ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 2037 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 201 | รายงานผลดำเนินงานตามมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | พม | 17/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลดำเนินงานตามมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรณีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามมาตรการฯ รอบระยะเวลา ๓ เดือนแรก (ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน-๓๐ กันยายน ๒๕๖๒) ของมาตรการสามารถช่วยเหลือลดภาระและเพิ่มกำลังซื้อให้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ไม่สูงมากนักและมีความสามารถในการผ่อนชำระได้ ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น ได้เข้าถึงในกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย จำนวน ๓๗,๕๑๕ ราย คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๓๐ ของเป้าหมายรวม ๑๒ เดือน จำนวน ๕๘,๓๔๐ ราย (จำนวนประมาณ ๑๗๕,๐๒๐ คน) ๒. ผลกระทบต่อรายได้การเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซึ่งเป็นรายได้ของรัฐ โดยกรมที่ดินเป็นผู้จัดเก็บให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลดลง รอบระยะ ๓ เดือนแรกของมาตรการฯ (ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน-๓๐ กันยายน ๒๕๖๒) จำนวน ๕๐๐.๒๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๒๙.๔๓ ของเป้าหมายรวม ๑๒ เดือน ที่รัฐต้องสูญเสียรายได้ จำนวน ๑,๗๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 202 | ร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2563 - 2565 | สธ | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จัดทำขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซี่งจะเป็นแผนที่นำไปสู่การพึ่งตนเองและความมั่นคงด้านวัคซีนอย่างยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านวัคซีน ประชาชนทุกคนในประเทศเข้าถึงการป้องกันโรคด้วยวัคซีนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๔ แผนงาน ๖๗ โครงการ ระยะเวลาดำเนินงาน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕) กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑,๐๗๘,๙๔๖,๕๕๓ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายและภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายบูรณาการการดำเนินงานและนำร่างนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯ ไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ไปดำเนินการ และค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดลำดับความสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วน ความคุ้มค่า และประโยชน์ที่ทางราชการและประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรจัดทำ list of priority vaccine ที่ต้องการผลิตให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมในช่วง ๓-๕ ปี ควรพิจารณาส่งเสริมความสามารถในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคจากสัตว์สู่คน ควรเพิ่มความชัดเจนและความท้าทายของตัวชี้วัดและเป้าหมายให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ของแผนยุทธศาสตร์และงบประมาณที่ได้รับ ควรพิจารณาระบบการจัดสรรทุนวิจัยที่มีความต่อเนื่อง (block grant) เน้นประเด็นโจทย์วิจัยที่เป็นปัญหาเร่งด่วนและสอดคล้องกับแผนงานเป้าหมาย ควรพิจารณาการเคลื่อนย้ายบุคลากรในสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนไปปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility) และควรพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นการพิจารณาวัคซีนในสัตว์ เนื่องจากโรคในสัตว์หลายชนิดมีความสำคัญทั้งทางด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ซี่งควรมีแผนและนโยบายที่ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 203 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในการดำเนินโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID - 19) | มท | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบการจัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และการจัดทำหน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันตนเอง ๑.๒ อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงินงบประมาณ ๒๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับเป็นค่าวัสดุอุปกรณ์ในการจัดทำหน้ากากอนามัยในโครงการพลังคนไทยร่วมใจป้องกันไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยการจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๗,๗๗๔ แห่ง (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 204 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 03/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดดำเนินการป้องกัน ควบคุม แก้ไขปัญหา และบรรเทาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังต่อไปนี้
ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๑. ด้านการป้องกันโรค/สุขภาพ ๑.๑ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็น ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดมาตรการภายในได้ตามความเหมาะสมต่อไป ๑.๒ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุม ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยในส่วนของการดูงานหรือฝึกอบรม ให้พิจารณาเปลี่ยนแปลงงบประมาณเป็นการดูงาน หรือฝึกอบรมภายในประเทศแทน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เว้นแต่กรณีมีความจำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรจากหัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังพิจารณากำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีผลกระทบต่อเอกชนคู่สัญญาในการระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปศึกษา ดูงาน ฝึกอบรม หรือประชุมน้อยที่สุด ๑.