ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 11 จากทั้งหมด 14 หน้า แสดงรายการที่ 201 - 220 จากข้อมูลทั้งหมด 268 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
201 | รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว | กษ | 04/10/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานสรุปผลการประชุมเพื่อพิจารณา
ติดตามความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อล้านครอบครัว เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 ณ ทำเนียบ รัฐบาล สรุปดังนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ปรับรูปแบบการดำเนินโครงการ ฯ ให้จัดหาโคที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ เกษตรได้ยืมไปเลี้ยงส่วนหนึ่ง และจัดหาลูกโคที่เกิดจาการผสมเทียมอีกส่วนหนึ่ง โดยโคที่จัดซื้อจะเป็นโครุ่นหย่า นม อายุ 8-10 เดือน ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ถ้ามีจำนวนไม่เพียงพอจึงจะจัดซื้อโครุ่น อายุ 1-2 ปี ไปให้เกษตรยืม ไปเลี้ยงครอบครัวละไม่เกิน 2 ตัว จำนวน 1 ล้านครอบครัว และให้บริษัทส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย (สธท.) ร่วมกับคณะกรรมการ ฯ กำหนดคุณลักษณะเฉพาะของโค และราคากลางที่จะรับซื้อให้เป็นราคาเดียวกันทั่ว ประเทศ รวมทั้งจัดทำข้อมูลและเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ เป็นการติด Microchip และให้กรมปศุสัตว์ร่วมกับ บริษัท สธท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบโคที่จะจัดซื้อให้มีคุณสมบัติเฉพาะตามที่กำหนด โคที่จะส่งมอบ ให้เกษตรกรจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพ และการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการเกิดโรค โดยมีเกษตรกรที่สมัครเข้า โครงการ ฯ และผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่สัตวแพทยสภากำหนด จำนวน 8,207 ราย เกษตรกรที่เลี้ยงแม่โคเนื้อสมัครเข้าร่วมโครงการเพื่อผลิตลูกโคจำหน่ายให้โครงการ ฯ จำนวน 102,678 ราย จำนวนแม่โค 305,095 ตัว ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปจัดทำรายละเอียดข้อมูลด้านต่าง ๆ ของ โครงการให้ครบถ้วนชัดเจน เช่น เป้าหมายจำนวนโคที่จะให้เกษตรกรยืมไปเลี้ยงซึ่งจะต้องสอดคล้องกับอุปสงค์ และอุปทานของจำนวนโคในแต่ละจังหวัด จำนวนของผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้จำหน่ายโคให้กับโครงการ และจำนวน เกษตรกรที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการในแต่ละจังหวัด การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของโค ราคากลาง และระยะเวลาการรับซื้อ รวมตลอดถึงกระบวนการรับรองคุณภาพของโค เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณา ก่อนดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงและชัดเจนต่อไป
|
||||||||||||||||||
202 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขโรคไข้หวัดนกในอนาคต | สสป | 28/06/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการป้องกันและแก้ไขโรคไข้หวัดนกในอนาคต โดยสภาที่ ปรึกษา ฯ มีข้อเสนอแนะโดยสังเขปดังนี้ ระบบการปศุสัตว์ ควรส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ จากพ่อแม่พันธุ์ที่มีการจัดการแบบอินทรีย์ สนับสนุนให้มีการผลิตด้วยระบบปศุสัตว์อินทรีย์ และให้มีการจัด การฟาร์ม หรือโรงเรียนที่ถูกสุขลักษณะ ระบบการควบคุมและป้องกัน ควรส่งเสริมการจัดระบบการเข้าออก ของคนและสัตว์ที่ปลอดภัยจากความเสี่ยงของการเป็นพาหะนำโรค และใช้สมุนไพรในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค แทนวัคซีน เช่น หางไหล ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น ด้านการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบทางราชการ ควร มีนโยบายส่งเสริมให้มีการวางมาตรฐานฟาร์มและให้การรับรองมาตรฐานการผลิตแบบปศุสัตว์อินทรีย์ และ วางข้อกำหนดหรือข้อบัญญัติ เกี่ยวกับการปฏิบัติ การผลิตแบบปศุสัตว์อินทรีย์ โดยผ่านการมีส่วนร่วมของ ชุมชน ด้านการบริหารจัดการ การงบประมาณและบุคลากร ควรมีแผนพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถ ของบุคลากรระดับปฏิบัติการ โดยดำเนินการควบคู่กับการปรับปรุงประสิทธิภาพของงบดำเนินการในพื้นที่ ให้ครอบคลุมเพียงพอและควรมีแผนระยะยาวในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตรวจผลและวินิจฉัยในระดับจังหวัด ทุกจังหวัด และด้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารและการประชาสัมพันธ์ ควรมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารการ แพร่ระบาดของไข้หวัดนกและความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก เพื่อการประชาสัมพันธ์ และการให้ข้อมูลข่าวสารในเชิงรุกแก่เกษตรกร และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวง สาธารณสุขรับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
||||||||||||||||||
