ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 301 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 08/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายงานฯ และได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว เช่น ออกระเบียบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติ จัดประชุมร่วมกับผู้บริหารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานการตรวจสอบเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดทำแผนพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้ความสำคัญต่อแผนพัฒนาและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ กลุ่มจังหวัด จังหวัด เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 302 | การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง (แนวทางในการดำเนินคดีของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และแนวทางในการดำเนินคดีในศาลปกครอง กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องคดีในศาลปกครอง) | นร | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การดำเนินคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง) มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางในการดำเนินคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การยุติการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) และเห็นชอบแนวทางในการดำเนินคดีของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินคดีอาญา เมื่อมีการกระทำความผิดทางอาญาต่อราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ให้แจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ไม่สมควรว่าจ้างทนายความยื่นฟ้องคดีอาญาต่อผู้กระทำความผิดเอง และในกรณีที่หน่วยงานของรัฐดังกล่าวถูกเอกชนฟ้องเป็นคดีอาญา ให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการแก้ต่างคดี ถ้าพนักงานอัยการปฏิเสธหรือขัดข้องในการรับแก้ต่าง ให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวมีสิทธิว่าจ้างทนายความดำเนินคดีได้ ๑.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ กรณีคดีใกล้ขาดอายุความ เมื่อมีข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ ให้หน่วยงานของรัฐใช้ความระมัดระวังในการดำเนินคดีเพื่อมิให้คดีขาดอายุความหรือพ้นกำหนดเวลาฟ้องคดี และในกรณีที่ต้องมีการดำเนินการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายงบประมาณ เนื่องจากงบประมาณไม่เพียงพอ หากคดีใกล้ขาดอายุความหรือใกล้พ้นกำหนดเวลาฟ้องคดี และยังไม่สามารถส่งข้อพิพาทไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดได้ ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องจัดให้มีการรับสภาพหนี้เพื่อมิให้เกิดความเสียหายขึ้น ๑.๓ การดำเนินคดีที่ขาดอายุความ กรณีคดีขาดอายุความแล้ว แต่หน่วยงานของรัฐยังยืนยันให้พนักงานอัยการดำเนินคดีให้ทั้งที่เห็นได้ล่วงหน้าว่า หากดำเนินคดีต่อไปก็มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ กล่าวคือเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา เสียกำลังคนในการปฏิบัติงานโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งการดำเนินคดีของรัฐไม่ควรดำเนินการในลักษณะที่เอารัดเอาเปรียบเอกชนด้วยการคาดหวังว่า เอกชนอาจไม่ยกอายุความขึ้นต่อสู้คดี เพราะความไม่รู้กฎหมายหรือความหลงลืม หรืออาจขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัดพิจารณา เพราะมีผลให้การอำนวยความยุติธรรมของรัฐขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น หน่วยงานของรัฐจึงไม่ควรนำคดีที่ขาดอายุความแล้วส่งให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดหลักการและปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินคดีในศาลปกครอง กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องคดีในศาลปกครอง) และเห็นชอบแนวทางในการดำเนินคดีในศาลปกครอง กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องคดีในศาลปกครอง ดังนี้ ๒.๑ มอบอำนาจในการดำเนินคดีปกครองในนามคณะรัฐมนตรีในศาลปกครองให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ฟ้องคดี หรือผู้ถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดีถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดได้ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม เช่น การยอมรับตามที่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด หรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตลอดจนให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้นิติกรไปดำเนินการใด ๆ แทน ๒.๒ กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องคดีปกครองในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี และไม่มีหน่วยงานเจ้าของเรื่องโดยตรง ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการนำคำสั่งศาลปกครองที่ให้ทำคำให้การแก้คำฟ้องเสนอนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายมีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป โดยให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีและไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมความเห็นแล้วยกร่างคำให้การยื่นต่อศาลปกครอง และดำเนินการหรือประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อไป ๒.๓ กรณีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องคดีปกครองในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรีและไม่มีหน่วยงานหรือผู้รับผิดชอบโดยตรง ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการนำคำสั่งศาลปกครองที่ให้ทำคำให้การแก้คำฟ้องเสนอนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายมีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ทั้งนี้ ให้ประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมความเห็นแล้วยกร่างคำให้การยื่นต่อศาลปกครอง และดำเนินการหรือประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 303 | มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นเนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต | ปช | 24/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอแนะเรื่อง มาตรการการบังคับใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น เนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันเกี่ยวกับการแก้ไขความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนและการกระทำความผิดของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถกระทำได้ในทุกกรณี แม้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติม “การไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต” กำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 304 | รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ 2560 | อื่นๆ | 17/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการสร้างหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (๑) ประชากรผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ๔๘.