๓ ให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และจำเป็นต้องสังเกตอาการ อยู่ปฏิบัติงานภายในที่พักเป็นเวลา ๑๔ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับให้ข้าราชการปฏิบัติงานภายในที่พักตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นได้ โดยให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๔ ให้ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการคัดกรองประชาชนที่เดินทางกลับมาจาก หรือเดินทางผ่าน หรือมีเส้นทางแวะผ่าน (Transit/Transfer) ประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด ในกรณีที่มีความจำเป็นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดการขนส่งประชาชนกลุ่มดังกล่าวกลับภูมิลำเนาหรือไปยังสถานพยาบาลอย่างเหมาะสม และการกำกับดูแล การกักกันตนเอง ณ ที่พักอาศัย โดยให้มีการบูรณาการการดำเนินงานระหว่างชุมชน จิตอาสา อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสถานพยาบาลในพื้นที่ในการติดตาม เฝ้าระวัง ตรวจสอบ และป้องกันอย่างใกล้ชิด ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินมาตรการคัดกรองผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า สถานีขนส่งผู้โดยสาร และท่ารถอย่างเคร่งครัด ๑.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมจัดเตรียมสถานที่/พื้นที่สำหรับสังเกตอาการในกรณีที่พบว่าผู้เดินทางเป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย โรคระบาด หรือพาหะนำโรคตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ๑.๗ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนการจัดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนเป็นจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยไม่จำเป็น เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และการจัดมหรสพ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีความจำเป็นต้องจัดกิจกรรมโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่เป็นกิจกรรมที่ต้องขออนุญาตจากส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาความเหมาะสมของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่มีการรวมตัวของประชาชนจำนวนมาก ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงต่อสาธารณชนโดยรวมต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นสำคัญ ๑.๘ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันพิจารณาปริมาณความต้องการของสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อและจัดหาให้เพียงพอกับความต้องการดังกล่าวในแต่ละช่วงเวลา โดยควรจัดลำดับความสำคัญในการกระจายสินค้าที่จำเป็นดังกล่าวตามระดับความเสี่ยงของบุคคล หน่วยงาน และสถานที่ เช่น สถานพยาบาลทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประชาชนทั่วไป ๑.๙ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการป้องกันการกักตุนและควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้ออย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้ครอบคลุมถึงช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ด้วย ๑.๑๐ ในกรณีกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความจำเป็นต้องจัดหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นเพิ่มเติม ให้ประสานสำนักงบประมาณ เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้มีเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับดำเนินการอย่างเพียงพอ ๑.๑๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงแรงงานติดตามและดูแลคนไทยที่พำนักอยู่ในประเทศที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และประเทศเฝ้าระวัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างใกล้ชิด ๑.๑๒ ให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติมีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรับทราบสถานการณ์และข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งพิจารณาตัดสินใจกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์ ๑.๑๓ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้มีศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบูรณาการข้อมูลจากทุกส่วนราชการ รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน และสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชน โดยเฉพาะในส่วนของมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในทุกมิติ รวมถึงจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงทุกกลุ่ม เพื่อสร้างการรับรู้ ตระหนัก และขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยเฉพาะขั้นตอนการเฝ้าระวังและการป้องกัน ๑.๑๔ ให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และจัดให้มีสวัสดิการพิเศษเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง และครอบครัว ๑.๑๕ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีพิจารณาจัดตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อสนับสนุนการจัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เช่น หน้ากากอนามัย และน้ำยาฆ่าเชื้อหรือเจลฆ่าเชื้อ ดูแลบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม และการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะรัฐมนตรีจะสมทบเงินเข้ากองทุนดังกล่าวเป็นทุนประเดิม ๑.