ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 102 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 2039 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 381 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 | มท | 27/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ชื่อในการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ๒. ช่วงเวลาการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ช่วงการรณรงค์และเสริมสร้างวินัย ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙-๔ มกราคม ๒๕๖๐ ๓. เป้าหมายการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนเดินทางสัญจรอย่างปลอดภัยและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน ๔. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มี ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านคน ด้านถนน ด้านยานพาหนะ และด้านสภาพแวดล้อม ๕. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บลดลงให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 382 | ขอความเห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาสถาบันครอบครัวของหน่วยงานต่าง ๆ โดยมี ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ พัฒนาศักยภาพของครอบครัว สร้างหลักประกันความมั่นคงของครอบครัว การบริหารจัดการที่เอื้อต่อความเข้มแข็งของครอบครัว ส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายทางสังคมเพื่อพัฒนาครอบครัว และพัฒนากระบวนการสื่อสารสังคมเพื่อพัฒนาครอบครัว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ปรับข้อความและเพิ่มเติมรายละเอียดบางส่วนในประเด็นยุทธศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มเติมให้มีการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานภายใต้แต่ละยุทธศาสตร์ ตลอดจนกำหนดแนวทางการปฏิบัติ ตัวชี้วัดผลผลิตและผลลัพธ์ในการดำเนินงานของแต่ละยุทธศาสตร์ให้สามารถประเมินและติดตามผลได้อย่างเป็นรูปธรรม บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการทั้งในกระทรวง ต่างกระทรวง หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัวบรรลุผลตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ ควรมีการออกแบบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศให้เชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นศูนย์กลางด้านครอบครัวได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อแผนยุทธศาสตร์ประกาศใช้แล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 383 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวบรวมงบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียนรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๒๘๑ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๔๔ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ โดย ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด โดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงาน และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลรายงานการเงินของแต่ละหน่วยงานที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ไว้ในระบบรายงานการเงินรวมภาครัฐ (ระบบ CFS) ๑.๒.๒ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งเป็นประจำทุกปี และกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้การจัดทำและนำเสนอรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความถูกต้อง ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ ให้มีมาตรการส่งเสริมให้องค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก นำเงินสดส่วนเกินที่ฝากธนาคารพาณิชย์มาฝากกระทรวงการคลัง เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารฐานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ ๑.๒.๔ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้มีการนำเงินสะสมที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหรือดำเนินงานบริการสาธารณะในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานหรือรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่าย โดยเร่งดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่ได้รับอนุมัติและจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 384 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | มท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยได้จัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมเหลืออยู่เพียงพอ ให้ อปท. พิจารณานำเงินสะสมที่มีอยู่ไปใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรัง เช่น สิ่งสาธารณประโยชน์ขาดแคลน ชำรุด เป็นต้น ๑.๒ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมไม่เพียงพอ อปท. อาจขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากรัฐบาลตามมาตรการ Matching Fund ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (กรอบวงเงินดำเนินการไม่เกิน ๑๙,๗๙๕ ล้านบาท) โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ เช่น (๑) โครงการต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในข้อบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๐ ของ อปท. และ (๒) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจ่ายสมทบและเงินสมทบของ อปท. ในสัดส่วน ๑ : ๑ เป็นต้น ๒. โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ๒.๑ เป็นโครงการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น หรือโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็กกำพร้า หรือผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เป็นต้น ๒.๒ โครงการที่จัดทำจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการท่องเที่ยว ศึกษาดูงาน หรือการแจกวัสดุสิ่งของ ๒.๓ โครงการดังกล่าวใช้เงินสะสมของ อปท.