางการบริหารจัดการเกี่ยวกับการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อให้ไม่กระทบต่อนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ เช่น ให้นักเรียนที่ศึกษาอยู่จบการศึกษาก่อน ไม่รับนักเรียนเพิ่มเติม ๓. ด้านการต่างประเทศ ให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจและด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำข้อมูลสำหรับนายกรัฐมนตรีใช้ประกอบในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในช่วงปลายเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ณ สหรัฐอเมริกา โดยส่งให้กระทรวงการต่างประเทศบูรณาการข้อมูลเพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๔.๑ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และที่แก้ไขเพิ่มเติม อย่างเคร่งครัด โดยให้กำชับผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยปละละเลย เพื่อมิให้เกิดการค้ามนุษย์ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ หากพบมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในพื้นที่ใด ให้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้นำคดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเร็ว และรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง และกระทรวงพาณิชย์เร่งรัดกระบวนการพิจารณากรณีทุจริตโครงการจำนำข้าวให้สามารถนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมภายในสิ้นปี ๒๕๕๘ นี้ โดยให้รายงานรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลให้ออกสู่ตลาดโดยเร็ว โดยยึดหลักสุจริตและโปร่งใส และไม่กระทบต่อราคาตลาดข้าวในปัจจุบัน ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๘) เกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ แล้ว นั้น ให้ดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประสานงานกับประเทศในอาเซียนเพื่อให้มีความร่วมมือกันเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ๕.๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มวงเงินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาในส่วนของรัฐบาล ๕.๑.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ๕.๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ๕.๑.๕ ให้กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสื่อเกี่ยวกับมาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและนักท่องเที่ยว ๕.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดหาพื้นที่กักเก็บน้ำและพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำระหว่างประเทศเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงในการส่งน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศมาใช้ภายในประเทศ ๕.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาผ่อนผันให้ชาวสวนยางสามารถประกอบอาชีพในพื้นที่ที่ชาวสวนยางได้บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำการเพาะปลูกยางสามารถประกอบอาชีพในพื้นที่ดังกล่าวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งจนกว่าจะหาพื้นที่ทำกินใหม่ทดแทนได้ และให้สร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าควบคู่กับการแก้ไขปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ๕.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการต่างประเทศติดตามสถานการณ์ไฟไหม้บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควันในหลายจังหวัดของภาคใต้อย่างต่อเนื่องและเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งประสานสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหมอกควันร่วมกันด้วย ๕.๗ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปล่อยปละละเลยให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ให้ย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป ๕.๘ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เร่งตรวจสอบความมั่นคงของสิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รวมทั้งระบบสัญญาณเตือนภัยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์วาตภัยที่อาจจะเกิดขึ้น ๕.๙ ให้ทุกส่วนราชการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาที่มีการร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมหรือผ่านช่องทางตามสื่อต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละส่วนราชการ ๕.๑๐ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงแบบฟอร์มและเอกสารต่าง ๆ ที่ใช้ในการติดต่อราชการให้ง่ายต่อความเข้าใจของประชาชน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||
| 490 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | มท | 18/08/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการการดำเนินการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน ๒๑ จังหวัด งบประมาณ ๔๙๐,๖๐๑,๕๕๐ บาท โดยขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑.๒ กำหนดแนวทางในการบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตรของจังหวัด ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้จังหวัดแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการและดำเนินการสนับสนุนเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานกรรมการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เป็นกรรมการ มีปลัดจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ สหกรณ์จังหวัด เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ในการจัดหา ตรวจสอบความเหมาะสม และงบประมาณของเครื่องจักรกลทางการเกษตร ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยต้องไม่ซ้ำซ้อนกับแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมของส่วนราชการอื่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งติดตามการบริหารจัดการ การดูแลรักษาเครื่องจักรกลทางการเกษตร ๑.๒.๒ มอบหมายให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ร่วมกับฝ่ายทหารในพื้นที่ ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการ การจัดเก็บ การดูแลรักษา ซ่อมบำรุง ๑.๓ กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องและติดตามการปฏิบัติงานให้ใช้กระบวนการตรวจราชการแบบบูรณาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับโครงการตามมาตรการสำคัญเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอื่น รวมทั้งดำเนินการสนับสนุนการจัดหาเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่กลุ่มสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและโปร่งใส ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตทุกขั้นตอนและเห็นผลเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