203 | การตรวจโรงงานไก่เพื่อส่งออกไปรัสเซียโดยการจัดทำความตกลงการค้าต่างตอบแทน | พณ | 15/02/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการตรวจโรงงานไก่เพื่อส่งออกไปรัสเซีย
โดยการจัดทำความตกลงการค้าต่างตอบแทน สรุปดังนี้ ทางการรัสเซียได้ส่งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ พร้อมด้วยผู้แทน หน่วยงาน Rosoboronexport ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการเจรจาการค้าต่างตอบแทนของรัสเซีย มาตรวจ สอบและรวบรวมข้อมูลด้านสุขอนามัยและระบบควบคุมโรคในไก่ของไทย พร้อมหารือกรมปศุสัตว์และเยี่ยมชมโรง งานจำนวน 4 โรงงาน เสร็จเรียบร้อยแล้วโดยยังไม่ตรวจรับรอง โดยฝ่ายรัสเซียแสดงความประทับใจที่ฝ่ายไทยให้ ความร่วมมือเป็นอย่างดีเยี่ยมในการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง และเห็นว่า ฟาร์มไก่เนื้อ โรงชำแหละและโรงงานแปรรูป มีระบบป้องกัน/ควบคุมโรคที่ดี ตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ทางรัสเซียได้ให้คำแนะนำในประเด็น ต่าง ๆ เช่น การจัดการกับผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการแปรรูป เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค และการจัดเส้นทาง ขนส่งไก่เป็นเข้าสู่โรงชำแหละ ไม่ให้อยู่ใกล้กับเส้นทางการขนส่งผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ผ่านการบรรจุแล้ว และเห็นว่า ห้องปฏิบัติการทดลองของกรมปศุสัตว์ทุกแห่งมีอุปกรณ์ที่ดี ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ฝ่ายรัสเซียแสดงความพึงพอใจ ในภาพรวมของระบบการควบคุมโรคของกรมปศุสัตว์ ได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมปศุสัตว์ในหลายประเด็น เช่น สถานการณ์โรคไข้หวัดนก โรคสำคัญในสัตว์ที่มีการเฝ้าระวังในประเทศไทย แผนการใช้วัคซีนของกรมปศุสัตว์ และฟาร์มเอกชน รวมถึงข้อมูลการควบคุมโรคในสัตว์อื่นนอกเหนือจากไก่ เป็นต้น ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์จะจัดส่งข้อมูล ที่ฝ่ายรัสเซียต้องการให้โดยเร็ว นอกจากนี้ ฝ่ายรัสเซียพึงพอใจที่มีด่านตรวจและกักกันสัตว์หลายจุดบนถนนสาย หลักของไทยซึ่งมีวัตถุประสงค์ควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์ให้เป็นไปตามกฎหมาย ในการนี้ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ มีความเห็นว่า ในภาพรวม คณะเจ้าหน้าที่รัสเซียมีความพึงพอใจในระบบการควบคุมโรคในไก่ของกรมปศุสัตว์ และ ระบบสุขอนามัย และมาตรฐานการผลิตของฟาร์ม และโรงงานไก่ของไทย โดยฝ่ายรัสเซียจะรายงานข้อมูลที่รวบ รวมได้ต่อฝ่ายนโยบายของรัสเซียอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มสูงที่ทางการรัสเซียจะตัดสินใจส่งคณะ เจ้าหน้าที่มาตรวจโรงงานอีกครั้งโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ฯ ณ กรุงมอสโก จะได้ติดตามความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
||||||||||||||||||
204 | สถานการณ์และความก้าวหน้าในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก | นร | 25/01/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ประธาน
คณะกรรมการการพิจารณาแก้ไขสถานการณ์โรคไข้หวัดนกเสนอสถานการณ์และความก้าวหน้าในการดำเนิน งานแก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2548 สรุปดังนี้ สถาน การณ์โรคไข้หวัดนกในคน ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2547 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2548 ไม่พบผู้ป่วยหรือผู้เสียชีวิต เพิ่ม สถานการณ์ในสัตว์ปีก พบพื้นที่มีเชื้อไข้หวัดนกที่อยู่ระหว่างการควบคุมเฝ้าระวังยังไม่ครบ 21 วัน จำนวน 6 ตำบล 5 อำเภอ ในจังหวัดพิษณุโลก สุพรรณบุรี และระยอง สถานการณ์ในนกธรรมชาติ ตรวจพบเชื้อ จำนวน 13 ตัวอย่าง จาก 62 จังหวัด โดยพบในจังหวัดนครสวรรค์ สระบุรี ฉะเชิงเทรา ลพบุรี และปราจีนบุรี จากการเฝ้าระวังการติดเชื้อในสัตว์ปีก พบการติดเชื้อในตัวอย่างที่ส่งตรวจในนกธรรมชาติ ร้อยละ 1.63 เป็ด ไล่ทุ่ง ร้อยละ 29.80 และไก่พื้นเมือง ร้อยละ 54.33 และได้มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศเพื่อน บ้านเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ มาปรับใช้กับสถานการณ์ของประเทศไทย รวมทั้งผลักดันให้มีเครือ ข่ายประสานความร่วมมือในการจัดการปัญหา ทั้งในภาวะปกติและฉุกเฉินร่วมกัน ระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สำหรับความก้าว หน้าในการเตรียมแผนยุทธศาสตร์และแผนฉุกเฉินได้เร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณ สุข ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเข้มงวด ต่อเนื่อง ในการเฝ้าระวังตาม นโยบายเอกซเรย์ทุกพื้นที่ และมีการรายงานผลการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขสถานการณ์โรคไข้ หวัดนกอย่างสม่ำเสมอ และได้มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาโรคไข้หวัดนก พ.