๘๐ ล้านคน ลงทะเบียนแล้ว ๔๘.๑๑ ล้านคน (ร้อยละ ๙๙.๙๓) (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) (๒) คุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข มีหน่วยบริการขึ้นทะเบียนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกอบด้วย หน่วยบริการปฐมภูมิ ๑๑,๕๗๘ แห่ง หน่วยบริการประจำ ๑,๓๒๕ แห่ง และหน่วยบริการรับส่งต่อ ๑,๓๓๒ แห่ง (๓) การคุ้มครองสิทธิ รับเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ และประสานส่งต่อผู้ป่วยผ่านช่องทางต่าง ๆ ๗๖๔,๘๘๗ เรื่อง ช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้รับบริการ ๖๖๑ คน (๔) การมีส่วนร่วมในการพัฒนาจากท้องถิ่น มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น ๗,๗๓๖ แห่ง จากทั้งหมด ๗,๗๗๖ แห่ง และ (๕) การสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติทุกคน ทุกสิทธิสามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญา โดยไม่ต้องถูกถามสิทธิและไม่ต้องสำรองจ่ายล่วงหน้า ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน เช่น ความต้องการรับบริการสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อความแออัดของหน่วยบริการ ความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ต้องขัง และพระภิกษุ ความแตกต่างระหว่างระบบการประกันสุขภาพภาครัฐ การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเทคโนโลยีใหม่ ๆ (วัคซีน ยาใหม่ บัญชีนวัตกรรม) ภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ เป็นต้น ๓. รายงานทางการเงินประจำปี ๒๕๖๐ ผลการดำเนินงานของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) มีค่าใช้จ่ายรวมสูงกว่ารายได้รวม เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการให้บริการสาธารณสุขสูงกว่างบประมาณที่ได้รับจากค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัว ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ และค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง รวมทั้งจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการรักษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 305 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 10/04/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว โดยการพัฒนาตลาดตราสารหนี้เป็นหน้าที่โดยตรงของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศจะพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดการเงินในแต่ละช่วงเวลา โดยมีกลไกการกำกับติดตาม และประเมินสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับการบริหารการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงได้มีการกำหนดกระบวนการกำกับดูแลการก่อหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างรอบคอบรัดกุม ทั้งการกำกับดูแลจากหน่วยงานกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ซึ่งผ่านกลไกทางกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน (กฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กฎหมายจัดตั้งท้องถิ่น มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ของกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้อง) รวมทั้งกฎหมายที่จะตราขึ้นในอนาคต (ร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ซึ่งได้กำหนดมาตรการกำกับดูแลการก่อหนี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้อย่างครบถ้วน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 306 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | กค | 27/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขเพื่อใช้เป็นกรอบวินัยในการกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรกำหนดมาตรการการกำกับดูแลและการควบคุมระดับหนี้ของ อปท. ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและจำเป็นตามภารกิจ และควรเพิ่มเติมเงื่อนไขในร่างระเบียบฯ ในกรณีที่ อปท. กู้เกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางการคลัง รวมทั้งเพิ่มเติมการจัดส่งข้อมูลการเบิกจ่ายเงินกู้ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและสำนักงานการบริหารหนี้สาธารณะ และให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและ อปท. มีการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามร่างระเบียบฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับ อปท. และสาธารณชนทราบเกี่ยวกับการก่อหนี้ การบริหารหนี้ และการกำกับดูแลหนี้ของ อปท. ซึ่งไม่ถือเป็นหนี้สาธารณะตามนิยามของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 307 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการจัดทำความร่วมมือในกรอบความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ให้มีความคืบหน้าโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งพิจารณาการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) ให้ชัดเจนโดยเร็วด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการกำหนดแนวทางพัฒนาพื้นที่และการดำเนินกิจการต่าง ๆ ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้พิจารณาความเหมาะสมด้านการลงทุน ทั้งการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน และการลงทุนของภาคเอกชนฝ่ายเดียว รวมทั้งการนำเรื่องที่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐไปดำเนินการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษด้วย เช่น เรื่อง Smart Farmer เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดรายละเอียดและหลักเกณฑ์ในการดำเนินการ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะได้รับให้ชัดเจน และให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกในครั้งต่อไปด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เป็นผู้รับผิดชอบหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำสรุปผลงานต่าง ๆ ของรัฐบาลที่สำคัญในรูปแบบวีดิทัศน์เพื่อใช้ในการสร้างการรับรู้แก่สาธารณชนให้ถูกต้องต่อไป โดยให้เร่งจัดทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ ในการดำเนินการดังกล่าวให้หารือรายละเอียดและประสานการดำเนินงานกับรองนายกรัฐมนตรีท่านอื่น ๆ ด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน รวมถึงกองทุนออมทรัพย์อื่น ๆ ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือต้องนำมาตรการทางกฎหมายมาใช้บังคับให้หารือรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ก่อนดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๓ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ ๒๐๑๘ ณ นครซิดนีย์ เครือรัฐออสเตรเลีย เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๑ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๓.