| 491 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น) | สผ | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น) ตามที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติตามรายงานเรื่อง การปรับโครงสร้างอำนาจส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร [สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)] กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง โดยมีประเด็นการปฏิรูป ๙ ประเด็น ดังนี้
๑. กำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ชัดเจน และการจัดความสัมพันธ์ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ๒. ทบทวนและจำแนกบทบาทภารกิจภาครัฐ ๓. ออกแบบโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมกับภารกิจต่าง ๆ ของภาครัฐในลักษณะที่มีความคล่องตัวต่อการเปลี่ยนแปลงและยุบเลิกทั้งระบบงบประมาณ และการบริหารกำลังคน การจัดส่วนราชการประจำจังหวัดที่เป็นตัวแทนของกระทรวงที่แท้จริงในราชการบริหารส่วนภูมิภาค ๔. พัฒนากลไกหรือเครื่องมือในการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ๕. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ๖. เสริมสร้างความเข้มแข็งและเร่งรัดการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๗. การจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายร่วมกัน ๘. ส่งเสริมให้มีรัฐบาลระบบเปิด (Open Government) ซึ่งเป็นรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินภารกิจของรัฐเพื่อเป็นเครือข่ายหรือพันธมิตรในการทำงานร่วมกัน ๙. รัฐต้องปฏิรูประบบบริหารงานบุคคลภาครัฐให้มีมาตรฐานสามารถขจัดความเหลื่อมล้ำ มีเอกภาพในด้านค่าตอบแทนและมีความเป็นกลางทางการเมือง และสนับสนุนให้บุคลากรภาครัฐได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 492 | การจัดประชุมวิชาการนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พืชวงศ์ขิง - ข่า ครั้งที่ 7 "ขิง - ข่า เพื่อชีวิต" (The 7th International Symposium on the Family ZINGIBERACEAE : Gingers for Life) | ทส | 11/08/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ พืชวงศ์ขิง-ข่า ครั้งที่ ๗ “ขิง-ข่า เพื่อชีวิต” (The 7th International Symposium on the Family ZINGIBERACEAE : Gingers for Life) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑. ประเทศไทย โดยองค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเลือกจากนานาชาติให้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๘ ณ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในฐานะที่ทรงเป็น “พระมารดาแห่งการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพ” และเพื่อเฉลิมพระเกียติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสปีพระราชสมภพครบ ๖๐ พรรษา ซึ่งทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สำคัญด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรพืชของประเทศไทย รวมทั้งเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ วิชาชีพ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพืชวงศ์ขิง-ข่าและวงศ์ใกล้เคียงสู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน และนานาประเทศจะได้รับทราบบทบาทความเป็นผู้นำด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทยให้เป็นที่ประจักษ์ระดับประชาคมอาเซียนและระดับโลก ๒. องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอบรับเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ ในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ โดยจะทรงมีพระราชดำรัสเปิดการประชุมและจะทรงแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ขิง-ข่า ในวัฒนธรรมไทย” รวมทั้งทรงประทับฟังการบรรยายพิเศษเรื่อง “The World of Gingers : What We Know, What We Do Not Know, and What We Must Know.” โดย Professor Dr.W. J.Kress, Smithsonian Institution, USA. (Chairman of International Scientific Committee) และทอดพระเนตรผลงานวิจัยและนิทรรศการด้วย ๓. คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการประชุมฯ จำนวน ๒๕๐ คน ประกอบด้วย นักวิชาการ นักวิจัย ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ รวมทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร นักศึกษา ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
| 493 | รายงานของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | สว | 04/08/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาและติดตามการบริหารงบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว พบว่าการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีในส่วนเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีปัญหาในการเบิกจ่ายล่าช้า มีการใช้จ่ายงบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เกิดประสิทธิผล จึงได้มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขเพื่อ่ให้การบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หรือไม่ ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 494 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่า ๑.๑ สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการหารือและทบทวนกลไกต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันและบูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาของผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ คนชรา หรือผู้สูงอายุ ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์สิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ รวมถึงการสร้างจิตสำนึกให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชรา พ.ศ. ๒๕๔๘ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ สมควรที่จะพิจารณาปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน ๑.๓ สมควรแก้ไขเพิ่มเติมวิธีการขออนุญาตตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ฉบับนี้ ในเรื่องการให้ข้อมูลและแจ้งสิทธิในการแสดงความคิดเห็นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นแก่บุคคลที่อยู่บริเวณข้างเคียงเกี่ยวกับการก่อสร้าง ดัดแปลง พร้อมแสดงเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บุคคลที่อยู่บริเวณข้างเคียงรับรู้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเพื่อให้นำมาใช้ประกอบการพิจารณาของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ๑.๔ สมควรทบทวนบทบาทและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมอาคารซึ่งมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้มีความชัดเจนและเหมาะสมกับโครงสร้างของภาครัฐที่มีการปฏิรูปและสภาพสังคมในปัจจุบัน ๑.