ศ. 2548 - 2550 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 6 ประการ คือ ปศุสัตว์ปลอดโรค การเฝ้าระวังและควบคุมระหว่างการระบาด การ สร้างและจัดการองค์ความรู้ การพัฒนาศักยภาพองค์กร/บุคลากร/ห้องปฏิบัติการ สร้างการมีส่วนร่วมของ ชุมชน/สังคม และการพัฒนากลไก/ระบบการควบคุมโรคบูรณาการ ส่วนการใช้วัคซีนในการป้องกันควบคุม โรคในสัตว์ปีก ให้มีการเตรียมพร้อมวัคซีนไข้หวัดนกสามารถนำมาใช้ได้ทันที หากจำเป็นฉุกเฉิน ให้ศึกษาติด ตามความคืบหน้าของสถานการณ์และพิจารณาทางเลือก รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติหากต้องใช้วัคซีนในสัตว์ ปีก รวมถึงประสานงานกับต่างประเทศเพื่อดำเนินการดังกล่าว และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนิน การวางแผนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ที่เชื่อมโยงกับไข้หวัดนกให้แล้วเสร็จ ใน 2 สัปดาห์ (24 มกราคม 2548) และให้สามารถปฏิบตัการเตรียมพร้อมให้ได้ภายใน 2 เดือน
|
||||||||||||||||||
205 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (เรื่อง การรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ) | วท | 25/01/2548 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินการตามมติ
คณะรัฐมนตรี เรื่อง การรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ โดยได้มีการ จัดประชุมระดมความคิดเห็นคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ทั่วประเทศ เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms - GMOs) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2547 ณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ สรุปดังนี้ GMOs เป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าของวิทยาการทางด้านพันธุวิศวกรรม ซึ่งเป็นวิทยาการด้านหนึ่ง ของเทคโนโลยีชีวภาพ มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยความสำเร็จของการพัฒนา GMOs มีให้เห็นอย่างเป็น รูปธรรม ได้แก่ การยกระดับคุณภาพอาหาร ยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น อินซูลิน และวัคซีนป้องกันโรค ตับอักเสบ ชนิดบี เป็นต้น ในการผลิตอาหาร เช่น การผลิตเอนไซม์ที่ใช้ในการผลิตเนยแข็ง เป็นต้น อย่างไรก็ ตาม เทคโนโลยีชีวภาพเหมือนกับเทคโนโลยีอื่นที่มนุษย์พัฒนาขึ้น หากใช้อย่างขาดความรู้หรือมีวัตถุประสงค์ ร้ายก็อาจเกิดโทษได้ ในกรณีของ GMOs มีความซับซ้อนในการบริหารจัดการเพื่อให้มั่นใจว่ามีความเสี่ยงน้อย และให้เกิดการยอมรับ สำหรับอาหารที่ได้จาก GMOs ที่มีอยู่ในตลาดโลกได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย แล้ว ว่ามีความปลอดภัยสำหรับบริโภคเทียบเท่ากับอาหารที่ได้จากวิธีการที่เคยใช้อยู่ และยังไม่เคยมีรายงาน เรื่องผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ที่เป็นผลมาจากการบริโภคอาหารจากพืช GMOs แต่อย่างใด และในส่วน ของข้อเสนอประชาคมวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเชื่อมั่นในความปลอดภัยจากการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพันธุ วิศวกรรมที่ผ่านการพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถ พิสูจน์ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ GMOs ได้ การวิจัยและพัฒนา GMOs มีความสำคัญในการพัฒนาความ สามารถทางการแข่งขันด้านการเกษตรของประเทศ การเร่งวิจัยและพัฒนาด้าน GMOs จะต้องทำการค้นคว้า อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งของงานวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ ควบคู่กับการพัฒนาเทคโน โลยีชีวภาพในสาขาอื่น ๆ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้ด้าน GMOs สำหรับการทดสอบใน ระดับไร่นาหรือสภาพเปิด ควรมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ปลูกทดสอบที่ชัดเจน และช่วงเวลาที่เหมาะสมตาม หลักวิชาการ มุ่งเน้นพัฒนาพืช GMOs เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตในปัจจุบัน การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดใหม่ของประเทศและศักยภาพในการ แข่งขัน การเพิ่มผลผลิตที่วิธีการดั้งเดิมหรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ และควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของ การสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยเป็นสำคัญ นอกเหนือจากการประยุกต์ใช้ในเกษตรอุตสาหกรรม นอกจากนี้ นักวิชาการโดยเฉพาะในส่วนของประชาคมวิทยาศาสตร์ ควรเข้ามามีบทบาทในการให้ความรู้ความเข้าใจกับ ประชาชนให้ทั่วถึง หากสังคมยังมีความไม่แน่ใจ ควรเร่งพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้สังคมเกิด ความมั่นใจในความปลอดภัยในที่สุด
|
||||||||||||||||||
206 | การสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคปากเท้าเปื่อยแก่ประเทศเวียตนาม | กษ | 21/12/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
การสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย ชนิดไตรวาเลนท์ (O, A Asia 1) จำนวน 200,000 โด๊ส และวัคซีนป้องกันโรคปากและเท้าเปื่อย ชนิดโมโนวาเลนท์ไทป์เอ จำนวน 400,000 โด๊ส แก่ประเทศเวียต นาม โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ กระทรวงกลาโหม |
||||||||||||||||||
207 | รายงานสรุปสถานการณ์โรคไข้หวัดนกในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2547) | มท | 21/12/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปสถานการณ์โรคไข้หวัดนกในพื้น
ที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2547 โดยในส่วนของการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนก ได้จัดตั้งคณะ ทำงานศูนย์ปฏิบัติการและศูนย์ข้อมูลเรื่องไข้หวัดนก จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงานเรื่องโรคไข้หวัดนกระดับเขตทั้ง 50 เขต สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกคน สำนักการ แพทย์และสำนักอนามัย เตรียมรถพยาบาลพร้อมรับผู้ป่วยที่สงสัยเป็นโรคไข้หวัดนก ศูนย์เอราวัณ 1646 ให้ โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง เตรียมห้องแยกสำหรับรักษาผู้ป่วย เตรียมยา Tamiflu ไว้สำหรับรักษาผู้ป่วย ทุกโรงพยาบาล และให้ผู้ปฏิบัติงานรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานที่ศูนย์ปฏิบัติการทุกวัน ส่วนผล การสำรวจครัวเรือนที่มีไก่และสัตว์ปีก ในพื้นที่ดำเนินการ 50 เขต จำนวน 10,780 ครัวเรือน สัตว์ปีกที่สำรวจ ได้ 590,468 ตัว ข้อมูลโรงฆ่าสัตว์ปีกในกรุงเทพ ฯ มีโรงฆ่าสัตว์ปีกขนาดใหญ่ 3 โรง อยู่ในพื้นที่ เขตบางนา เขตคันนายาว และเขตมีนบุรี แหล่งจำหน่ายและฆ่าสัตว์ปีกอยู่ในพื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ เขตคลองเตย เขตป้อม ปราบ ฯ และเขตพระโขนง สำหรับสถานการณ์และการควบคุมโรคในสัตว์ปีก พบสัตว์ปีกป่วยตาย 2,687 ตัว และทำลายสัตว์ปีก 1,920 ตัว ส่วนสถานการณ์โรคไข้หวัดนกในคน มีผู้ป่วยที่ต้องติดตามจำนวน 21 ราย ผล การตรวจไม่ใช่ไข้หวัดนก 19 ราย อยู่ระหว่างติดตาม 2 ราย สำหรับการดำเนินการเฝ้าระวังป้องกันและควบ คุมโรคในระยะต่อไป คือ เฝ้าระวังและรายงานผลทุกวันในกรณีที่มีสัตว์ปีกป่วยตาย เฝ้าระวังการเจ็บป่วยของ คน และให้การรักษาควบคุมป้องกันโรคอย่างทันท่วงที และให้ความรู้ระดับชุมชน-ครัวเรือน โดยมีเป้าหมาย ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการดำเนินการเฝ้าระวังโรคในสัตว์ปีกที่เลี้ยงและสัตว์ปีกในที่สาธารณะอย่าง ต่อเนื่องต่อไป |
||||||||||||||||||
208 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือด้านการเกษตรกับประเทศเพื่อนบ้าน | กษ | 09/11/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน
ภายใต้ความร่วมมือด้านการเกษตรกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตร สปป.ลาว ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน ยังมีการทำแผนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง, โครงการปรับปรุงศูนย์วิจัยการเกษตรแห่งชาติ สปป.ลาว ระยะ เวลาดำเนินการคาดว่าจะเริ่มระยะที่ 2 ในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการจัดตั้งคณะ Project steening committee สอง ฝ่าย เพื่อทำหน้าที่พิจารณาแผนงานโครงการในระยะต่อไป, โครงการทดลองการผลิตวัตถุดิบในส่วนของวัตถุ ดิบอาหารสัตว์ (ถั่วเหลือง) ระยะเวลาดำเนินการ ระยะที่ 2 พ.ศ. 2547-2549 ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาจัด ทำแผนงานดำเนินการปี พ.ศ. 2548, โครงการความร่วมมือทางเทคนิคในการควบคุมโรคระบาดสัตว์ในไทย และประเทศเพื่อนบ้าน (ไทย มาเลเซีย พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม) ระยะเวลาดำเนินการ ปี พ.ศ. 2544 -2549 ได้จัดการฝึกอบรม ดูงาน และประชุมเชิงปฏิบัติการให้เจ้าหน้าที่จากลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ในด้านการวินิจฉัยโรคสัตว์ การควบคุมโรค การผลิตวัคซีน และการพัฒนาด่านกักกันสัตว์ และโครงการปรับ ปรุงระบบการผลิตพืชเศรษฐกิจ (ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และละหุ่ง) และการวางแผนการใช้ที่ดิน ระยะ เวลาดำเนินการปี พ.ศ. 2547-2550 เป็นโครงการถายใต้แผนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและแผนปฏิบัติการ ไทย-กัมพูชา โดยในปี พ.ศ. 2547-2548 ดำเนินกิจกรรมนำร่องในลักษณะทดสอบสาธิต ส่วนปี พ.ศ. 2549 -2550 เป็นการขยายผลในลักษณะการพัฒนาที่จะสนับสนุนให้ภาคเอกชนทั้ง 2 ฝ่ายมาร่วมดำเนินการ เป็น ต้น
|
||||||||||||||||||
209 | รายงานผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก | มท | 02/11/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการป้องกันและ
แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนก ซึ่งได้มีการแพร่ระบาดอีกในรอบที่สอง กระทรวงมหาด ไทยได้สั่งการให้จังหวัดรายงานการสำรวจการเลี้ยงสัตว์ปีก ทั้ง 75 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร สรุปดังนี้ จังหวัดได้ดำเนินการสำรวจการเลี้ยงสัตว์ปีกแล้ว มีเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ปีก 4,076,512 ราย พบสัตว์ปีกป่วย 113,125 ตัว ตาย 433,210 ตัว และทำลายแล้วทั้งสิ้น 1,546,000 ตัว กรุงเทพมหา นครสำรวจครัวเรือนที่มีไก่และสัตว์ปีก จำนวน 50 เขต ไม่พบสัตว์ปีกที่ป่วยตายหรือสงสัยเป็นโรคไข้ หวัดนก จังหวัดชลบุรี รายงานสถานการณ์เชื้อโรคไข้หวัดนกในเสือ ณ สวนเสือศรีราชา ซึ่งได้ตายและ ทำลายไปแล้ว 147 ตัว สำหรับปัญหา อุปสรรค ในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ ระบาดของโรคไข้หวัดนกในระยะเริ่มแรกยังขาดความร่วมมือจากเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ปีก มีการเคลื่อน ย้ายสัตว์ปีกออกจากพื้นที่ โดยไม่ได้รับอนุญาตการจ่ายเงินชดเชยแก่เกษตรกรที่ได้ทำลายสัตว์ปีกไป แล้วมีความล่าช้า ในส่วนของข้อเสนอแนะ ให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ ปีกทุกประเภทได้เห็นความสำคัญ และให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ควรกำจัดหรือ ควบคุมพื้นที่เลี้ยงสัตว์ปีกในแต่ละประเภท ควรมีหน่วยงานหลักที่มีเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครอยู่ในพื้น ที่เพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก เร่งดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อหายาหรือวัคซีนที่ สามารถรักษาหรือกำจัดเชื้อโรคไข้หวัดนกให้หมดได้ นอกจากนี้ ยังเห็นว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็น ต้นไป อากาศจะเริ่มเย็นลงซึ่งจะเป็นผลทำให้โอกาสในการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกมีมากกว่าใน ช่วงที่ผ่านมา จึงได้กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเน้นการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา การแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยให้จัดเตรียมคณะทำงานชุดปฏิบัติการในระดับพื้นที่ตำบล หมู่บ้าน เครื่องมืออุปกรณ์ ตลอดจนเร่งรัดให้ชดใช้เงินค่าทำลายสัตว์ปีกให้รวดเร็วขึ้นโดยให้ยึดถือความปลอด ภัยของประชาชนเป็นเป้าหมายลำดับแรก |
||||||||||||||||||
210 | แนวทางการบูรณาการการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง (ระหว่างวันที่ 1 - 31 ตุลาคม 2547) | มท | 02/11/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแนวทางการบูรณาการให้ความช่วยเหลือ
ผู้ประสบภัยแล้ง ตามมติที่ประชุมศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เช่น ให้มีการบรูณาการข้อมูลการแก้ไขปัญหาและการให้ความช่วยเหลือของทุกหน่วย โดย ให้อยู่ภายใต้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจ ฯ ทั้งในส่วนกลางและจังหวัด โดยให้ข้อมูลมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน แม่นยำ รวดเร็ว และถูกต้องตรงกัน และเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เพื่อให้การ แก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้อง รวดเร็วและถูกต้อง รวม ทั้งให้มีการบูรณาการแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาด ไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง ภาครัฐและเอกชนเพื่อรองรับการประสานการปฏิบัติร่วมกัน และให้ทุกหน่วยงานพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ ประสบภัยแล้งตามแนวทางและหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 ในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านการป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย ได้แก่ การจัดหากระสอบทรายเพื่อทำทำนบกักเก็บน้ำ จัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนต์บรรทุกน้ำ ซ่อมแซมภาชนะรองรับน้ำ ค่าตอบแทน ค่าจ้างเหมาแจกจ่ายน้ำ และค่าซ่อมยานพาหนะ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ได้แก่ การเป่าล้างบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปาหมู่บ้าน ด้านพืชและ การเกษตร ได้แก่ การจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องสูบน้ำ การชดเชยพันธุ์พืช และสาร อินทรีย์วัตถุ ด้านปศุสัตว์ ได้แก่ การจัดหาสัตว์ วัคซีน และเวชภัณฑ์รักษาสัตว์ และด้านสังคมสงเคราะห์และฟื้น ฟูผู้ประสบภัย ได้แก่ การส่งเสริมอาชีพระยะสั้น ฯลฯ เป็นต้น |
||||||||||||||||||
211 | ผลการพิจารณาการใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดนก | นร | 12/10/2547 | |||||||||||||||
212 | รายงานความก้าวหน้าการควบคุมโรคไข้หวัดนก | สธ | 10/08/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานการ
ป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดนก ซึ่งมีการระบาดของโรคไข้หวัดนกครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2547 ถึง 8 สิงหาคม 2547 มีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ที่อยู่ในข่ายเฝ้าระวังไข้หวัดนก 30 ราย จาก 15 จังหวัด ผลการเฝ้า ระวังเบื้องต้นไม่พบว่ามีผู้ป่วยยืนยันไข้หวัดนก และผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัยไข้หวัดนก และกระทรวงสาธารณสุข ได้เพิ่มมาตรการป้องกันและควบคุม โดยการเฝ้าระวังและป้องกันโรค เสริมสร้างความปลอดภัยด้านอาหาร ดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านวิชาการ ศึกษาวิจัยและพัฒนา ควบคุมการใช้วัคซีนในสัตว์ โดย ศึกษาผลกระทบการใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวักนกในไก่ ออกประกาศให้มีความผิดหากนำเข้า ขาย และใช้ วัคซีน รวมถึงจัดตั้งการเฝ้าระวังไข้หวักนกทางห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ |
||||||||||||||||||
213 | กระทู้ถามที่ 1255 ร. เรื่อง บริเวณสนามม้ามีผู้มาชมจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด และอาจได้รับผลกระทบจากสัตว์แพร่เชื้อโรคได้ | สผ | 10/02/2547 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1255 ร. เรื่อง
บริเวณสนามม้ามีผู้มาชมจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดและอาจได้รับผลกระทบจากสัตว์แพร่เชื้อโรค ได้ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดย สาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรการและแนวทางดำเนินการให้ สนามม้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต อนุมัติให้มีการเล่นการพนันถือปฏิบัติเพื่อเป็นการรักษา ความสงบเรียบร้อยและการป้องกันอาชญากรรม รวมทั้งปัญหาการจราจร ประกอบด้วย มาตรการรักษาความสงบ เรียบร้อยและการป้องกันอาชญากรรม มาตรการแก้ไขปัญหาจราจรที่มีผลสืบเนื่องจากการเปิดสนามม้าและมาตร การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้กำชับให้สนามม้า หรือผู้ที่ได้รับอนุมัติให้มีการพนันแข่งม้าปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยเคร่งครัด เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดให้มีการ แข่งม้า และในกรณีที่สนามม้าไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดจะไม่อนุมัติให้สนามม้าจัดให้มี การพนันแข่งม้าต่อไปเป็นครั้งคราว หรือตลอดไปแล้วแต่จะเห็นสมควร สำหรับนโยบายและแผนการย้ายสนาม ม้าปัจจุบันรัฐบาลยังไม่มีแผนที่จะย้ายสนามม้าไปยังนอกเมือง เพราะการย้ายสนามม้าต้องใช้งบประมาณในการ ดำเนินการทั้งในส่วนการซื้อที่ดินและค่าก่อสร้างต่าง ๆ ตลอดจนต้องฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ที่ประสงค์จะย้าย สนามม้าไปตั้งใหม่ และความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นแก่เกษตรกรผู้เลี้ยงม้า และผู้มีอาชีพในการแข่งม้า ส่วนกรณี ปัญหาการติดเชื้อโรคจากสัตว์สู่คนอันเนื่องมาจากการแข่งม้า ปัจจุบันมีการนำม้ามายังสนามเฉพาะวันที่มีการแข่ง ขันเท่านั้น และเมื่อทำการแข่งขันเสร็จก็จะนำม้ากลับไป ไม่มีการเลี้ยงม้า ณ สนามแข่งม้าแต่อย่างใด ประกอบกับ ม้าทุกตัวที่นำมาแข่งขันก็จะต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแล้ว จึงไม่น่าจะมี ปัญหาเรื่องการติดเชื้อจากสัตว์แต่อย่างใด |
||||||||||||||||||
214 | การแต่งตั้งคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ | สธ | 30/12/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ
วัคซีนแห่งชาติ โดยมีอำนาจหน้าที่คงเดิม |
||||||||||||||||||
215 | กระทู้ถามที่ 1112 ร. เรื่อง ขอให้ส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดลพบุรี | สผ | 04/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1112 ร. เรื่อง
ขอให้ส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดลพบุรี ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และ ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ ได้สำรวจข้อมูลและทำสถิติเกี่ยวกับการเลี้ยงโคเนื้อในพื้นที่จังหวัดลพบุรีแล้วพบว่า การเลี้ยงโคเนื้อใน จังหวัดลพบุรีเป็นการเลี้ยงของเกษตรกรรายย่อย เป็นการเลี้ยงปล่อยตามธรรมชาติ ซึ่งจะต้องมีพื้นที่และอาหาร ตามธรรมชาติเพียงพอในปัจจุบันจังหวัดลพบุรีมีการปลูกพืชไร่ต่าง ๆ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ ค่อน ข้างมาก พื้นทุ่งหญ้าสาธารณะหรือที่รกร้างว่างเปล่าสำหรับสัตว์ลดน้อยลง ประกอบกับการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัด ลพบุรี และจังหวัดใกล้เคียงมีจำนวนมากอาจมีผลต่อการนำพืชหญ้าอาหารสัตว์หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไป ใช้เป็นอาหารสัตว์ทำให้เกิดผลเสียต่อการส่งเสริมให้มีการเลี้ยงโคเนื้อที่แพร่หลายในจังหวัดลพบุรีได้ สำหรับการ เลี้ยงในลักษณะเป็นฟาร์มทางการค้าจะมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม กรมปศุสัตว์สามารถให้การ สนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดลพบุรีได้ทางวิชาการและด้านสุขภาพสัตว์ โดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ระบาดสัตว์ต่าง ๆ โดยไม่คิดมูลค่า |
||||||||||||||||||
216 | กระทู้ถามที่ 1113 ร. เรื่อง นโยบายส่งเสริมการเลี้ยงโคนม | สผ | 04/11/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1113 ร.