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 385 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนตำบล สภาเด็กและเยาวชนเทศบาล สภาเด็กและเยาวชนเขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกระดับมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนงานของสภาเด็กและเยาวชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในร่างมาตรา ๖ วรรคสอง (๔) เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กพิการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้ได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือใดทางการศึกษา ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งได้กำหนดเรื่องสิทธิของคนพิการ และหน้าที่ของสถานศึกษา ในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการไว้ตามพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้น การกำหนดแนวทางการดำเนินการเรื่องดังกล่าวควรคำนึงถึงความสอดคล้องของกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาไปพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ทันภายในกำหนดเวลาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 386 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ - เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด - บ้านแม่เจดีย์ | คค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ โดยให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัด และพิจารณาจัดทำทางลอดทางข้ามสำหรับสัตว์ป่าในบริเวณที่เหมาะสม โดยประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการกำหนดรูปแบบที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้าง และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ การสร้างรั้วกั้น ทางลอด ในช่วงที่ผ่านอุทยานแห่งชาติขุนแจ นอกจากนี้ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายงาน EIA หรือขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นทั้งเส้นทางก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมถือเป็นหลักปฏิบัติว่า การออกแบบและการก่อสร้างหรือขยายถนนต้องมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองข้างทางน้อยที่สุด ต้องหลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือใช้วิธีการเคลื่อนย้ายต้นไม้ไปปลูกบริเวณริมทางที่มีการก่อสร้างหรือขยายขึ้นใหม่ เพื่อคงสภาพสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์เดิมไว้ให้มากที่สุด รวมทั้งการปลูกไม้ยืนต้นทดแทนอย่างจริงจัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 387 | รายงานประจำปี 2558 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๘ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญแบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ ก.ก.ถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ ก.ก.ถ. ได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญก่อนที่จะเสนอ ก.ก.ถ. พิจารณา รวมทั้งอำนาจหน้าที่และบทบาทภารกิจของสำนักงาน ก.ก.ถ. ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมของ ก.ก.ถ. (๒) การกระจายอำนาจด้านการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ให้แก่ อปท. (๓) การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ (๔) การแก้ไขกฎหมาย (๕) การส่งเสริมการบริหารงานท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๓. ส่วนที่ ๓ การเสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ๔. ส่วนที่ ๔ ภาคผนวก ประกอบด้วย กฎหมาย คำสั่ง และประกาศที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ได้แก่ คำสั่ง ก.ก.ถ. แต่งตั้งคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการ ประกาศ ก.ก.ถ.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 388 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. การเตรียมการรองรับประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้าถวายบังคมพระบรมศพ ดังนี้ ๑.๑ ให้ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจัดระเบียบการดำเนินการทุกกิจกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเรื่องการบริการอาหารและเครื่องดื่ม การดูแลไม่ให้มีการนำสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาแจกจ่ายให้ประชาชนไปจำหน่ายต่อ การรักษาความสะอาด การกำจัดขยะ และการรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการโดยละมุนละม่อม ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหาที่พักชั่วคราวแก่ประชาชนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกเหนือจากบริเวณสนามหลวง เช่น บริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และจัดรถรับส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการจราจรด้วย ๑.๓ บริเวณจุดพักคอยสำหรับประชาชนบริเวณสนามหลวงที่ได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลการดำเนินการของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปพร้อมกันด้วย เพื่อสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำรวจความต้องการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรของเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น และให้การสนับสนุนเครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวตามลำดับความพร้อมในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องมือเครื่องจักรกลดังกล่าว นั้น ให้ขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวจัดตั้งโรงสีของตนเองขึ้นในพื้นที่ด้วย เพื่อลดต้นทุนการผลิต และให้มีการประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการตามข้อสั่งการและรายงานนายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. การบริหารจัดการน้ำบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึงอ่าวไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำ เช่น จังหวัดอ่างทอง จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ และดูแลประชาชนให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวน้อยที่สุด รวมทั้งสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ด้วย ๓.๒ ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการขุดลอกคูคลองต่าง ๆ เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้น รวมทั้งเร่งสำรวจและพิจารณาความเป็นไปได้ในการขุดคลองแห่งใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ในการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย ทั้งนี้ ให้ควบคุมดูแลการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ด้วย ๓.๓ ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้ดำเนินการตามข้อ ๓.