๕ สมควรที่กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง จะทำการหารือและบูรณาการการทำงานร่วมกันกับราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคารในเขตท้องที่ที่รับผิดชอบ ในการกำหนดวิธีการหรือกลไกที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการทำงานให้แก่ราชการส่วนท้องถิ่น และรองรับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดที่จะมีการประกาศใช้บังคับต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาว่าจะสมควรดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ ได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 495 | แนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) | คค | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบทั้ง ๓ ข้อ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความก้าวหน้าในการพิจารณาแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) โดย (๑) ศึกษาเพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสมจะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ Yacht เพิ่มเติม พร้อมทั้งรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่และทดสอบตลาด (๒) ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และ (๓) จัดมหกรรมเรือ Yacht ณ จังหวัดภูเก็ต ระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๘-มกราคม ๒๕๕๙ และแนวทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยระยะแรก (ปี ๒๕๕๘) พัฒนาท่าเรือเดิมให้มีศักยภาพ (ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต) และระยะที่ ๒ (ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๕) พัฒนาท่าเทียบเรือ Cruise แห่งใหม่ ที่จังหวัดกระบี่ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Home Port ของเรือ Cruise ในภูมิภาค ๑.๒ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) โดยแผนเริ่มจากปี ๒๕๕๘ สิ้นสุดในปี ๒๕๖๑ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ ผู้บริหารท่าเรือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัด ท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์เร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตเพื่อให้สามารถปรับปรุงท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตให้มีความพร้อมในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ได้โดยเร็ว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการทบทวนความเหมาะสมในการเลือกพื้นที่พัฒนาท่าเรือดังกล่าว กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าควรให้ความสำคัญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจัดทำแผนการการบริหารจัดการเกี่ยวกับการจำกัดและบำบัดของเสียจากเรือ และเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าท่าในการกำกับดูแลเพื่อรองรับจำนวนท่าเรือและเรือสำราญที่จะเพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ควรศึกษาทางเลือกและรูปแบบการลงทุนให้ชัดเจน โดยอาจพิจารณามาตรการส่งเสริมให้เอกชน และ/หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพเป็นผู้พัฒนาและดำเนินงานท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) ตลอดจนการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนและดำเนินการท่าเทียบเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) และเห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ พิจารณาความเหมาะสมบทบาทของท่าเรือน้ำลึกภูเก็ตในการรองรับเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) รวมทั้งเร่งพิจารณาหาผู้ประกอบการท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการการพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้กระทรวงคมนาคมสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่จะพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ รวมทั้งให้พิจารณาจัดทำแผนการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเรือสำราญ (Yacht) และเรือโดยสารเพื่อการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ (Cruise) ให้เชื่อมโยงกับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 496 | การเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล | มท | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยกระทรวงมหาดไทยได้ประชุมการเตรียมความพร้อมฯ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ให้ทุกหน่วยงานยังคงภารกิจในการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วม และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูฝนตามข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ๒. ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วย และรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อสรุปผลเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ๓. ให้หน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การรถไฟแห่งประเทศไทย การประปานครหลวง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างเส้นทางคมนาคม เป็นต้น ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาขยะอุดตันเส้นทางการระบายน้ำ ๔. ให้กรุงเทพมหานครเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ในการร่วมจัดการกรณีขยะที่มาอุดตันทางน้ำ และสร้างปัญหาให้กับระบบสูบน้ำ ๕. ให้กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรับข่าวสารเพื่อการแจ้งเตือนประชาชนในการสัญจรในพื้นที่การจราจรติดขัดในช่วงฝนตกหนักจากกองบังคับการตำรวจจราจร (บก.๐๒) และเพิ่มช่องทางในการสื่อสารกับประชาชนให้มากขึ้น ๖. ในอนาคตสถาบันอาชีวะในทุกจังหวัดจะปฏิบัติการขยายผลในภารกิจเพื่อสังคม โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับจังหวัด ผ่านทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทั่วประเทศ ๗. ให้แต่ละหน่วยงานจัดทำช่องทางการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ในแต่ละระดับ โดยเฉพาะในระดับหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ต้องมีความพร้อม และสามารถสื่อสารกันได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เมื่อเกิดปัญหาในแต่ละแห่ง
|
||||||||||||||||||||||||