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการจัดการศึกษาของออสเตรเลียเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการศึกษาของไทย เช่น การจัดการศึกษาทางเลือกโดยการศึกษาอยู่กับครอบครัว (Home School) การกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เพื่อใช้เทียบระดับกับการศึกษาปกติ การคัดแยกผู้เรียนตามความถนัดที่มีอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นศึกษา เป็นต้น เพื่อให้สามารถสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพของผู้เรียนต่อไป ๒.๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนราชการในระดับท้องถิ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาด้านการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยต่อไป ๒.๓.๓ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดของรูปแบบการตั้งด่านตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ยานพาหนะของออสเตรเลียซึ่งมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีความรวดเร็ว และประชาชนให้ความร่วมมือในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เป็นอย่างดี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงกระบวนการดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒.๓.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงแรงงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดูแลคนไทยที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลีย คนไทยที่ประกอบการร้านอาหารไทย และแรงงานไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและตอบสนองต่อข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ ๒.๓.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลียเพื่อจัดทำความร่วมมือด้านการค้าสินค้าทางการเกษตรให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เช่น การขายข้าวพันธุ์ กข ๔๓ เป็นต้น ๒.๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาแนวทางการบริหารจัดการของออสเตรเลียบริเวณอ่าวซิดนีย์ (Sydney Harbour) ที่มีการจัดระเบียบพื้นที่ริมอ่าวอย่างสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำในแม่น้ำไม่เน่าเสีย รวมทั้งมีสถานที่ท่องเที่ยว เช่น โรงอุปรากรซิดนีย์ (Sydney Opera House) และสะพานซิดนีย์ฮาเบอร์ (Sydney Harbour Bridge) ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากร้านอาหารในบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมกับโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันอย่างเหมาะสมด้วย ๒.๔ เพื่อให้การดำเนินโครงการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก (SAP) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นประโยชน์สูงสุด ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เร่งนำเรื่องนี้เสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างพิจารณาโดยด่วน ก่อนดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 308 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 และข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน | มท | 13/03/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ในช่วงการรณรงค์เทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๑ ระหว่างวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๐-๓ มกราคม ๒๕๖๑ (รวม ๗ วัน) เปรียบเทียบกับปี ๒๕๖๐ พบว่า จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุลดลงร้อยละ ๑.๔๙ ผู้บาดเจ็บลดลงร้อยละ ๑.๕๕ ผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๑.๕๑ จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ จังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี และรถที่เกิดเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์ รองลงมา คือ รถปิคอัพ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ได้มีข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนน เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมวินัยจราจร การสร้างการรับรู้ของประชาชนในประเด็น “ดื่มไม่ขับ ไม่ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และการใช้อุปกรณ์นิรภัยในระหว่างการเดินทาง” ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทาง อย่างจริงจังและต่อเนื่อง (๒) การสนับสนุนงบประมาณ บุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เพียงพอ รวมถึงส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ประกอบการบังคับใช้กฎหมาย เช่น เครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ เครื่องตรวจจับความเร็ว (๓) ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัด ผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครบทุกพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยทางถนนตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ และความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้มีกฎหมายคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของโรงพบาบาลให้สามารถเก็บตัวอย่างเลือดผู้ขับขี่ทุกรายที่เข้ามาทำการรักษาในโรงพยาบาลได้โดยเร็ว รวมทั้งกำหนดระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจวัดที่ชัดเจน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนเป็นรายไตรมาส เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับผลการดำเนินการในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องและพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ เช่น ทางด่วน ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท ถนนในเขตชุมชน เป็นต้น ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการสัญจรในแต่ละกรณีต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตั้งป้ายกำหนดความเร็วของยานพาหนะในสายทางต่าง ๆ ดังกล่าวให้ชัดเจนและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 309 | ความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี 2559 | พม | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๕๙ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและกฎหมาย รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลต่อพื้นที่มากกว่าหนึ่งจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๔ ประเด็นใหญ่ ๆ คือ ๑) การพัฒนาระบบการเกษตร ๒) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๓) การพัฒนาสังคม ๔) การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ ๑.