ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 361 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 (ปรับปรุงใหม่) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน (Action Plan) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. รับทราบความก้าวหน้าในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน โครงการบ้านประชารัฐ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ และมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น เป็นต้น ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในส่วนของมาตรการฟื้นฟู SMEs ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้โดยเร็ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดของการใช้เงินสนับสนุนของมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) ภายใต้มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น และรายงานผลการหารือต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไขในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง (Action Plan) ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกสามเดือน ๗. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ดำเนินการใกล้สิ้นสุดโครงการแล้ว) และมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (สิ้นสุดมาตรการแล้ว) ออกจากกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ใช้ในการติดตามความคืบหน้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 362 | การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2560 | มท | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนรวบรวมปัญหา และข้อเท็จจริงเป็นฐานข้อมูลกลางให้ส่วนราชการใช้ร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ/ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น พร้อมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประจำศูนย์ฯ และแบ่งมอบหน้าที่การปฏิบัติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ๒. ให้จังหวัดประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของจังหวัด โดยให้พิจารณาประกาศพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกเป็นรายตำบลเฉพาะหมู่บ้านที่มีสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น รวมทั้งรายงานข้อมูลจำนวนราษฎรและครัวเรือนที่ประสบภัยแล้งตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และให้ประสานข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายแล้วและที่คาดว่าจะเสียหายกับสำนักงานเกษตรจังหวัด โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเป็นหลัก ๓. ให้สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้วในด้านต่าง ๆ และจัดส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกวันจันทร์ โดยเริ่มรายงานครั้งแรกในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะเข้าสู่สภาวะปกติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 363 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (เช่าที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา 20 ปี) | กษ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา ๒๐ ปี (ที่ดินของศาสนสมบัติกลาง ลออ บางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๙๖ ตารางวา) โดยองค์ประกอบคณะกรรมการประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้การกำหนดอัตราค่าเช่ามีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรม โดยเมื่อได้ผลการพิจารณาเป็นประการใดแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมประมงเจรจาต่อรองขอจ่ายค่าเช่าที่ดินในอัตราเดิมไปจนกว่าจะได้ข้อยุติ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรแล้ว และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของภารกิจและสถานที่ตั้งของหน่วยงานกรมประมง หรือการลดขนาดพื้นที่การเช่าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อจำกัดด้านงบประมาณของกรมประมง และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการประมงในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบเคียงกับอัตราการปรับเพิ่มโดยทั่วไป เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 364 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต | สธ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งจะทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราค่าใช้จ่ายและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต ให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบส่งต่อเมื่อพ้นภาวะวิกฤตในกรณีต้องย้ายกลับโรงพยาบาลรัฐ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังในประเด็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เห็นชอบให้สถานพยาบาลภาครัฐทุกแห่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ และให้สถานพยาบาลภาครัฐรับย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหลังเวลา ๗๒ ชั่วโมง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ และกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ และจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบของหน่วยงานหรือกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้รองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ฯ ได้ โดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ๔. หากมีการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย ตามข้อ ๑๒ ของหลักเกณฑ์ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๖ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๕. ในส่วนที่ขอความเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 365 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว" ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดประชุมหารือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีมติเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะให้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 366 | ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. 