เรื่อง นโยบายส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรม ปศุสัตว์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ได้ดำเนินการส่งเสริม การเลี้ยงโคนม ในทุกด้านอยู่แล้ว และขณะนี้จังหวัดลพบุรีมีการเลี้ยงโคนมจำนวนมากในเกือบทุกพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดำเนินโครงการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยได้ขยายการเลี้ยงโคนมแก่เกษตรกรรายใหม่ และขยายการ เลี้ยงโคนมเพิ่มขึ้นในรายเดิม รวมทั้งดำเนินโครงการพัฒนาอาชีพผลิตเสบียงอาหารสัตว์เพื่อจำหน่าย ช่วยให้ โคนมที่เกษตรกรเลี้ยงมีพืชอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพดีในปริมาณที่เพียงพอตลอดทั้งปี ในส่วนของกระทรวงศึกษา ธิการ โดยกรมอาชีวศึกษา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี มีนโยบายและมาตรการเพื่อร่วมช่วยส่งเสริม ด้านวิชาการและการตลาดให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยจัดอบรมเกษตรผู้เลี้ยงโคนมในโครงการฝึกอบรม วิชาชีพเกษตรกรรมระยะสั้นของวิทยาลัยทุกปี จัดฝึกอบรมบัณฑิตในโครงการไทยช่วยไทย : การสร้างงานให้ บัณฑิตเจ้าของฟาร์มาโคนม ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม ฯลฯ สำหรับแผนการดำเนินงานส่งเสริมการเลี้ยงโคนมใน ปี พ.ศ. 2546 ได้แก่ จัดอบรมหลักสูตรระยะสั้น เรื่อง การเลี้ยงโคนม จัดอบรมการเลี้ยงโคนมให้แก่สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรบริเวณใกล้เคียงวิทยาลัย พร้อม กันนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์มีแนวทางและมาตรการเพื่อช่วยส่งเสริมด้านวิชาการและการ ตลาดให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม โดยในด้านวิชาการมีการให้บริการด้านผสมเทียม การป้องกันรักษาโรค การฉีดวัคซีน ป้องกันโรคระบาดสัตว์ การจัดการฟาร์มอย่างเป็นระบบและได้มาตรฐาน ส่วนด้านการตลาด ส่ง เสริมระบบการจัดการรวบรวมน้ำนมที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การตลาด |
||||||||||||||||||
217 | ขอความเห็นชอบในการดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เพื่อให้ได้มาตรฐานการผลิตที่ดีจากองค์การอนามัยโลก (WHO - GMP) | สธ | 14/10/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอให้องค์การเภสัชกรรมดำเนินการ
ก่อสร้างโรงงานผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ให้ได้มาตรฐานที่ดีจากองค์การอนามัยโลก (WHO - GMP) ตามที่คณะกรรม การองค์การเภสัชกรรมให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) และรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เกี่ยวกับแนวทางการดำเนิน การก่อสร้างโรงงาน ฯ ซึ่งจะใช้วิธีจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ให้เป็นไปด้วยความรอบคอบเหมาะสม และถูก ต้อง และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ การก่อสร้างโรงงานผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ควรมีการ ทบทวนกระบวนการและขั้นตอนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR) 15 % และมีระยะเวลาคืน ทุนประมาณ 4.3 ปี ตามผลตอบแทนของโครงการที่ได้กำหนดไว้ รวมทั้งควรมีการประสานกับโครงการจัดตั้งศูนย์ เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุขของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเน้นการผลิตชีวภัณฑ์ทางการ แพทย์ด้านยา วัคซีนในระดับกึ่งอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับโครงการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ในระยะ ต่อไป และควรมีการติดตามประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การดำเนินงานโครงการในลักษณะของ การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turn key) โดยจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทจากต่างประเทศมาดำเนินการทั้งหมดนั้น ควรจัดทำข้อตกลงให้มีผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิชาการไทยเข้าร่วมดำเนินการดังกล่าวอย่างเป็นหุ้นส่วนด้วยเพื่อให้เกิด การเรียนรู้ และเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีของโครงการอย่างยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||
218 | กระทู้ถามที่ 866 ร. เรื่อง การช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายหลังน้ำลด | สผ | 19/08/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 866 ร.
เรื่องการช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยน้ำท่วมภายหลังน้ำลด ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีมาตรการและได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเกษตร กรที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดอุทกภัยน้ำท่วมปี พ.ศ. 2545 ในส่วนของการช่วยเหลือระยะฉุกเฉินที่ได้ ดำเนินการไปแล้ว ได้ใช้เงินทดรองราชการในระดับจังหวัดและระดับกรม ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่า ด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2538 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2540 แล้ว วงเงินทั้งสิ้น 75,160,261 บาท ทั่วประเทศ ในส่วนของกรมปศุสัตว์ได้นำเสบียงอาหารไปให้ความช่วย เหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดการสูญเสียสัตว์เลี้ยงของเกษตรกร พร้อมจัดหน่วยสัตวแพทย์เคลื่อน ที่ของสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัดออกไปดูแลสุขภาพสัตว์ รักษาสัตว์ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกันโรค สำหรับการช่วยเหลือภายหลังน้ำลด รัฐบาลได้อนุมัติงบกลางโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วงเงิน 6,589 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของกระทรวงเกษตร ฯ ได้รับอนุมัติ ฯ วงเงิน 2,546 ล้านบาท (2) กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีมาตรการและแนวทางการช่วย เหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งในด้านการเตรียมการ การให้ความช่วยเหลือ และติดตามผลการให้ความช่วย เหลือผู้ประสบภัย นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้ให้การสง เคราะห์ผู้ประสบภัย ฯ โดยได้จัดเตรียมงบประมาณปี พ.ศ. 2546 จำนวน 112.29 ล้านบาท สำหรับดำเนิน การในด้านการสงเคราะห์ และการพัฒนาอาชีพ (3) รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น) มีมาตรการการควบ คุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อภายหลังน้ำลด โดยได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานด้านสุขภาพ จัด ทำมาตรการป้องกันและช่วยเหลือ ฯ รวมทั้งให้การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ และจัดตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ดำเนินการควบคุมโรค นอกจากนี้ กรมควบคุมโรคได้จัดทำโครงการป้องกันและควบคุมโรค ฯ โดยเน้นการ ดำเนินงานเฝ้าระวังในเชิงรุก |