๒ รับทราบสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบและข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไขเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ ได้แก่ ๑) ปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าถ่านหิน ๒) การจัดการปัญหาขยะและปัญหาขยะในทะเล ๓) ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วม ๔) ปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ๒. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ผลและความคืบหน้าการดำเนินการให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มกระทรวงมหาดไทยในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมบทบาทและเสริมสร้างศักยภาพของสภาองค์กรชุมชนตำบล ควรเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลการดำเนินการของโครงการจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ควรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ที่มีส่วนได้เสียอย่างน้อย ๒ ครั้ง โดยกำหนดเป็นข้อบังคับว่าในการรับฟังความคิดเห็นแต่ละครั้งจะต้องมีองค์ประกอบของที่ประชุมเป็นไปในลักษณะคณะกรรมการร่วม ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาองค์กรชุมชนตำบล ผู้นำท้องที่ ภาคประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเจ้าของโครงการ ควรให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านการเกษตร ให้มีการบูรณาการและการนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาบริหารจัดการปัญหาต่าง ๆ และควรประมวลความคืบหน้าอย่างเป็นระบบเพื่อทราบความก้าวหน้าการขับเคลื่อนงานที่สอดคล้องตามข้อเสนอ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 310 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "บุคลากรในกระบวนการดูแลผู้สูงอายุ" ของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “บุคลากรในกระบวนการดูแลผู้สูงอายุ” โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะดังนี้ ๑) ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย ได้แก่ ๑.๑) บุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรสนับสนุนทางการแพทย์ และ ๑.๒) ผู้ดูแลผู้สูงอายุ แบ่งออกเป็น ๑.๒.๑) มาตรฐานหลักสูตร ๑.๒.๒) มาตรฐานการประกอบอาชีพและเส้นทางอาชีพ และ ๒) ข้อเสนอแนะด้านกฎหมาย ได้แก่ ๒.๑) ผู้ดูแลผู้สูงอายุ และ ๒.๒) ผู้ประกอบอาชีพรับดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ว่า ประเด็นส่วนใหญ่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยและได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว ยกเว้นในประเด็นการแก้ไขกฎหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ทั้งด้านการส่งเสริมดูแลและสงเคราะห์ผู้สูงอายุ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยเห็นว่ากฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ให้อำนาจหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายแต่อย่างใด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 311 | รายงานผลการทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ (Out-of-Cycle Review of Notorious Markets) ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) | พณ | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงประจำปี ๒๕๖๐ (2017 Out-of-Cycle Review of Notorious Markets) ซึ่งสหรัฐอเมริกา โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (United States Trade Representative : USTR) ได้ทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงประจำปี ๒๕๖๐ ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิด (Physical Markets) และตลาดออนไลน์ (Online Markets) โดยในปีนี้ไม่ปรากฏชื่อย่านการค้าหรือศูนย์การค้าในประเทศไทยเป็น Notorious Markets ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองทัพบก กองทัพเรือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และกรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไป ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิด (Physical Markets) ตลาดออนไลน์ (Online Markets) รวมทั้งการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่น ได้แก่ การละเมิดลิขสิทธิ์รายการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก และการผลิต นำเข้า จำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่าย หรือรับติดตั้งกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ๒.๒ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น สอดส่องดูแลไม่ให้มีการจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่ของตน และหากพบการจำหน่ายสินค้าละเมิด ให้พิจารณาดำเนินมาตรการทางปกครองตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบและเจ้าของอาคารสถานที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเฝ้าระวัง ให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปราม ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่เดิมอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบจำหน่ายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา เจ้าของอาคารสถานที่ และเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจะต้องประสานการปฏิบัติอย่างใกล้ชิดร่วมมือกันในการป้องกันมิให้มีการซื้อขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ รวมทั้งใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 312 | ความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติ ของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี 2560 | พม | 27/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็น ข้อเสนอแนะ และสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบ ของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและกฎหมาย รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีผลต่อพื้นที่มากกว่าหนึ่งจังหวัด ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ๗ ประเด็นใหญ่ ๆ คือ ๑) สิทธิชุมชนกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒) ผลกระทบจากการใช้พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ ๓) ผลกระทบจากพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และฉบับเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔) การแก้ปัญหายางพารา ๕) การจัดการปัญหาที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรม ๖) สังคมไทยกับการพัฒนาระบบรองรับสังคมสูงวัย ๗) ความมั่นคงทางอาหารต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ๑.๒ รับทราบสรุปปัญหาที่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ประสบและข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไขเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ ได้แก่ ๑) การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ๒) ปัญหาผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ๓) ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ๔) ปัญหาผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และถนนมอเตอร์เวย์ ๒. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ผลและความคืบหน้าการดำเนินการให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันด้วย ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าในประเด็นการขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนแก่ประชาชนที่ยังไม่ดำเนินการขออนุญาตการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาอนุญาต ควรกำหนดให้มีองค์ประกอบจากหลายภาคส่วน ได้แก่ เจ้าหน้าที่รัฐ ผุ้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาชน สภาองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมท้องถิ่น ท้องที่ เพื่อร่วมให้ความเห็นในการพิจารณาต่อสิ่งล่วงล้ำลำน้ำ สำหรับประเด็นการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก ควรรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความเหมาะสม และจัดทำมาตรการเพื่อผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป และสำหรับประเด็นปัญหาผลกระทบจากการก่อสร้างรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง และถนนมอเตอร์เวย์ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกำหนดอัตราค่าชดเชยให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและควรคิดคำนวณรวมค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในระหว่างการรื้อย้ายให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบรวมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 313 | ร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร01 | 13/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้กรมศิลปากรถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการและดูแลบำรุงโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้รายได้และค่าธรรมเนียมจากการเข้าชมโบราณสถานเหล่านั้นตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับร่างมาตรา ๘/๑ ซึ่งกำหนดให้อธิบดีกรมศิลปากรมีอำนาจสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระงับการดำเนินการใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานอย่างร้ายแรงนั้น ควรพิจารณาอำนาจการดำเนินการดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับหลักการของการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร เช่น การกำหนดบทนิยามในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สอดคล้องกับกฎหมายฉบับอื่น รวมทั้งการกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถขอรับการสนับสนุนบุคลากรและงบประมาณจากกรมศิลปากรและกองทุนโบราณคดีเพื่อดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และกรุงเทพมหานครที่เห็นว่า กรมศิลปากรควรมีแผนเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ และต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและร่วมกันกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการตลอดระยะเวลาของการสร้างความพร้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองซึ่งต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 314 | มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น | อื่นๆ | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ โดยมาตรการดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้
๑. กำหนดประเภทกิจการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาคการเกษตรเป็นกิจการที่จะให้การส่งเสริมตามมาตรการพิเศษนี้ เช่น กิจการผลิตปุ๋ยชีวภาพ กิจการปรับปรุงพันธุ์พืชหรือสัตว์ กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ กิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร เป็นต้น ๒. กรณีผู้ประกอบการที่ลงทุนในกิจการด้านการเกษตร ๒.๑ เงื่อนไข จะผ่อนปรนเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำของโครงการ โดยลดจาก ๑ ล้านบาท เหลือเพียง ๔ แสนบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และผ่อนปรนให้นำเครื่องจักรใช้แล้วในประเทศมาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้บางส่วน ๒.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา ๕-๘ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๒๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ๓. กรณีผู้ประกอบการที่สนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับท้องถิ่น เพื่อดำเนินการในกิจการด้านการเกษตร ๓.๑ เงื่อนไข เงินลงทุนขั้นต่ำของแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า ๑ ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และต้องมีความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชนในท้องถิ่น ๓.๒ สิทธิและประโยชน์ ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรายได้จากกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมเป็นระยะเวลา ๓ ปี เป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ ๑๐๐ ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ที่จ่ายจริงในการสนับสนุนหรือร่วมดำเนินการกับองค์กรท้องถิ่นเพื่อตั้งโรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น ค่าก่อสร้างโรงงาน และค่าเครื่องจักร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 315 | เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ | ทส | 06/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ ประเภทถ้ำ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ ประกอบด้วย (๑) ปัจจัยชี้วัด เพื่อแสดงถึงคุณภาพของสภาวะแวดล้อมด้านต่าง ๆ รวม ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านองค์ประกอบของระบบถ้ำและสิ่งแวดล้อม ด้านองค์ประกอบภูมิสถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม ด้านผลผลิตจากการบริการสิ่งแวดล้อมของถ้ำ และด้านการบริหารจัดการ และ (๒) ระดับเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กำหนดเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับสูงหรือดี คือ ไม่มีผลกระทบหรือมีระดับผลกระทบน้อย ระดับปานกลาง คือ มีระดับผลกระทบปานกลาง และระดับต่ำ คือ มีระดับผลกระทบมากหรือรุนแรง ๒. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ และมอบหมายให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่แหล่งธรรมชาติ ประเภทถ้ำ ทำการประเมินตามเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ เป็นประจำทุกปี โดยมีสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานประสานกลางให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำเกณฑ์การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ ประเภทถ้ำ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 316 | ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | กค | 23/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบการจอดรถในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบการจอดรถยนต์ในเขตเทศบาลและสุขาภิบาลเพื่อให้มีผลใช้บังคับถึงองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำรายงานการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจอดรถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแจ้งหรือเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้พิจารณาการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและเงินค่าปรับตามร่างพระราชบัญญัติฯ ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับศักยภาพและความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงผลกระทบของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 317 | การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 - 2564 | ปช | 23/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือและเข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA)ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔ โดยใช้แนวทางและเครื่องมือการประเมินตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนด ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการให้ความสำคัญกับการประเมิน ITA และนำผลการประเมินไปปรับปรุงพัฒนาตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ให้หน่วยงานกำกับดูแลส่วนราชการพิจารณานำผลการประเมิน ITA ไปประกอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในขอบเขตความรับผิดชอบ ๒. สำหรับการประเมิน ITA ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้หน่วยงานที่รับการประเมินเข้าร่วมการบูรณาการกับสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อปรับปรุงแนวทางและเครื่องมือการประเมินให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ให้สำนักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ป.ป.ท. เช่น ควรพิจารณาเกณฑ์การประเมิน ITA ให้สอดคล้องตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่รับการประเมิน อาทิ เกณฑ์การประเมิน ITA สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบในระดับนโยบาย และเกณฑ์การประเมิน ITA สำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบงานในระดับภูมิภาค และควรมีการพัฒนาเครื่องมือการประเมิน ITA ที่จะใช้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการบูรณาการประเด็นประเมินที่เป็นเรื่องที่แต่ละหน่วยงานมีการประเมินอยู่แล้ว รวมทั้งการนำผลประเมินไปปรับปรุงพัฒนาหน่วยงานของตนเองด้านคุณธรรมและความโปร่งใส ควรกำหนดเป็นเกณฑ์การประเมินอีกหัวข้อหนึ่ง เพื่อเป็นการเน้นย้ำและกระตุ้นเตือนถึงความสำคัญและทิศทางในการพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสของหน่วยงาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ให้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบการประเมินใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้วตามแผนบูรณาการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำนวน ๑๖,๐๒๔,๗๐๐ บาท และแผนบูรณาการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รายการเงินอุดหนุนสำหรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๒๕๑,๒๖๔,๐๐๐ บาท หากไม่เพียงพอให้หน่วยงานปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในโอกาสแรก ส่วนงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม และจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 318 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ | นร09 | 23/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๔) ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๕) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ (๖) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการสอบสวนการกระทำความผิดของสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และการกระทำอันเป็นการต้องห้ามของสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งความเห็นมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว และคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้นำความเห็นของกระทรวงมหาดไทยมาประกอบการพิจารณาจัดทำร่างกฎหมายทั้ง ๖ ฉบับแล้ว รวมทั้งได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรอความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 319 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541) | กค | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่สถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐ สภากาชาดไทย และสถานพยาบาลอื่นที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด สำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๓ วรรคสาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนตามหลักการที่จะยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานพยาบาลภาครัฐเท่านั้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าวให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 320 | แนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง | ทส | 16/01/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ที่คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่งประกอบด้วย ๔ แนวทาง คือ (๑) การปรับสมดุลชายฝั่งโดยธรรมชาติ (๒) การป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง (๓) การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และ (๔) การฟื้นฟูเสถียรภาพชายฝั่ง และมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เร่งการจัดทำแผนแม่บทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะกลางในลักษณะบูรณาการเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแนวทางการปฏิรูประบบการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งดำเนินการเชิงรุกในการเผยแพร่แนวทางการจัดทำงานแผนงาน/โครงการฯ และขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานให้คำแนะนำแก่จังหวัด กลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องบูรณาการจัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยให้จัดทำเป็นแผนงาน/โครงการให้มีความชัดเจน จัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่จะดำเนินการ โดยให้เริ่มดำเนินการในพื้นที่ที่ประชาชนให้ความร่วมมือและไม่มีปัญหาข้อคัดค้านใด ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนงาน/โครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งดังกล่าว ให้ส่วนราชการเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