๑๖ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อรองรับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ หากมีความจำเป็น ๒. ด้านการบรรเทาผลกระทบที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยครอบคลุมด้านต่าง ๆ ได้แก่ มาตรการทางภาษี มาตรการด้านสินเชื่อและพักชำระหนี้ มาตรการด้านงบประมาณ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน มาตรการการจ้างงานและพัฒนาทักษะ และมาตรการด้านสินค้าเกษตรและสินค้าอื่นในชุมชน เพื่อเสนอคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจพิจารณาโดยเร็ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งให้ข้อมูลและสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อให้เกิดเอกภาพและสร้างความมั่นใจให้แก่สาธารณชน ผ่านศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ที่จะได้มีการจัดตั้งขึ้น ณ ทำเนียบรัฐบาล ในการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 205 | ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ | มท | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการ (๑) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับขนาดความหนาแน่นในการจราจร รายได้ และขีดความสามารถในการใช้บังคับให้เป็นไปตามกฎหมายที่จะบังคับแก่เทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. .... (๒) ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจอดรถในที่จอดรถ ค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ ค่าเคลื่อนย้ายรถ และค่าดูแลรักษารถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และ (๓) ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการมอบให้เอกชนทำหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความหนาแน่นในการจราจรที่จำเป็นต้องจัดให้มีที่จอดรถในทางหลวงหรือในที่สาธารณะและจัดระเบียบการจอดรถ กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจอดรถ อัตราค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ อัตราค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายรถและอัตราค่าดูแลรักษารถที่ถูกเคลื่อนย้าย และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อาจมอบหมายให้เอกชนทำหน้าที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนก็ได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๒ (๓) ของร่างกฎกระทรวงตาม (๑) เป็น “มีความพร้อมในการจัดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ วัสดุอุปกรณ์ และการบริหารจัดการ” และมีขีดความสามารถในการบังคับตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๔ ในส่วนของหมายเหตุของร่างกฎกระทรวงตาม (๒) เป็น “ในกรณีที่รถถูกใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้ายรถตาม ข้อ ๓ อีก” รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๕ ของร่างกฎกระทรวงตาม (๓) เป็น “เอกชนที่ได้รับมอบให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจอดรถแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามอัตราและวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติท้องถิ่น และในอัตราไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวต้องคำนึงถึงการได้รับประโยชน์และไม่เป็นภาระแก่ประชาชนเป็นสำคัญ เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล คุ้มค่า โปร่งใสและตรวจสอบได้ และให้ อปท. ตรวจสอบ ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลโดยเคร่งครัด รวมทั้ง อปท. ควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการเก็บค่าธรรมเนียม ค่าดูแลรักษา และการปฏิบัติอื่น ๆ ให้เป็นไปอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 206 | แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | พณ | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ หลักการสำคัญในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G (๑) รัฐบาลของประเทศคู่เจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทยจะต้องเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดำเนินการแทนรัฐบาลเท่านั้น เว้นแต่หน่วยงานผู้แทนรัฐบาลของประเทศผู้ซื้อบางประเทศที่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวเพียงหน่วยงานเดียวโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาช้านาน (๒) การชำระเงิน ต้องเป็นการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าวได้ และ (๓) จะต้องส่งข้าวออกไปจากประเทศไทยจริง ๑.๒ ขั้นตอนในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G โดยทั่วไปจะเริ่มจากรัฐบาลประเทศผู้ซื้อแจ้งความประสงค์ขอซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย โดยมีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์หรือกรมการค้าต่างประเทศโดยตรง หรือมีหนังสือผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศหรือช่องทางการทูต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการเจรจาซื้อขายข้าว รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาภายใต้กรอบที่ได้รับความเห็นชอบ จนกระทั่งสามารถตกลงราคาและรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในร่างสัญญาได้แล้ว ๑.๓ การเปิดเผยข้อมูลในสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G จะพิจารณาเปิดเผยข้อมูลบางส่วนตามความเหมาะสม โดยไม่ขัดต่อข้อกำหนดในสัญญาและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศผู้ซื้อ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้รัฐบาลกลางของประเทศผู้ซื้อมีหนังสือถึงรัฐบาลไทยยืนยันการมอบอำนาจในกรณีที่จะให้รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนของประเทศตนเป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขาย เนื่องจากประเทศ เช่น จีน มีรัฐวิสาหกิจในหลายระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 207 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | นร14 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ (๓) กรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ๒. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (๒) ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจร และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ (๓) ผลการดำเนินการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และ (๔) รายงานผลการดำเนินการตามมติ กนช. เมื่อคราวประชุม กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 208 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 04/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๔/๖๒ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๕ พฤศจิกายน-๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ โรงเรียนจิตรอาสาพระราชทาน เพื่อสร้างจิตสำนึก สร้างระเบียบวินัย สามารถเป็นกลจักรสำคัญในการประสานความร่วมมือ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ๒. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานมีความประสงค์ขอให้กระทรวงมหาดไทยประสานจังหวัด อำเภอ จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อย ๕๐ คน/แห่ง เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับพื้นที่ ๓. การจัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน กำหนดให้จัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตอาสาพระราชทานและประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๔. แนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย เพื่อให้ส่วนราชการ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค ๑-๔ และจังหวัด ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด จังหวัด และกรุงเทพมหานครทราบและถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 209 | รายงานประจำปี 2561 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 28/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๑ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินงานที่สำคัญเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ของ ก.ก.ถ. และคณะอนุกรรมการฯ ต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) การทบทวนและจัดทำร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... และร่างแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... (๒) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนการบริหารจัดการภารกิจถ่ายโอนแหล่งน้ำ (๓) การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. รายได้สุทธิของรัฐบาล (๔) การติดตามผลการดำเนินงานตามภารกิจถ่ายโอนของ อปท. (๕) การจัดทำร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่ อปท. และร่างกฎหมายที่แก้ไขตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 210 | ขอความเห็นชอบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ | นร14 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำ เพื่อเป็นการบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมป้องกัน แก้ไข ควบคุม ระงับ หรือบรรเทาผลร้ายจากความเสียหายด้านน้ำที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในกรณีเกิดภาวะวิกฤติ โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบด้วยโครงสร้างที่กำหนดตามระดับสาธารณภัยด้านน้ำที่เกิดขึ้น ๓ ระดับ ได้แก่ ศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบกรอบโครงสร้างดังกล่าวแล้ว ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี หรือโอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร จากโครงการ/รายการที่ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ และมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจำเป็น แล้วแต่กรณี เพื่อมาสมทบในการดำเนินการตามแผนของศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ เป็นลำดับแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติประชุมชี้แจงและประสานการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำมีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดทำแนวทางการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการฯ ให้สอดรับกับพระราชบัญญัติการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้แผนปฏิบัติการฯ มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาคัดกรองแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดตามลำดับความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วนที่มีความพร้อมและสามารถจะดำเนินการได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เช่น โครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำ โครงการประตูระบายน้ำ เป็นต้น โดยให้ระบุความสอดคล้องกับการดำเนินการตามแผนการบริหารจัดการน้ำที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำของประเทศ เป็นต้น แล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 211 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | นร07 | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๓,๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตและความเห็นของที่ประชุม ๔ หน่วยงาน (สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย) เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ๒.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ควรเป็นการดำเนินนโยบายการคลังที่ยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่เป็นไปตามที่ประเมินได้อย่างทันท่วงที ๒.๒ การจัดทำงบประมาณควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีความท้าทายมากขึ้นในระยะ ๑-๒ ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งส่งผลให้แรงงานบางส่วนถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีและอาจไม่สามารถปรับตัวได้ดีดังเช่นอดีตที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเงินอุดหนุนบางส่วนมีความซ้ำซ้อน จึงเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนเงินอุดหนุนสำหรับภารกิจที่มอบหมายให้ อปท. ดำเนินการแทนรัฐบาล รวมถึงการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกันเงินสำรองและการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ อปท. มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นได้จากเงินฝากของ อปท. ในระบบสถาบันการเงินที่มีจำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 212 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ | ศธ | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ รวม ๘ คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ ได้แก่ นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ๒. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงาน หรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่เป็นผู้สอนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ได้แก่ ศาสตราจารย์กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์ นายเธียรชัย ณ นคร รองศาสตราจารย์ ปานใจ ธารทัศนวงศ์ ศาสตราจารย์ปาริชาต สถาปิตานนท์ นางสาวพรวิลัย เดชอมรชัย และผู้ช่วยศาสตราจารย์อดิศร เนาวนนท์ ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงาน หรือลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นางวราภรณ์ สีหนาท
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 213 | การปรับปรุงการให้บริการประชาชนของศูนย์บริการ (Call center) และสายด่วน (Hotline) ต่าง ๆ | นร05 | 24/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกแห่งทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เร่งรัด ตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของศูนย์บริการ (Call center) และสายด่วน (Hotline) ในความรับผิดชอบโดยด่วน เพื่อให้สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับติดตามการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 214 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2562 | นร11 | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การเร่งรัดการลงทุนภายในประเทศ การดูแลค่าเงินบาท การติดตามสถานการณ์ด้านแรงงานและภาคการเกษตรเพื่อหาแนวทางการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด การเบิกจ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะต่อปัญหาเศรษฐกิจของภาคเอกชน ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทและแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและสร้างความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจไทยและการดำเนินมาตรการของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ตลอดจนกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำเงินสะสมมาใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และให้หน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างตามแนวทางที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกำหนด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปด้วยความรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์และงบประมาณที่ได้รับ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 215 | ร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 จำนวน 4 ฉบับ | มท | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำความตกลงมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการรับชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแทนได้ และกำหนดอัตราส่วนลดหรือค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีที่ส่วนราชการรับชำระไว้แทน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ อัตราภาษี และรายละเอียดอื่นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประกาศราคาประเมินทุนทรัพย์ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อัตราภาษีที่จัดเก็บ และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ๔. ร่างกฎกระทรวงการผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดจำนวนงวดและจำนวนเงินภาษีขั้นต่ำที่มีสิทธิผ่อนชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีการในการผ่อนชำระภาษี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 216 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเกี่ยวกับกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะตามมาตรา 7 (1) (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 | กค | 03/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศ รวม ๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะในกรณีกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน กิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง และกิจการท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ อันจะทำให้หน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถดำเนินการได้ถูกต้อง และทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนได้ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการถนน ทางหลวง ทางพิเศษ และการขนส่งทางถนน พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า และการขนส่งทางราง พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง กิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการท่าเรือ และการขนส่งทางน้ำ พ.