| 497 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ 1 ปี (ประจำปี พ.ศ. 2558) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 (ตุลาคม 2557 - มีนาคม 2558) | นร11 | 28/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติราชการระยะ ๑ ปี (ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘) ในช่วง ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ (ตุลาคม ๒๕๕๗-มีนาคม ๒๕๕๘) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจได้รายงานผลการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่สำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย ๑๑ ข้อของรัฐบาลในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จำนวน ๒๐๑ โครงการ โดยมีโครงการที่สามารถดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมาย จำนวน ๑๕๗ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๑๒) และโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย จำนวน ๔๔ โครงการ (คิดเป็นร้อยละ ๒๔.๘๙) ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินแผนงาน/โครงการได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เช่น โครงการยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม โครงการยังอยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอต่อการดำเนินโครงการ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบขาดองค์ความรู้ในการดำเนินโครงการ โครงการไม่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทำให้มีการเข้าร่วมโครงการต่ำ มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือพื้นที่ในการดำเนินการทำให้เกิดความล่าช้า รวมทั้งโครงการขาดความพร้อมในการดำเนินโครงการเนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง หรือยังอยู่ในขั้นตอนของการหารือกับผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะ หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการคัดกรองแผนงาน/โครงการควรให้ความสำคัญกับการพิจารณา วิเคราะห์ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแผนงาน/โครงการให้มีความรอบคอบ รัดกุม คำนึงถึงศักยภาพของผู้ดำเนินโครงการในระดับปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรเร่งรัดการดำเนินงานของโครงการ/แผนงานต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในไตรมาสที่สองโดยเร็ว โดยเฉพาะการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย การเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้าง และการปรับปรุงรายละเอียดโครงการ และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ในการดำเนินโครงการ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการเตรียมการล่วงหน้าในการเสนอแผนงาน/โครงการเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เช่น การหาพื้นที่ในการดำเนินการ การสร้างการรับรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ เมื่อส่วนราชการได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วจะได้สามารถดำเนินการได้โดยทันทีจะได้ไม่ล่าช้า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
| 498 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาระบบการบริหาร ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับระบบการบริหารงาน ระบบบริหารงบประมาณ ระบบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น และระบบการจัดการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปพิจารณาว่าสมควรจะดำเนินการตามรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หรือไม่ประการใดก่อน โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานกลางในการรวบรวมผลการดำเนินการ แล้วแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 499 | การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2558 | มท | 21/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล จำนวน ๑,๑๗๓ บ่อ แยกเป็นพื้นที่ที่มีไฟฟ้า จำนวน ๙๒๘ บ่อ และไม่มีไฟฟ้า จำนวน ๒๔๕ บ่อ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สามารถพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดดำเนินการได้ ตามวัตถุประสงค์เดิม โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ ภายหลังดำเนินการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลแล้ว ให้มีการจัดทำทะเบียนคุม และระบุพิกัดที่ตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการใช้ประโยชน์และบำรุงรักษาต่อไป ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จากโครงการฟื้นฟูบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย ภายใต้แผนงาน/โครงการบูรณะแหล่งน้ำเดิมเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยแล้งและอุทกภัย ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่มีวงเงินเหลือจ่ายภายในกรอบวงเงิน ๓๗๔,๒๖๘,๗๖๙ บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และราคามาตรฐานเดียวกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นพลังงานในการสูบน้ำในพื้นที่ขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ไม่มีไฟฟ้า
|
||||||||||||||||||||||||
| 500 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... | พม | 14/07/2558 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการนิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามข้อสังเกต โดยขอให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดเตรียมการดำเนินการตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้จัดเตรียมโครงสร้าง อัตรากำลัง บุคลากร และงบประมาณที่จะปฏิบัติภารกิจหอพักอย่างเพียงพอแล้ว ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินกาาตามข้อสังเกต โดย ๒.๑ จัดทำข้อมูลถ่ายโอนภารกิจ ตลอดจนบรรดาทะเบียน ข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลกิจการหอพักที่ต่อใบอนุญาตและไม่ได้ต่อใบอนุญาต โดยได้จำแนกตามเขตพื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อถ่ายโอนภารกิจหอพักให้กรุงเทพมหานคร ๒.๒ ประสานให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดดำเนินการจัดส่งฐานข้อมูลการจดทะเบียนหอพักตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๐๗ มาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากจังหวัดต่าง ๆ แล้ว จำนวน ๕๖ จังหวัด ๒.๓ จัดทำคู่มือการจดทะเบียน ขั้นตอนวิธีการและรวบรวมบรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง แนวปฏิบัติ แนวคำวินิจฉัย ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และแบบพิมพ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ การกำกับดูแลกิจการหอพัก ซึ่งสามารถใช้ปฏิบัติภารกิจทีไดรับการถ่ายโอนภารกิจหอพักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒.๔ กำหนดแผนการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานและจัดฝึกอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ และพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับจังหวัด (ครู ก.) เพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ และวิธีการในการปฏิบัติงานราชการกำกับดูแลกิจการหอพัก และสามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง นำไปขยายผลให้แก่พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับพื้นที่ต่อไป โดยมีกรมกิจการเด็กและเยาวชน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เป็นพี่เลี้ยง ๒.๕ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ความช่วยเหลือสนับสนุน ให้คำปรึกษา แนะนำ และช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๖ การดำเนินงานอื่น ๆ จะปฏิบัติตามขั้นตอนการกระจายอำนาจ ตาแมผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
.....