2560 - 2564 | ทส | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกัน ลด และควบคุมมลพิษที่มีประสิทธิผล สร้างระบบและกลไกการบริหารจัดการมลพิษที่มีประสิทธิภาพ พัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม และบุคลากรให้มีศักยภาพในการจัดการมลพิษ รวมทั้งสร้างหุ้นส่วนการมีส่วนร่วมในการจัดการมลพิษ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (๒) เพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด กำจัดของเสียและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิด และ (๓) การพัฒนาระบบการบริหารจัดการมลพิษ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี โดยเฉพาะในระยะ ๕ ปีแรก และดำเนินการตามยุทธศาสตร์ฯ และแผนการจัดการดังกล่าวต่อไป ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการปรับปรุงเป้าหมายของยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี ให้สะท้อนภาพอนาคตในระยะ ๒๐ ปี ซึ่งกำหนดว่า “การพัฒนาประเทศเป็นไปตามหลักสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Cabon Society) และไร้ของเสีย (Zero Waste)” รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายเพื่อวัดการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เนื่องจากไม่สามารถสะท้อนความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อใช้ในการติดตามประเมินผล และในส่วนของแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ หน่วยงานที่รับผิดชอบและทิศทางการดำเนินงานในระยะยาวควรมีความสอดคล้องกับโครงการ/กิจกรรมสำคัญในระยะ ๕ ปี ควรมีการกำหนดหน่วยงานสนับสนุนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมนอกจากหน่วยงานหลักเพื่อความชัดเจนในการดำเนินงานร่วมกัน และควรมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนปฏิบัติการและการดำเนินงานตามแผนจัดการดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง สำหรับงบประมาณในการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอและมีความจำเป็นเร่งด่วนก็ให้เสนอขอรับการสนับสนุนจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำข้อเสนองบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เชื่อมโยงผ่านการจัดทำแผนพัฒนาภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาจังหวัด และแผนปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมครบถ้วน รวมทั้งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงโทษและอันตรายที่เกิดขึ้นจากมลพิษต่าง ๆ หากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือและเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในปัจจุบันให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ๔. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่อง ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ ๒๐ ปี และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 367 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... | มท | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ระยะเวลา การจัดเก็บ ลักษณะการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย รวมทั้งต้นทุนและความคุ้มค่าในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย เพื่อให้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และให้ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการออกข้อกำหนดของท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ถือว่าเนื่องจากระยะเวลาการดำเนินการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นระยะเวลาเร่งรัด และการออกกฎกระทรวงนี้มีผลกระทบต่อประชาชนซึ่งสมควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ตามมาตรา ๗๗ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงให้ดำเนินการดังกล่าว และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอิสระที่จะพิจารณากำหนดอัตราการเพิ่มค่าธรรมเนียมและการลดค่าธรรมเนียมการเก็บ และขนมูลฝอย และกำจัดมูลฝอยได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ อปท. ออกข้อกำหนดของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ พร้อมกับสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในการลดและคัดแยกขยะที่ถูกต้อง ต้นทุนในการบริหารจัดการขยะ และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากมีการจัดการขยะอย่างไม่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้รับทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับอัตราค่าธรรมเนียมสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยใหม่ และมีมาตรการรองรับในกรณีที่ประชาชนบางกลุ่มอาจลักลอบนำขยะมูลฝอยไปทิ้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่รกร้างว่างเปล่า กลายเป็นปัญหาขยะสะสมในหลาย ๆ พื้นที่จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมตามมาได้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 368 | ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส | 07/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้มีบทบัญญัติสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) เพื่อให้รองรับสิทธิของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการ คุ้มครอง ดูแล รักษาหรือบำรุงทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ บางประการไปประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งให้พิจารณาความเชื่อมโยงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ากับคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ทางการค้า เพื่อควบคุม ดูแล อนุรักษ์ ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการตราพระราชบัญญัติฯ และในการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งจะต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ควรมีการเตรียมความพร้อมในการดูแลการเข้าถึงความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าตามร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีความเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 369 | การจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ | มท | 07/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอถอนข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุดที่ มท ๐๓๑๐.