ศ. .... ๒. ในการกำหนดประเภทกิจการเกี่ยวเนื่องกับกิจการร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ควรเป็นการกำหนดกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นและเหมาะสมกับโครงการร่วมลงทุนในปัจจุบันที่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะนั้น และมีความชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถปฏิบัติได้ อันทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนตามนโยบายของรัฐบาล ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า (๑) สถานีขนส่งผู้โดยสาร เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้องถ่ายโอนให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ หากกำหนดให้สถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น สมควรที่จะมีการรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย และอู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งและดำเนินการสถานีขนส่งต้องจัดให้มีอู่ซ่อมรถและบริการซ่อมรถ ซึ่งมิได้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมขนส่งทางบก จึงไม่ควรถูกกำหนดเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น (๒) ควรเพิ่มเติมกิจการ “การพัฒนาระบบตั๋วร่วม” เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการดำเนินกิจการรถไฟ รถไฟฟ้า (๓) การใช้เรือลากจูง เนื่องจากเป็นกิจกรรมหลักของการขนส่งสินค้าชายฝั่งและลำน้ำภายในประเทศ ประกอบกับการใช้คำว่า “การใช้เรือลากจูง” ซึ่งมีความหมายกว้างอาจทำให้ตีความสับสนต่อการร่วมทุนในกิจการท่าเรือ และการยกตู้สินค้าโดยปั้นจั่นยกตู้สินค้า คลังสินค้า โรงเก็บรักษาสินค้า ลานวางตู้สินค้า ซึ่งเป็นกิจกรรมของท่าเรือโดยตรง เพื่อหลักเลี่ยงความซ้ำซ้อน เห็นว่าไม่จำเป็นต้องแยกให้เป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็น และ (๔) อู่เรือแห้ง ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ เข้าข่ายเป็นกิจการเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นหรือไม่ และการท่าเรือแห่งประเทศไทยต้องไปดำเนินการขนส่งทางน้ำด้วยหรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 217 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2562 | กค | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติมาตรการ/โครงการ ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๖๒ และเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้ ๑.๑ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑.๑.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน ภายในกรอบวงเงิน ๑๔,๔๙๑.๔ ล้านบาท โดยให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ โดยพิจารณาจากโครงการที่ได้เคยมีมติอนุมัติไว้ ซึ่งได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และ/หรือโครงการที่มีผลการปฏิบัติงานล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำรายละเอียดให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๑.๒ เห็นชอบโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับวงเงินชดเชยดอกเบี้ย ภายในกรอบวงเงิน ๗๐๗.๗ ล้านบาท ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้สินเชื่อในแต่ละกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ รวมทั้งรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของความพร้อมของโครงการ ความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมาย การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการที่ผ่านมา การสร้างความรับรู้ ความเข้าใจของทุกภาคส่วนต่อการดำเนินโครงการ เพื่อลดความเสี่ยงของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น และความซ้ำซ้อนของการดำเนินการในแต่ละโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๑.๑.๓ รับทราบโครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาแนวทางการประเมินและบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดแรงจูงใจในการผิดนัดชำระหนี้และปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรมุ่งสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนอย่างแท้จริง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ประชาชนในพื้นที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีเงินสะสมคงเหลือที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพของคนในชุมชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงการคลังถอนมาตรการลดภาระหนี้ผู้ประกอบการ SMEs ไปเพื่อพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรพิจารณาสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ระยะที่ลูกหนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อเป็นกันชนรองรับแรงกดดันความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และสามารถปรับตัวเพื่อฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ไปประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๓ รับทราบหลักการของมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งประกอบด้วย (๑) การอนุมัติของบประมาณเพิ่มเติมตามโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และ (๒) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต ๒๕๖๒/๖๓ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของโครงการให้ชัดเจน เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการช่วยเหลือตามมาตรการดังกล่าวควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรที่เพิ่มขี้นจากประมาณการเดิม นั้น ควรได้มีการตรวจสอบในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร จำนวนครัวเรือน จำนวนผลผลิตต่อไร่ ให้ทันต่อสถานการณ์อย่างถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน และกำหนดนโยบายที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๔ เห็นชอบมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว โดยให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม รวมทั้งจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดประเภทและกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นธรรม และจัดทำรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วน ตามเงื่อนไขโครงการที่กระทรวงการคลังกำหนด และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และโอกาสในการลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) ของประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองเป็นสำคัญ การกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการในการป้องกันการซื้อเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ตลอดจนการรายงานและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี ๒๕๖๒ ในภาพรวม โดยเห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงจูงใจ (incentive structure) ในระบบเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจในระยะยาว และเตรียมพร้อมรับมือกับบริบทเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ โดยไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 218 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 219 | รายงานผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ. เรื่อง การพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท | นร10 | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. หารือร่วมกับองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการประเภทต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้กำกับของฝ่ายบริหาร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงความจำเป็น เหมาะสม และความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน เช่น การนำหลักสูตรการสอบและเกณฑ์การตัดสินการสอบผ่านการสอบวัดความรู้ความสามารถทั่วไปตามแนวทางของสำนักงาน ก.พ. ไปปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการสอบและการตัดสินการสอบผ่านฯ ของหน่วยงานตนเอง และการนำหนังสือรับรองผลการสอบผ่านฯ ของสำนักงาน ก.พ. ไปใช้แทนผลการสอบผ่านฯ ของหน่วยงานตนเองได้ เป็นต้น ๓. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดินและข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย เช่น สามารถนำหลักสูตรการสอบภาค ก ตามแนวทางของสำนักงาน ก.พ. มาปรับใช้กับการสอบแข่งขันบุคคลภายนอกวุฒิปริญญาทางสายสังคมศาสตร์ได้ แต่กรณีการรับสมัครนักเรียนนายสิบตำรวจประจำปี นักเรียนเตรียมทหาร กลุ่มคุณวุฒิพิเศษหรือขาดแคลน การบรรจุทายาทข้าราชการตำรวจซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอใช้หลักเกณฑ์วิธีการตามที่กำหนดไว้ในกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกหรือสอบแข่งขันบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ และควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดงบประมาณแผ่นดินในการจัดการสอบ ลดขั้นตอนการสรรหาบุคลากร และอำนวยความสะดวกให้กับผู้สมัคร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงาน ก.พ. เร่งรัดการพิจารณากำหนดแนวทางในการคัดเลือกบุคลากรที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบราชการ เช่น สาขาเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้กลุ่มบุคลากรดังกล่าวเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบราชการให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืนต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง ข้อเสนอการปรับปรุงโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 220 | ร่างกฎหมายลำดับรองซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 รวม 11 ฉบับ | นร | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๗ ฉบับ และเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบและร่างประกาศ จำนวน ๔ ฉบับ รวม ๑๑ ฉบับ ซึ่งเป็นการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และให้กฎหมายมีผลใช้บังคับโดยสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติหลักการ ๑.๑.๑ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกกรรมการผู้แทนคณะกรรมการลุ่มน้ำในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. .... ๑.๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ พ.ศ. .... ๑.๑.๓ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ อันเนื่องมาจากเหตุบกพร่องหรือไม่สุจริตต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือหย่อนความสามารถ พ.ศ. .... ๑.๑.๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดวัตถุประสงค์ หน้าที่และอำนาจ และการดำเนินงานขององค์กรผู้ใช้น้ำ รวมทั้งหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ พ.ศ. .... ๑.๑.๕ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนแก่บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ต้องสูญเสียน้ำที่กักเก็บไว้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. .... ๑.๑.๖ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างจากการดำเนินการเพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... ๑.๑.๗ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดค่าทดแทนการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง และชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินหรือสิ่งก่อสร้างจากการใช้ที่ดินหรือสิ่งก่อสร้าง เพื่อการป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและภาวะน้ำท่วม พ.ศ. .... ๑.๒ เห็นชอบในหลักการ ๑.๒.๑ ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการนำเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายไปวางต่อศาล หรือสำนักงานวางทรัพย์ หรือฝากไว้กับธนาคารออมสิน และวิธีการรับเงินค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหาย พ.ศ. .... ๑.๒.๒ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการสั่งให้บุคคลซึ่งกักเก็บน้ำไว้ต้องเฉลี่ยน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ พ.ศ. .... ๑.๒.๓ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดแบบบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑.๒.๔ ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ พ.ศ. .... ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงตามข้อ ๑.๑.๕-๑.๑.๗ ควรตัดข้อความที่กำหนดให้การจ่ายค่าทดแทนหรือค่าชดเชยความเสียหายให้ใช้จากเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ออก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