๒ โดยอาจขอความร่วมมือจากภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันปรับปรุงกระบวนงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) เช่น การเริ่มประกอบธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การบริการไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน การเข้าถึงสินเชื่อ การคุ้มครองนักลงทุน การจ่ายและการคืนภาษี การค้าขายข้ามแดน การดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา การล้มละลาย กฎหมาย และระเบียบที่โปร่งใส ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. ร่วมกันกำหนดตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายการดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นสากล โดยอย่างน้อยต้องกำหนดให้อันดับของประเทศไทยใน Ease of Doing Business สูงขึ้นทุกปี ๕. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่เสนอขอเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการต่อคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาทบทวนการเสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและปริมาณภารกิจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดจ้างผู้มีคุณวุฒิพิเศษมาดำเนินภารกิจเฉพาะ รวมทั้งการจ้างพนักงานราชการเพื่อทดแทนการบรรจุข้าราชการด้วย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับ คปร. พิจารณากำหนดกรอบอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐทุกประเภทให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจในอนาคต รวมทั้งปรับปรุงวิธีการสรรหาบุคลากรภาครัฐ โดยให้มีการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาปฏิบัติงานเต็มเวลาหรือไม่เต็มเวลา (part time) ในช่วงระยะเวลาที่กำหนดตามความจำเป็นของภารกิจ สำหรับการจัดสรรอัตราว่างจากการเกษียณอายุของข้าราชการในแต่ละปี ให้พิจารณากำหนดสัดส่วนการรับบุคลากรภาครัฐที่เป็นข้าราชการประจำกับผู้มีคุณวุฒิพิเศษหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้สอดคล้องกับกรอบอัตรากำลังที่กำหนดข้างต้นด้วย และให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ๖. การจัดงานแสดงสินค้า การประชุม การพบปะหารือกับผู้นำต่างประเทศต่าง ๆ ให้ส่วนราชการผู้รับผิดชอบหรือเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วยว่า ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ใดจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย เช่น เป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้า การเพิ่มรายได้ เป็นต้น ๗. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ใช้กลไกการจัดทำประชาคมเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดและการดำเนินการโครงการหรือกิจกรรมเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำและดำเนินโครงการอย่างจริงจังด้วย โดยการทำประชาคมและรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวนั้น ให้กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง และให้ถือว่าการจัดทำประชาคมและการรับฟังความคิดเห็นเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการในทุกโครงการและกิจกรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 389 | ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง | กต | 25/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ (Sustainable Development Goals 2030 : SDGs) ทั้ง ๑๗ เป้าหมาย และ ๑๖๙ เป้าประสงค์ โดยมีปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) เป็นแนวทาง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ทุกส่วนราชการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในทุกกระบวนการ โดยการจัดทำงบประมาณจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักความมีเหตุผล หลักความพอเพียง ประหยัดคุ้มค่า ความจำเป็นตามสถานการณ์ปัจจุบัน และแผนแม่บทระยะ ๕ ปี/๒๐ ปี ที่คำนึงถึงการคาดการณ์ในอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล นโยบายความมั่นคง แผนแม่บทด้านต่าง ๆ ให้มีการบูรณาการตามภารกิจและงบประมาณใน ๓ มิติ ประกอบด้วย มิติยุทธศาสตร์ (Agenda) และมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) ที่จะต้องบูรณาการร่วมกับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในมิติพื้นที่ (Area) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและพัฒนาในระดับพื้นที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะนำไปสู่ความมีวินัยด้านการเงินการคลัง สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง (SEP for SDGs) ให้สอดคล้องกับแผนงานในภารกิจหลักของหน่วยงานระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) แผนปฏิบัติการระยะ ๕ ปี และ ๑ ปี และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ สำหรับแผนงาน/โครงการ ปี ๒๕๖๐ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อเป็นการสานต่อพระราชปณิธานและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 390 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เหลืออัตราร้อยละ ๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตัดการอ้างมาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๑ ประกอบกับข้อ ๒ (๗) (ฎ) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ออก เนื่องจากการออกประกาศในครั้งนี้มิใช่การกำหนดให้เรียกเก็บหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมซึ่งต้องเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และเห็นควรลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้ผู้ทำนิติกรรมซึ่งมีฐานะยากจนมีหน้าที่ต้องชำระ โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้ยากจนที่จะได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้ชัดเจน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีศักยภาพเพียงพอในการชำระค่าธรรมเนียมฯ ควรจะชำระตามอัตราเดิมที่กำหนด เพื่อให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำเงินที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือพัฒนาท้องที่ต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 391 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย - เมียนมา ครั้งที่ 30 | กห | 18/10/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๐ (The 30th Myanmar-Thailand Regional Border Committee Meeting : RBC-30) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๙ ณ จังหวัดเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีพลโท มินหน่อง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานฝ่ายเมียนมา และพลโท สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล แม่ทัพภาคที่ ๓ เป็นประธานฝ่ายไทย มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. เรื่องเพื่อทราบ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมกลไกความร่วมมือคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นตามบริเวณพื้นที่ชายแดน (๒) การแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นำในระดับสูงไทย-เมียนมา และ (๓) ความคืบหน้าในการแก้ไขบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพเมียนมาในการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา ได้แก่ (๑) มาตรการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน (๒) ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน (๓) ความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติด (๔) ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน (๕) ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดน (๖) ความเคลื่อนไหวชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ/กลุ่มต่อต้านในพื้นที่ชายแดน (๗) เรื่องอื่น ๆ เช่น การอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดน ความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่การค้าชายแดน และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตากกับรัฐกะเหรี่ยง และ (๘) การกำหนดวันที่และสถานที่ของการประชุมคณะกรรมการ RBC-31 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่ประเทศไทย สำหรับวันที่และสถานที่จะแจ้งให้ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 392 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) (จำนวน 5 คน 1. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ฯลฯ) | มท | 27/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีแล้ว เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ กันยายน ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ด้านการบริหารงานท้องถิ่น ๒. นายวสันต์ วรรณวโรทร ด้านการบริหารงานบุคคล ๓. นายพงศ์โพยม วาศภูติ ด้านระบบราชการ ๔. นายธวัชชัย ฟักอังกูร ด้านบริหารและการจัดการ ๕. นายนิรวัชช์ ปุณณกันต์ ด้านกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 393 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นในส่วนของพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างประจำให้เป็นไปตามระบบจำแนกตำแหน่ง เป็นประเภทและสายงานตามลักษณะงาน (ระบบแท่ง) ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 394 | แผนปฏิบัติการ "ประเทศไทย ไร้ขยะ" ตามแนวทาง "ประชารัฐ" ระยะ 1 ปี (พ.ศ. 2559 - 2560) | ทส | 20/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทย ไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแผนปฏิบัติการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำและใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแผนงานบูรณาการการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม แผนงานบูรณาการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแผนงานบูรณาการส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตลอดจนพิจารณาทบทวนปรับปรุงเป้าประสงค์และตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ และเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของภาคส่วนอื่น เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในแผนปฏิบัติการฯ ตามหลักการประชารัฐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 395 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. 2559 - 2568) ระยะ10 ปี | สธ | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ระยะ ๑๐ ปี ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพของโลกใน ๔ ด้านหลัก ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์กลางบริการสุขภาพ ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน และต้องมีการบูรณาการร่วมกันจากสัดส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณจากความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การคำนึงถึงมาตรการรองรับการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสมเพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเพียงพอ การพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมให้ครอบคลุมเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดไว้เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการพิจารณาให้ความสำคัญกับการบริหารและขับเคลื่อนนโยบายการเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติที่ไม่เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพของคนไทย โดยกำหนดเป็นโครงการสำคัญและให้มีการดำเนินการตั้งแต่ในระยะแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาบริการทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์ (Academic Hub) และร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุ์รักษ์ระดับนานาชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อเสนอโครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 396 | มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | กค | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท. (Matching Fund) และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินสะสมของ อปท. เป็นลำดับแรกตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี และให้ อปท. พิจารณาแผนความต้องการ/ความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อมและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่ชัดเจนของ อปท. จำนวน ๗,๘๕๑ แห่งก่อน โดยรายการดังกล่าวจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการ/รายการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ความสำคัญกับหลักการกระจายงบประมาณอย่างแท้จริง และหากแผนความต้องการของ อปท. มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการฯ เกินกว่าเงินสะสมของ อปท. ที่มีอยู่ และไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้ อปท. ในลักษณะของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจตามประเภทและขนาดของ อปท. ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และมีบัญชาเพิ่มเติม “หลักการใช้งบประมาณของ อปท. ก่อน ไม่พอของบกลาง จัดทำแผนงานให้ละเอียด ขั้นต้น สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท (Matching Fund)” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ อปท. ที่มีเงินสะสมไม่เพียงพอสามารถใช้งบประมาณจากข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาสมทบได้ และให้ อปท. จัดทำโครงการและเสนอขอความเห็นชอบโครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๑ และรีบก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ สำหรับกรณีข้อเสนอที่จะให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์หรือสิ่งจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ นั้น ควรหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเงื่อนไข/วิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งคำนึงถึง อปท. ขนาดเล็กที่อาจจะไม่มีเงินสะสมเพียงพอที่จะร่วมทุน เพื่อให้เกิดความทั่วถึงในการดำเนินโครงการ และเห็นควรให้จังหวัดเป็นผู้พิจารณาและอนุมัติโครงการ เพื่อให้ อปท. สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและดำเนินโครงการและเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินมาตรการฯ ให้ชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ และประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 397 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 | กค | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๙/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีที่ ๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่เคยได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถส่งมอบงานงวดสุดท้ายได้ทันภายใน ๑๕๐ วัน โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้จำนวน ๑๕๐ วัน ๑.๒ กรณีที่ ๒ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสัญญาจ้างก่อสร้างที่หน่วยงานได้ดำเนินการจัดจ้างถึงขั้นตอนการเสนอราคาแล้วก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ และได้ลงนามในสัญญาระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ ถึง ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ (ซึ่งไม่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือไว้) โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้รวมเป็นจำนวน ๓๐๐ วัน ๑.๓ กรณีที่ ๓ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามในช่วงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ ถึง ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญา โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้จำนวน ๑๕๐ วัน ๑.๔ กรณีที่ ๔ เป็นการช่วยเหลือโดยเพิกถอนคำสั่งลงโทษเป็นผู้ทิ้งงานแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างซึ่งไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทดังกล่าวไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วมมือให้นำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้ในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีบริการขยายตลาดการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ไทยทำข้อเจรจาตกลงการค้าเสรี โดยมอบหมายให้สถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ กำหนดแนวทางการพัฒนาแรงงานทั้งระดับบนและล่างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านภาษาและฝีมือแรงงานให้ได้ตามมาตรฐาน พัฒนาศักยภาพความสามารถผู้ประกอบการให้เข้มแข้งขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เหมาะสม รวมทั้งปรับปรุง แก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจก่อสร้างไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 398 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๗๐๐ ครั้ง รวมจำนวน ๒๔,๑๑๓ เรื่อง และประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๒๓ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๗๗ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 399 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร09 | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยแก้ไขการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น แก้ไขให้ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่สั่งการเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง เพื่อให้ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในสังกัดของทุกหน่วยงานอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 400 | การขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายลงทุน รายการที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2559 และยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม 2559 | มท | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีกระทรวงมหาดไทยเสนอขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายลงทุน รายการที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๙ และยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนภายในพื้นที่ รวมทั้งก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณ เห็นควรอนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดำเนินรายการงบประมาณที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๙ เฉพาะรายการงบประมาณที่ได้ผู้รับจ้างแล้วและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๕๐ รายการ เป็นเงิน ๑๙๗,๔๓๔,๑๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลและเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และกำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานข้อมูลงบประมาณดังกล่าว ให้เป็นปัจจุบันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