๓/๒๓๓๒๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ว่า “ห้ามมิให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่าย หรือมวลชนที่เรียกชื่ออื่นใดในพื้นที่ซึ่งมีคณะกรรมการหมู่บ้านปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว หากมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการในหมู่บ้านให้มอบหมายให้คณะกรรมการหมู่บ้านดำเนินการแทนหรือร่วมดำเนินการ” ออกไป ๒. เห็นชอบแนวทางการจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเพื่อความรอบคอบและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และควรพิจารณาถึงเจตนาในการจัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่ายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเป็นเครือข่ายการทำงานช่วยเหลือปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหมู่บ้านควรพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งควรจัดระเบียบมวลชน/อาสาสมัคร ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ และควรมีการสร้างกลไกที่จะควบคุมได้มาในการคัดเลือกคณะกรรมการหมู่บ้าน หรือคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 370 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | สช | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีรวมเงินเดือนเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๗๒,๘๖๑,๓๐๑,๘๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการให้เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดเพื่อให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกันบูรณาการการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณทางการแพทย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ควรพิจารณากำหนดขอบเขตบริการให้มีความชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค งบบริการฟื้นฟูสุขภาพด้านการแพทย์ และงบบริการผู้ป่วยนอกทั่วไปในงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัวที่เสนอขอ รวมทั้งพัฒนาฐานข้อมูลทั้งด้านต้นทุนการให้บริการและผลลัพธ์การให้บริการที่มีความทันสมัยเพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศในปีงบประมาณต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและพิจารณาแนวทางการบูรณาการทำงานด้านการป้องกันโรคร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ได้ โดยเฉพาะการป้องกันโรคที่จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมากในระยะยาว เช่น โรคไต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 371 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ | คค | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในบริการภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ดำเนินงานใน ๓ กิจกรรม คือ (๑) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (๒) จัดทำต้นแบบการปรับปรุงและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในสถานที่ให้บริการภาคขนส่ง และ (๓) จัดทำคู่มือการให้ความช่วยเหลือคนพิการแต่ละประเภทและผู้สูงอายุ และคู่มือแปลภาษาหรือป้ายสัญลักษณ์ภาษาสำหรับหน่วยงานที่ให้บริการภาคขนส่ง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ชัดเจนของแผนงาน/กิจกรรม และเพิ่มกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้อำนวยความสะดวกแก่คนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ของยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนดังกล่าวเป็นรูปธรรมและสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงคมนาคมดำเนินการขับเคลื่อนแผนงาน/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรมต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมประสานกับกลุ่มองค์กรหรือเครือข่ายคนพิการและผู้สูงอายุ และสมาคมวิชาชีพด้านการออกแบบเพื่อคนทุกคน เพื่อขอความร่วมมือในการดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรับไปประสานและขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดกรอบเป้าหมายและกรอบงบประมาณในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 372 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | นร01 | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยแก้ไของค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้เป็นคณะกรรมการระดับนโยบาย เพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ แก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการระงับการโฆษณา แก้ไขอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และแก้ไขให้ค่าปรับที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเปรียบเทียบความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาทิ การกำหนดให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติมีอำนาจกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศ ควรคำนึงถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคแต่ละฉบับ การดำเนินการทางอาญาต่อผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ระหว่างการใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวควรครอบคลุมไปถึงวัตถุประสงค์ที่ให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ผลิตและลดภาระเสี่ยงภัยในการบริโภคลง รวมทั้งการแก้ไของค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้เป็นคณะกรรมการระดับนโยบาย อาจมีผลกระทบต่อหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วให้แจ้งผลการดำเนินงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากกรณีการเพิ่มองค์ประกอบและการแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคใช้จ่ายและเบิกจ่ายจากรายการค่าใช้จ่ายในการอำนวยการบังคับใช้กฎหมายและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีค่าตอบแทนกรรมการต่าง ๆ รวมอยู่ด้วยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 373 | การศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ | นร11 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เขตพิเศษฯ คันไซ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๑๒ แห่ง ในจังหวัดโดยรอบ พัฒนาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์และพลังงาน และใช้เป็นเขตสำหรับทดลองการปฏิรูปกฎหมาย/ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจและใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้สะดวก โดยมีกลไกการบริหารจัดการ ๒ ระดับ ได้แก่ (๑) กลไกระดับชาติ ประกอบด้วย สภาเขตพิเศษยุทธศาสตร์แห่งชาติ (The Council on National Strategic Special Zones) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะทำงานเขตพิเศษยุทธศาสตร์ (Strategic Special Zones Working Group) ประกอบด้วยนักธุรกิจและนักวิชาการซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่เจรจากับหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขกฎหมาย และ (๒) กลไกระดับพื้นที่ มีสภาเขตพิเศษ (Zone Council) ประกอบด้วย ผู้แทนจากรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมแผนพัฒนา แผนงาน/โครงการ และขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย ๑.