||||||||||||||||||
219 | มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐชะลอหรือระงับการเดินทางไปประเทศ/เมืองที่เป็นเขตระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง | สธ | 01/07/2546 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอสรุปสถานการณ์และความก้าวหน้าการ
ดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ทั้งนี้ การยกเลิกการให้ข้าราชการและเจ้า หน้าที่ของรัฐชะลอหรือระงับการเดินทางไปประเทศ/เมืองที่เป็นเขตระบาดของโรคนี้ ให้ถือปฏิบัติตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2546 เรื่อง ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการให้ข้าราชการและเจ้าหน้า ที่ของรัฐชะลอหรือระงับการเดินทางไปต่างประเทศ/เมืองที่เป็นเขตระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุน แรง สำหรับสรุปสถานการณ์ ฯ ในส่วนของสถานการณ์โรคในต่างประเทศ จากรายงานขององค์การอนามัย โลก ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2546 มีรายงานผู้ป่วยจาก 29 ประเทศ จำนวน 8,450 ราย เสียชีวิต 810 ราย โดยผู้ป่วยใหม่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และในวันนี้ไม่มีผู้ป่วยใหม่ ส่วนสถาน การณ์โรคในประเทศไทย ได้มีการเร่งรัดเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงทั่วประเทศ โดยได้รับ แจ้งผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ (ที่สมควรได้รับการสอบสวนโรค) จากโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนทั่ว ประเทศ จำนวน 308 ราย และได้ติดตามสอบสวนพบผู้ป่วยที่เข้าได้กับนิยามโรคนี้ (Probable case) จำนวน 9 ราย (เสียชีวิต 2 ราย) ทุกรายเป็นผู้เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค โดยเป็นชาวต่างชาติ 3 ราย ชาวไทย 6 ราย ซึ่งได้รับการดูแลอาการจนหายเป็นปกติและกลับบ้านแล้ว และมีผู้ป่วยที่สงสัย (Suspect case) อีกจำนวน 31 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต เป็นชาวต่างชาติ 9 ราย ชาวไทย 22 ราย ทั้งหมดมีประวัติการเดิน ทางมาจากประเทศที่มีการระบาดของโรค ได้รับการรักษาจนอาการหายเป็นปกติและกลับบ้านแล้ว และจาก สถานการณ์โรคซาร์สทั่วโลกจะเห็นได้ว่าจำนวนผู้ป่วยใหม่ยังคงลดลงเรื่อย ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งจากการประชุม The WHO Global Conference on Severe Acute Respiratory Syndrome (SARS) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้มีประเด็นคำถามว่าในอนาคตโรคซาร์สจะสามารถถูกกำจัดหรือกวาดล้างให้หมดไปจาก มนุษย์ได้หรือไม่ ซึ่งโอกาสในการเป็นไปได้ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ที่ต้องแสวงหาเพิ่มเติม ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค การพัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่มีความไวและความจำเพาะสูง ความรู้เกี่ยวกับวงชีวิตของ เชื้อที่เป็นสาเหตุ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลกให้ความเห็นว่าการเฝ้าระวังโรคซาร์สจะดำเนินการต่อไป อย่างน้อย 1 ปี |
||||||||||||||||||
220 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา [กระทู้ถามที่ 534 ร. เรื่อง การผลิตยารักษาและวัคซีนป้องกันโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์)] | สผ | 27/08/2545 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำตอบกระทู้ถามที่ 534 ร. เรื่อง การผลิตยารักษาและวัคซีนป้องกันโรค
ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (โรคเอดส์) ของนายนิยมชัย วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี ซึ่งถามว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ค้นคว้าวิจัยวัคซีนป้องกันภูมิคุ้มกันบกพร่องและยารักษาบำบัดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ผลการค้นคว้าวิจัยได้ผลเป็นประการใด และหน่วยงานใดบ้างในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่ตั้งงบประมาณ ไปค้นคว้าวิจัยและไปบำบัดรักษา กระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงที่รับผิดชอบต้องดำเนินการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อนของประชาชนได้ประสานงานกับทบวงมหาวิทยาลัยให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดำเนินการอย่างไร และมีมหาวิทยาลัยใดบ้างที่ให้ความร่วมมือ และแต่ละมหาวิทยาลัยได้มีการเบิกค่าใช้จ่ายไปเป็นงบประมาณ เท่าใด กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมได้มีการวิเคราะห์ วิจัย ค้นคว้าทดลอง อย่างไรบ้าง หากมี ขอทราบรายละเอียดและงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายทั้งสิ้นเท่าใด และรัฐบาลมีแผนนโยบายที่จะรวม การรักษาโรคดังกล่าวเข้าไปในโครงการรักษา 30 บาทด้วยหรือไม่ ถ้าไม่ได้มีแผนไว้จะขอให้เข้าแผนดำเนิน การช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอดส์รวมในโครงการ 30 บาท จะได้หรือไม่ หรือคิดค่ารักษาแตกต่างกันอย่างไร เพราะ ผู้ติดเชื้อเหล่านี้จะต้องเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ถ้าหากสั่งซื้อยาจากต่างประเทศจะต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณมาก มี แผนนโยบายจะแก้ไขอย่างไร ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบก ษาต่อไป |
.....