๒ การพัฒนาเขตพิเศษฯ คันไซ มีความใกล้เคียงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มากกว่าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยมีความคล้ายคลึงกันในด้านการออกกฎหมายใหม่เพื่อรองรับเขตพิเศษ กำหนดกิจการเป้าหมายที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และการมีกลไกการบริหารจัดการระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ๑.๓ การประยุกต์ใช้ (๑) ควรมีกลไกระดับนโยบายที่มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบ วิธีและขั้นตอนปฏิบัติของหน่วยงาน (๒) ควรมีกลไกการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ (๓) ควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในส่วนของภาคเอกชนและสถาบันการศึกษามากขึ้น และ (๔) ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและ EEC ๒. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซมาปรับใช้กับ EEC และประยุกต์ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 374 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๓,๔๐๑ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๔๒๑ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๒,๙๙๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๐๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓,๔๓๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 375 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 | มท | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการเพื่อเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาและอุปสรรคด้านการปฏิบัติการบำรุงรักษาและความปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการ ๔ เมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครนครราชสีมา เมืองพัทยา และเทศบาลนครหาดใหญ่) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินลงทุน ๑๑,๖๖๘.๕๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๒,๙๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงในพื้นที่ระบบสายใต้ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ การพัฒนาโครงการฯ ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและความเชื่อมโยงกับแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เร่งรัดดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุน เช่น กรณีโครงการนี้ของ กฟภ. ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 376 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งภาพรวมสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๑๖๒,๙๐๕ ครั้ง รวมจำนวน ๙๘,๔๖๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๘๗,๘๓๗ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๒๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๐,๖๓๒ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๘๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 377 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. .... | พม | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ กำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว การให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว การบำบัดฟื้นฟู และวิธีปฏิบัติต่อบุคคลในครอบครัว รวมทั้งกำหนดมาตรการทางสังคมเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ตลอดจนมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุด อาทิ ควรพิจารณากำหนดแนวทาง วิธีการ กลไก หรือระบบการสร้างเสริม ติดตาม ตรวจสอบ หรือกำกับการดำเนินงานภายใต้อำนาจหน้าที่ของร่างพระราชบัญญัติฯ และประสานความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ การกำหนดให้ผู้รับบริการได้รับสิทธิพิเศษจากหน่วยงานของรัฐ และสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอื่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและเหตุผลความจำเป็น และภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการรับสิทธิพิเศษดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขถ้อยคำและเพิ่มเติมข้อความบางประการในร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนเรื่องการกำหนดแนวทาง วิธีการ กลไก หรือระบบการสร้างเสริม ติดตาม ตรวจสอบ หรือกำกับการดำเนินงานภายใต้อำนาจหน้าที่ของร่างพระราชบัญญัติฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 378 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 379 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกลุ่มจังหวัด | นร12 | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินคำขอโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม โดยมีวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๔๓๓,๖๖๘,๕๓๕ บาท แยกเป็น ๑.๑.๑ บัญชี ๑ วงเงิน ๘๒,๔๗๑,๒๒๑,๔๑๙ บาท ๑.๑.๒ บัญชี ๒ วงเงิน ๒๗,๙๖๒,๔๔๗,๑๑๖ บาท ๑.๒ วงเงินคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้อีกประมาณ ๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสนอเป็นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กลุ่มจังหวัดจัดทำแผนระยะปานกลาง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐, พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) รองรับไว้ด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มจังหวัดและจังหวัดในการดำเนินโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายงบประมาณของกลุ่มจังหวัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการมอบอำนาจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 380 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) แทนตำแหน่งที่ว่าง (นางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง) | มท | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านระบบราชการในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น แทนตำแหน่งที่ว่าง เนื่องจาก นายพงศ์โพยม วาศภูติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ โดยให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ มกราคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
